ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่า นี่เป็นกระทู้แรกที่เราตั้งใจเขียนขึ้นมา เพื่อแชร์ประสบการณ์ ความรู้สึกและสิ่งที่ได้รับ จากการตัดสินใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถานค่ะ ในกระทู้นี้เราจะขอเขียนจากความรู้สึกส่วนตัวของเราเองนะคะ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยล่วงหน้าค่ะ
เริ่มต้น...ทำไมเราถึงตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม?? เหตุผลง่ายๆคือ เรารู้สึกว่า ชีวิตดูยุ่งๆ จิตใจไม่สงบ มีความเครียดพอสมควร จึงมีความคิดว่า เราจะลองไปปฏิบัติธรรมดูซัก 2-3 วันดีมั้ย เพื่อให้จิตใจสงบขึ้น เอาตัวเองออกไปจากโลกภายนอกที่วุ่นวายบ้าง พอคิดได้แบบนี้ เราจึงหาข้อมูล และคุยกับพี่ที่เคยไปปฏิบัติธรรม และขอคำแนะนำว่า ควรไปที่ไหนดี (ในใจนึกถึงสถียรธรรมสถานแต่แรกอยู่แล้ว เพราะได้ยินชื่อ คุณยายแม่ชีศันสนีย์มานานแล้ว) พอตัดสินใจได้ว่าเสถียรธรรมสถานนี่แหล่ะ เราจึงหาข้อมูลจาก
http://www.sdsweb.org/new/event&year=2018 และชวนสามีไปร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน
กิจกรรมที่เราลงทะเบียนเข้าร่วมคือ ปฏิบัติธรรมอานาปานสติ 11-13 พฤษภาคม 2561 สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วม สามารถลงทะเบียนปฏิบัติธรรมออนไลน์ผ่านแบบฟอร์มที่อยู่ในเว็บไซต์ได้เลยนะคะ ตัวเราลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่ 2 เม.ย.61 ค่อนข้างนานพอควร เพราะอยากไปจริงๆ ระหว่างนั้น ก็นั่งนับวันรอว่า เมื่อไหร่จะถึงซักที อยากไปแล้ว เมื่อใกล้ถึงวันก็เริ่มนับถอยหลังด้วยความตื้นเต้น และรีบจัดเตรียมของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อยค่ะ สำหรับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆนั้น สามารถดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่างเลยนะคะ รวมถึงข้อปฏิบัติ และข้อห้ามต่างๆระหว่างที่เราเข้าร่วมกิจกรรมค่ะ
ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง เราไปถึงที่เสถียรธรรมสถานประมาณ 15.45 น. แนะนำให้ไปรถโดยสารสาธารณะ หรือให้ที่บ้านไปส่งจะดีที่สุดค่ะ เนื่องจากไม่มีที่จอดรถ และริมถนนเองก็จอดได้เพียงไม่กี่คัน และไม่สามารถจอดรถค้างคืนได้ด้วย เมื่อมาถึง ก็เข้ามาแจ้งที่ศาลาด้านหน้าสุดกับพี่ๆแม่ชีได้เลยค่ะว่า ลงทะบียนเข้าร่วมปฏิบัติธรรมอานาปานสติไว้ จากนั้นก็สามารถเดินเข้ามาด้านในได้เลยนะคะ เพื่อไปยังจุดลงทะเบียนที่อยู่ด้านในต่อค่ะ จากศาลาที่แจ้งพี่ๆแม่ชีแล้ว และกำลังจะเข้าไปด้านในนั้น เราต้องถอดรองเท้าตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปเลยนะคะ จากตรงนี้ เราต้องเดินเท้าเปล่าตลอดเวลาไปอีก 2 วันกว่าๆ ภายในเสถียรธรรมสถาน ไม่อนุญาติให้ใส่รองเท้าเดินค่ะ
บรรยากาศแสนร่มรื่นด้านใน
หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว ก็มาที่จุดลงทะเบียน ให้เราแจ้งชื่อ-นามสกุล พร้อมนำบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ดู ทางเจ้าหน้าที่จะยื่นแบบฟอร์มให้เรากรอกข้อมูลค่ะ พร้อมกับใบแจ้งความจำนงในการร่วมทำบุญสนับสนุนการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เราต้องบอกก่อนนะคะว่า ในการทำบุญ แล้วแต่จิตศรัทธาของผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมแต่ละท่านเลยค่ะ ไม่มีการบังคับ หรือเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่ร่วมทำบุญ ให้นำใบที่เราเขียนอุทิศผลบุญให้ใคร พร้อมเงินเย็บเข้าด้วยกันและนำไปหย่อนลงตู้รับบริจาคค่ะ จากนั้นก็เดินมารับป้ายชื่อของตัวเอง ป้ายชื่อจะมีประมาณ 3-4 สี ไม่ซ้ำกันนะคะ แต่ละสีเป็นการแบ่งกลุ่ม เพื่อให้ทราบว่า เราจะได้ไปนอนที่หอนอนหอไหน มีหลายที่กระจายกันออกไปค่ะ รับป้ายชื่อเสร็จ ก็มานั่งฟังปฐมนิเทศน์ต่อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากที่ปฐมนิเทศน์เรียบร้อยแล้ว พี่ๆแม่ชี จะให้เราแยกย้ายกันเข้าหอนอน โดยจัดกลุ่มตามสีของป้ายชื่อที่เราได้ค่ะ ของเราได้สีชมพู เป็นหอนอนที่อยู่ไกลสุดเลย มีเพื่อนร่วมห้องประมาณ 18 คน โดยในห้องเป็นเตียง 2 ชั้นค่ะ เราเลือกนอนเตียงชั้นบน ภาพรวมในห้อง สะอาดสะอ้านดีค่ะ มีแอร์และพัดลม ไม่ร้อนๆ ตอนกลางคืนพี่ๆแม่ชีจะมาเปิดแอร์ให้นะคะ หลังจากเข้าหอนอนแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาว เพื่อเตรียมตัวทำวัตรเย็นกันค่ะ กิจกรรมจะจบลงประมาณ 3 ทุ่ม เราก็กลับไปพักผ่อนที่หอนอน ประมาณ 4 ทุ่ม พี่ๆแม่ชีจะมาเดินตรวจดู และปิดไฟให้ค่ะ เราต้องนอนกันเร็วๆ เพราะอีกวัน ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาเตรียมตัวทำวัตรเช้าค่ะ
ในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม จะเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ต่อด้วยโยคะสมาธิ หรือถ้าผู้ปฏิบัติธรรมท่านใด ไม่ได้เข้าร่วมโยคะสมาธิ สามารถเลือกเข้าไปเจริญภาวนาที่ห้องเกลือหิมาลายันได้ค่ะ ห้องเกลือหิมาลายันหรือห้องเกลือ คือห้องที่มีไว้สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมหรือบุคคลภายนอกเข้าไปเจริญภาวนา ทำสมาธิ ที่เรียกว่าห้องเกลือนั้น เนื่องจากภายใน เป็นผลึกเกลือสีชมพูจากเหมืองเกลือปากีสถาน ซึ่งรู้จักกันในนาม Original Himalayan Crystal Salt ได้รับการรับรองว่าเป็นผลึกหินเกลือที่มีคุณภาพสูงที่สุดในโลก ก่อกำเนิดขึ้นจากกระบวนการธรรมชาติเมื่อ 250 ล้านปีก่อน ซึ่งปราศจากมลพิษใดๆ มีความสะอาด บริสุทธิ์ และประกอบด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถึง 84 ชนิด ซึ่งเป็นแร่ธาตุแบบเดียวกับที่อยู่ในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ให้เลือดลมในร่างกายหมุนเวียนได้ดี หลังจากกิจกรรมนี้ เราต้องเตรียมตัวเพื่อไปใส่บาตรต่อ โดยเราสามารถซื้ออาหารได้จากร้านอาหารที่อยู่ในโรงอาหาร และซุ้มต่างๆที่ทางเสถียรธรรมสถานจัดเตรียมไว้ให้ อีกสักครู่ จะมีพี่ๆแม่ชีเดินมารับบิณฑบาตร หลังจากใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว เราสามารถทานอาหารได้เลย โดยอาหารจะมี 2 แบบให้เลือกคือ อาหารที่ทางเสถียรฯจัดไว้ให้ และร้านอาหารที่เราสามารถซื้อทานเองได้ (เป็นอาหารเจนะคะ)
ห้องเกลือหิมาลายัน รูปภาพจากเพจเสถียรฯ
บรรยากาศช่วงรอใส่บาตร
