(***กระทู้นี้หมายถึงการให้เงินพระหรือพระรับเงินทอง ไม่เกี่ยวกับการให้เงินวัด บริจาคเงินให้วัดนะครับ***)
เงินทอง เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับพระภิกษุ เป็นสิ่งต้องห้ามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ห้ามรับเงินทองเด็ดขาด พระรูปใดรับเงินทองต้องอาบัติรุนแรง
และด้วยความที่เป็นสิ่งต้องห้าม เปรียบเหมือนเป็นอสรพิษ เพียงแค่อาบัติเท่านั้นยังไม่พอ ต้องสละทรัพย์หรือเงินที่รับมานั้นก่อนด้วยจึงจะสามารถปลงอาบัติได้ (เรียกว่า นิสสัคคียปาจิตตีย์)
นั่นจึงเท่ากับว่า ทุกวันนี้ มีพระภิกษุจำนวนมากมาย ที่ต้องอยู่ในสถานภาพพระที่ติดอาบัติเรื่องการรับเงินไปตลอดชีวิตของการบวช
อย่างไรก็ตาม อาบัติ เป็นสิ่งที่น่าละอายสำหรับพระ ดังนั้น พระที่ไม่มีความละอายจะไม่มีผลใดๆ (อาจจะเพราะไม่ได้ตั้งใจบวชเพื่อละกิเลสตั้งแต่แรก)
ในส่วนของฆราวาสที่ให้เงินพระ มี 2 กรณี คือ เจตนาไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า กับ ด้วยความไม่รู้
ซึ่งการที่มีเจตนาไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า แยกเป็น 3 อย่าง คือ อย่างแรก ไม่เชื่อเพราะความหวังดี ปรารถนาดี เช่น คิดว่าพระภิกษุก็เป็นลูกชาวบ้าน ใช้ชีวิตเหมือนพวกเราที่เป็นฆราวาส ต้องใช้เงิน ซื้อของ เดินทาง ฯลฯ ย่อมต้องใช้เงินเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าคงไม่เข้าใจส่วนนี้จึงบัญญัติโทษ ที่จริงเราไม่ควรห้าม
อย่างที่สอง อาจจะแค่คิดว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วเราได้บุญ ก็ทำไป พระท่านรับเงินไปเดี๋ยวท่านก็ไปสละทรัพย