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมจะมารวมตัวกันที่ศาลาเพื่อเข้าร่วมรายการวิทยุ “สาวิกา” เป็นรายการสดนะคะ (ถ่ายทอดสดลง facebook ผ่านหน้าเพจของเสถียรธรรมสถาน) เพื่อให้บุคคลที่สนใจ สามารถร่วมฟังสดไปพร้อมกัน และบุคคลทางบ้าน สามารถส่งคำถามผ่านทาง comment มาได้ค่ะ โดยวันที่เราไปปฏิบัติธรรม โชคดีมากค่ะที่เราได้พบคุณยายแม่ชีศันสนีย์ ท่านเป็นผู้มาตอบปัญหาทางธรรมต่างๆเองเลยค่ะ ตอนที่เห็นคุณยายครั้งแรก แอบตื่นเต้น ได้ยินชื่อท่านมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้ได้พบตัวจริงท่านซะที รายการจะดำเนินไปโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆนะคะ ระหว่างรายการดำเนินไป จะเป็นการตั้งคำถาม และตอบคำถามในประเด็นต่างๆที่มีผู้ถามเข้ามา แต่ละคำตอบสำหรับตัวเราเองนะคะ ได้แง่คิดอะไรหลายอย่างเลย โดยเฉพาะการใช้ชีวิตอย่างมีสติค่ะ จริงๆมีอีกหลายแง่คิด แต่ให้ลองไปฟังด้วยตัวเองดีกว่า เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เอามาเล่าไม่หมดจริงๆ เป็นเรื่องที่ดีๆทั้งนั้นค่ะ
บรรยากาศภายในศาลาที่นั่งปฏิบัติธรรม และเรียนธรรมะ
ในส่วนของช่วงบ่าย คุณยายเป็นผู้มาสอนหลักธรรมะต่างๆให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองค่ะ จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในส่วนนี้ หลักคำสอนที่เราชอบเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ผัสสะ” (สัมผัส การกระทบ) ผัสสะเป็นปัจจัยคือ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา ได้แก่ อารมณ์ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง เป็นต้น ขออนุญาติกล่าวถึงโดยคร่าวๆประมาณนี้นะคะ คุณยายจะแนะนำวิธีในการทำให้ผัสสะหายไป กิจกรรมในส่วนของการสอนหลักธรรมะต่างๆ จะดำเนินไปถึงประมาณ 4 โมงเย็น จากนั้น คุณยายและคณะพี่ๆแม่ชี จะพาพวกเราขึ้นไปยังถ้ำพระอารยตารามหาโพธิสัตว์หมื่นพระองค์ที่ดาดฟ้าชั้นบนสุด สถานที่นี้บอกได้เลยว่า มีพลังมหาศาลต่อการอธิษฐานและการภาวนา ภายในตกแต่งสวยงามมาก เราเข้าไปแล้วรู้สึกสงบ และขณะเดียวกันก็ตะลึงกับความงดงามภายในถ้ำแห่งนี้ ขอบอกเลยว่า ถ้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่ ถ้ำพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ ถึงเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ต้องขึ้นมาให้ได้ค่ะ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเข้ามาภายในถ้ำกันครบหมดแล้ว คุณยายจะเป็นผู้นำสวดมนต์ และอธิษฐานจิตเพื่อให้ทุกคนขอพรต่อองค์พระอารยตาราค่ะ
ระหว่างเดินขึ้นไปยังถ้ำพระอารยตารา ของจริงสวยมาก
เราขออนุญาตลงลิงค์ประวัติของพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ไว้ในที่นี้นะคะ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมที่นี่ รวมถึงผู้ที่สนใจค่ะ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.thairath.co.th/content/484102 นะคะ)
หลังเราอธิษฐานจิตในถ้ำถ้ำพระอารยตาราเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะกลับลงมาด้านล่าง เพื่อที่จะได้ไปทานน้ำปานะก่อนทำวัตรเย็นค่ะ ในการมาปฏิบัติธรรม เราจะทานอาหารได้เพียง 2 มื้อเท่านั้น มื้อเย็นดื่มได้แต่น้ำปานะ เหมือนวันแรกที่เรามาถึงนะคะ เราจะเข้าหอนอนกันตอน 3 ทุ่ม และนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันต่อไปค่ะ
ตื่นเช้ามา นี่ก็วันที่ 3 แล้ว เวลาแต่ละนาทีที่อยู่ที่นี่ ผ่านไปเร็วมาก วันนี้เป็นวันที่การปฏิบัติธรรมของเราจะสิ้นสุดลง โดยส่วนตัว แอบใจหายนะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ กิจกรรมของวันนี้ในช่วงเช้า จะเหมือนกับวันที่ 2 เพียงแต่ของเรา หลังจบรายการวิทยุ “สาวิกา” แล้ว จะเป็นกิจกรรมเดินจงกรม อันที่จริงต้องได้เดินตั้งแต่วันเสาร์ แต่ฝนตกหนักมาก จึงต้องเลื่อนมาเดินจงกรมในวันนี้แทน ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนจะเดินต่อแถวเรียงหนึ่งกันไปเรื่อยๆ โดยมีพี่ๆแม่ชีเป็นคนเดินนำ ตลอดระยะทางที่เดินจงกรม ความรู้สึกส่วนตัวนะคะ จิตใจสงบมาก ระยะทางในการเดินไม่ได้ไกลมาก แต่บรรยากาศสองข้างทางระหว่างเดินจงกรมนั้น ธรรมชาติสุดๆค่ะ นึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในป่า ไม่คิดว่าในกรุงเทพฯจะมีสถานที่แบบนี้หลงเหหลงเหลืออยู่ และในส่วนของช่วงบ่าย จะเป็นการบรรยายหัวข้อ “ธรรมชาติบำบัดเพื่อชีวิตที่เป็นสุข” โดยวิทยากรผู้ให้ความรู้คือ แม่อู่ ชัญญา เศรษฐบุตร นักธรรมชาติบำบัดจิตอาสาของเสถียรธรรมสถาน กิจกรรมนี้เป็นสุดท้ายก่อนที่เราจะได้กลับบ้าน และถือเป็นอันสิ้นสุดระยะเวลา 3 วัน 2 คืนของการปฏิบัติธรรมอานาปานสติค่ะ
จาก 3 วัน 2 คืนของการมาปฏิบัติธรรมอานาปานสติที่เสถียรธรรมสถาน มันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ากับจิตใจช่วงหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ เราก็เหมือนคนทั่วไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน อยู่ในสังคมคนกรุงเทพฯที่มีแต่ความเร่งรีบ ความเครียด ความเห็นแก่ตัว และการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวัน ร่างกายก็โอเคนะ แต่บางครั้งจิตใจไม่ได้โอเคหรอกค่ะ ลึกๆแล้ว ต้องการความสงบพูดง่ายๆคือ back to basic บ้าง นั่นคือสิ่งลึกๆที่จิตใจต้องการ ส่วนตัวเราเอง มีความรู้สึกว่า การมาปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรกที่นี่ เราได้มุมมองดีๆในชีวิตหลายเรื่องเลย บางเรื่องทำให้เราปรับทัศนคติในการมอง ธรรมะต่างๆที่คุณยายและพี่ๆแม่ชีสอน เป็นเรื่องที่นำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่นำมาอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น และทำให้เราเห็นภาพ เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตได้เลย สิ่งที่ทุกท่านสอนล้วนทำให้ชีวิตเราพบเจอกับความสุขได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์และความประทับใจของเราต่อการมาปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถานเป็นครั้งแรก เราหวังว่า กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจจะมาปฏิบัติธรรม หรือทุกคนที่อยากทราบว่า มาปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร สุดท้ายเราขออนุโทธนาให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ จงมีแต่ความสุขความเจริญ ได้พบและเจอแต่สิ่งดีๆในชีวิตค่ะ
“เราปฏิบัติธรรมเพื่อดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกข์
อยู่กับใคร...ก็ไม่ทุกข์ อยู่คนเดียว...ก็ไม่ทุกข์
เพราะมีความคิดเห็นที่ถูกต้องในการพิจารณาทุกสิ่ง
ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ"
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
3 วัน 2 คืน กับการปฏิบัติธรรมครั้งแรกที่เสถียรธรรมสถาน 11-13 พ.ค. 61
เริ่มต้น...ทำไมเราถึงตัดสินใจไปปฏิบัติธรรม?? เหตุผลง่ายๆคือ เรารู้สึกว่า ชีวิตดูยุ่งๆ จิตใจไม่สงบ มีความเครียดพอสมควร จึงมีความคิดว่า เราจะลองไปปฏิบัติธรรมดูซัก 2-3 วันดีมั้ย เพื่อให้จิตใจสงบขึ้น เอาตัวเองออกไปจากโลกภายนอกที่วุ่นวายบ้าง พอคิดได้แบบนี้ เราจึงหาข้อมูล และคุยกับพี่ที่เคยไปปฏิบัติธรรม และขอคำแนะนำว่า ควรไปที่ไหนดี (ในใจนึกถึงสถียรธรรมสถานแต่แรกอยู่แล้ว เพราะได้ยินชื่อ คุณยายแม่ชีศันสนีย์มานานแล้ว) พอตัดสินใจได้ว่าเสถียรธรรมสถานนี่แหล่ะ เราจึงหาข้อมูลจาก http://www.sdsweb.org/new/event&year=2018 และชวนสามีไปร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน
กิจกรรมที่เราลงทะเบียนเข้าร่วมคือ ปฏิบัติธรรมอานาปานสติ 11-13 พฤษภาคม 2561 สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วม สามารถลงทะเบียนปฏิบัติธรรมออนไลน์ผ่านแบบฟอร์มที่อยู่ในเว็บไซต์ได้เลยนะคะ ตัวเราลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่ 2 เม.ย.61 ค่อนข้างนานพอควร เพราะอยากไปจริงๆ ระหว่างนั้น ก็นั่งนับวันรอว่า เมื่อไหร่จะถึงซักที อยากไปแล้ว เมื่อใกล้ถึงวันก็เริ่มนับถอยหลังด้วยความตื้นเต้น และรีบจัดเตรียมของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อยค่ะ สำหรับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆนั้น สามารถดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่างเลยนะคะ รวมถึงข้อปฏิบัติ และข้อห้ามต่างๆระหว่างที่เราเข้าร่วมกิจกรรมค่ะ
ในที่สุดวันที่เรารอคอยก็มาถึง เราไปถึงที่เสถียรธรรมสถานประมาณ 15.45 น. แนะนำให้ไปรถโดยสารสาธารณะ หรือให้ที่บ้านไปส่งจะดีที่สุดค่ะ เนื่องจากไม่มีที่จอดรถ และริมถนนเองก็จอดได้เพียงไม่กี่คัน และไม่สามารถจอดรถค้างคืนได้ด้วย เมื่อมาถึง ก็เข้ามาแจ้งที่ศาลาด้านหน้าสุดกับพี่ๆแม่ชีได้เลยค่ะว่า ลงทะบียนเข้าร่วมปฏิบัติธรรมอานาปานสติไว้ จากนั้นก็สามารถเดินเข้ามาด้านในได้เลยนะคะ เพื่อไปยังจุดลงทะเบียนที่อยู่ด้านในต่อค่ะ จากศาลาที่แจ้งพี่ๆแม่ชีแล้ว และกำลังจะเข้าไปด้านในนั้น เราต้องถอดรองเท้าตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปเลยนะคะ จากตรงนี้ เราต้องเดินเท้าเปล่าตลอดเวลาไปอีก 2 วันกว่าๆ ภายในเสถียรธรรมสถาน ไม่อนุญาติให้ใส่รองเท้าเดินค่ะ
หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว ก็มาที่จุดลงทะเบียน ให้เราแจ้งชื่อ-นามสกุล พร้อมนำบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่ดู ทางเจ้าหน้าที่จะยื่นแบบฟอร์มให้เรากรอกข้อมูลค่ะ พร้อมกับใบแจ้งความจำนงในการร่วมทำบุญสนับสนุนการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เราต้องบอกก่อนนะคะว่า ในการทำบุญ แล้วแต่จิตศรัทธาของผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมแต่ละท่านเลยค่ะ ไม่มีการบังคับ หรือเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่ร่วมทำบุญ ให้นำใบที่เราเขียนอุทิศผลบุญให้ใคร พร้อมเงินเย็บเข้าด้วยกันและนำไปหย่อนลงตู้รับบริจาคค่ะ จากนั้นก็เดินมารับป้ายชื่อของตัวเอง ป้ายชื่อจะมีประมาณ 3-4 สี ไม่ซ้ำกันนะคะ แต่ละสีเป็นการแบ่งกลุ่ม เพื่อให้ทราบว่า เราจะได้ไปนอนที่หอนอนหอไหน มีหลายที่กระจายกันออกไปค่ะ รับป้ายชื่อเสร็จ ก็มานั่งฟังปฐมนิเทศน์ต่อ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากที่ปฐมนิเทศน์เรียบร้อยแล้ว พี่ๆแม่ชี จะให้เราแยกย้ายกันเข้าหอนอน โดยจัดกลุ่มตามสีของป้ายชื่อที่เราได้ค่ะ ของเราได้สีชมพู เป็นหอนอนที่อยู่ไกลสุดเลย มีเพื่อนร่วมห้องประมาณ 18 คน โดยในห้องเป็นเตียง 2 ชั้นค่ะ เราเลือกนอนเตียงชั้นบน ภาพรวมในห้อง สะอาดสะอ้านดีค่ะ มีแอร์และพัดลม ไม่ร้อนๆ ตอนกลางคืนพี่ๆแม่ชีจะมาเปิดแอร์ให้นะคะ หลังจากเข้าหอนอนแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขาว เพื่อเตรียมตัวทำวัตรเย็นกันค่ะ กิจกรรมจะจบลงประมาณ 3 ทุ่ม เราก็กลับไปพักผ่อนที่หอนอน ประมาณ 4 ทุ่ม พี่ๆแม่ชีจะมาเดินตรวจดู และปิดไฟให้ค่ะ เราต้องนอนกันเร็วๆ เพราะอีกวัน ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาเตรียมตัวทำวัตรเช้าค่ะ
ในวันที่สองของการปฏิบัติธรรม จะเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ต่อด้วยโยคะสมาธิ หรือถ้าผู้ปฏิบัติธรรมท่านใด ไม่ได้เข้าร่วมโยคะสมาธิ สามารถเลือกเข้าไปเจริญภาวนาที่ห้องเกลือหิมาลายันได้ค่ะ ห้องเกลือหิมาลายันหรือห้องเกลือ คือห้องที่มีไว้สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมหรือบุคคลภายนอกเข้าไปเจริญภาวนา ทำสมาธิ ที่เรียกว่าห้องเกลือนั้น เนื่องจากภายใน เป็นผลึกเกลือสีชมพูจากเหมืองเกลือปากีสถาน ซึ่งรู้จักกันในนาม Original Himalayan Crystal Salt ได้รับการรับรองว่าเป็นผลึกหินเกลือที่มีคุณภาพสูงที่สุดในโลก ก่อกำเนิดขึ้นจากกระบวนการธรรมชาติเมื่อ 250 ล้านปีก่อน ซึ่งปราศจากมลพิษใดๆ มีความสะอาด บริสุทธิ์ และประกอบด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถึง 84 ชนิด ซึ่งเป็นแร่ธาตุแบบเดียวกับที่อยู่ในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ให้เลือดลมในร่างกายหมุนเวียนได้ดี หลังจากกิจกรรมนี้ เราต้องเตรียมตัวเพื่อไปใส่บาตรต่อ โดยเราสามารถซื้ออาหารได้จากร้านอาหารที่อยู่ในโรงอาหาร และซุ้มต่างๆที่ทางเสถียรธรรมสถานจัดเตรียมไว้ให้ อีกสักครู่ จะมีพี่ๆแม่ชีเดินมารับบิณฑบาตร หลังจากใส่บาตรเรียบร้อยแล้ว เราสามารถทานอาหารได้เลย โดยอาหารจะมี 2 แบบให้เลือกคือ อาหารที่ทางเสถียรฯจัดไว้ให้ และร้านอาหารที่เราสามารถซื้อทานเองได้ (เป็นอาหารเจนะคะ)
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมจะมารวมตัวกันที่ศาลาเพื่อเข้าร่วมรายการวิทยุ “สาวิกา” เป็นรายการสดนะคะ (ถ่ายทอดสดลง facebook ผ่านหน้าเพจของเสถียรธรรมสถาน) เพื่อให้บุคคลที่สนใจ สามารถร่วมฟังสดไปพร้อมกัน และบุคคลทางบ้าน สามารถส่งคำถามผ่านทาง comment มาได้ค่ะ โดยวันที่เราไปปฏิบัติธรรม โชคดีมากค่ะที่เราได้พบคุณยายแม่ชีศันสนีย์ ท่านเป็นผู้มาตอบปัญหาทางธรรมต่างๆเองเลยค่ะ ตอนที่เห็นคุณยายครั้งแรก แอบตื่นเต้น ได้ยินชื่อท่านมาตั้งแต่เด็กๆ วันนี้ได้พบตัวจริงท่านซะที รายการจะดำเนินไปโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆนะคะ ระหว่างรายการดำเนินไป จะเป็นการตั้งคำถาม และตอบคำถามในประเด็นต่างๆที่มีผู้ถามเข้ามา แต่ละคำตอบสำหรับตัวเราเองนะคะ ได้แง่คิดอะไรหลายอย่างเลย โดยเฉพาะการใช้ชีวิตอย่างมีสติค่ะ จริงๆมีอีกหลายแง่คิด แต่ให้ลองไปฟังด้วยตัวเองดีกว่า เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เอามาเล่าไม่หมดจริงๆ เป็นเรื่องที่ดีๆทั้งนั้นค่ะ
ในส่วนของช่วงบ่าย คุณยายเป็นผู้มาสอนหลักธรรมะต่างๆให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองค่ะ จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในส่วนนี้ หลักคำสอนที่เราชอบเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ผัสสะ” (สัมผัส การกระทบ) ผัสสะเป็นปัจจัยคือ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา ได้แก่ อารมณ์ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง เป็นต้น ขออนุญาติกล่าวถึงโดยคร่าวๆประมาณนี้นะคะ คุณยายจะแนะนำวิธีในการทำให้ผัสสะหายไป กิจกรรมในส่วนของการสอนหลักธรรมะต่างๆ จะดำเนินไปถึงประมาณ 4 โมงเย็น จากนั้น คุณยายและคณะพี่ๆแม่ชี จะพาพวกเราขึ้นไปยังถ้ำพระอารยตารามหาโพธิสัตว์หมื่นพระองค์ที่ดาดฟ้าชั้นบนสุด สถานที่นี้บอกได้เลยว่า มีพลังมหาศาลต่อการอธิษฐานและการภาวนา ภายในตกแต่งสวยงามมาก เราเข้าไปแล้วรู้สึกสงบ และขณะเดียวกันก็ตะลึงกับความงดงามภายในถ้ำแห่งนี้ ขอบอกเลยว่า ถ้ามาปฏิบัติธรรมที่นี่ ถ้ำพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ ถึงเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ต้องขึ้นมาให้ได้ค่ะ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเข้ามาภายในถ้ำกันครบหมดแล้ว คุณยายจะเป็นผู้นำสวดมนต์ และอธิษฐานจิตเพื่อให้ทุกคนขอพรต่อองค์พระอารยตาราค่ะ
เราขออนุญาตลงลิงค์ประวัติของพระอารยตารามหาโพธิสัตว์ไว้ในที่นี้นะคะ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมที่นี่ รวมถึงผู้ที่สนใจค่ะ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.thairath.co.th/content/484102 นะคะ)
หลังเราอธิษฐานจิตในถ้ำถ้ำพระอารยตาราเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะกลับลงมาด้านล่าง เพื่อที่จะได้ไปทานน้ำปานะก่อนทำวัตรเย็นค่ะ ในการมาปฏิบัติธรรม เราจะทานอาหารได้เพียง 2 มื้อเท่านั้น มื้อเย็นดื่มได้แต่น้ำปานะ เหมือนวันแรกที่เรามาถึงนะคะ เราจะเข้าหอนอนกันตอน 3 ทุ่ม และนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันต่อไปค่ะ
ตื่นเช้ามา นี่ก็วันที่ 3 แล้ว เวลาแต่ละนาทีที่อยู่ที่นี่ ผ่านไปเร็วมาก วันนี้เป็นวันที่การปฏิบัติธรรมของเราจะสิ้นสุดลง โดยส่วนตัว แอบใจหายนะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ กิจกรรมของวันนี้ในช่วงเช้า จะเหมือนกับวันที่ 2 เพียงแต่ของเรา หลังจบรายการวิทยุ “สาวิกา” แล้ว จะเป็นกิจกรรมเดินจงกรม อันที่จริงต้องได้เดินตั้งแต่วันเสาร์ แต่ฝนตกหนักมาก จึงต้องเลื่อนมาเดินจงกรมในวันนี้แทน ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนจะเดินต่อแถวเรียงหนึ่งกันไปเรื่อยๆ โดยมีพี่ๆแม่ชีเป็นคนเดินนำ ตลอดระยะทางที่เดินจงกรม ความรู้สึกส่วนตัวนะคะ จิตใจสงบมาก ระยะทางในการเดินไม่ได้ไกลมาก แต่บรรยากาศสองข้างทางระหว่างเดินจงกรมนั้น ธรรมชาติสุดๆค่ะ นึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในป่า ไม่คิดว่าในกรุงเทพฯจะมีสถานที่แบบนี้หลงเหหลงเหลืออยู่ และในส่วนของช่วงบ่าย จะเป็นการบรรยายหัวข้อ “ธรรมชาติบำบัดเพื่อชีวิตที่เป็นสุข” โดยวิทยากรผู้ให้ความรู้คือ แม่อู่ ชัญญา เศรษฐบุตร นักธรรมชาติบำบัดจิตอาสาของเสถียรธรรมสถาน กิจกรรมนี้เป็นสุดท้ายก่อนที่เราจะได้กลับบ้าน และถือเป็นอันสิ้นสุดระยะเวลา 3 วัน 2 คืนของการปฏิบัติธรรมอานาปานสติค่ะ
จาก 3 วัน 2 คืนของการมาปฏิบัติธรรมอานาปานสติที่เสถียรธรรมสถาน มันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่ากับจิตใจช่วงหนึ่งของชีวิตเลยก็ว่าได้ เราก็เหมือนคนทั่วไปทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน อยู่ในสังคมคนกรุงเทพฯที่มีแต่ความเร่งรีบ ความเครียด ความเห็นแก่ตัว และการแข่งขันที่สูงขึ้นทุกวัน ร่างกายก็โอเคนะ แต่บางครั้งจิตใจไม่ได้โอเคหรอกค่ะ ลึกๆแล้ว ต้องการความสงบพูดง่ายๆคือ back to basic บ้าง นั่นคือสิ่งลึกๆที่จิตใจต้องการ ส่วนตัวเราเอง มีความรู้สึกว่า การมาปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรกที่นี่ เราได้มุมมองดีๆในชีวิตหลายเรื่องเลย บางเรื่องทำให้เราปรับทัศนคติในการมอง ธรรมะต่างๆที่คุณยายและพี่ๆแม่ชีสอน เป็นเรื่องที่นำมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่นำมาอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น และทำให้เราเห็นภาพ เราสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตได้เลย สิ่งที่ทุกท่านสอนล้วนทำให้ชีวิตเราพบเจอกับความสุขได้ง่ายขึ้น ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์และความประทับใจของเราต่อการมาปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถานเป็นครั้งแรก เราหวังว่า กระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจจะมาปฏิบัติธรรม หรือทุกคนที่อยากทราบว่า มาปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร สุดท้ายเราขออนุโทธนาให้ทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ จงมีแต่ความสุขความเจริญ ได้พบและเจอแต่สิ่งดีๆในชีวิตค่ะ
อยู่กับใคร...ก็ไม่ทุกข์ อยู่คนเดียว...ก็ไม่ทุกข์
เพราะมีความคิดเห็นที่ถูกต้องในการพิจารณาทุกสิ่ง
ตามความเป็นจริงของธรรมชาติ"
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต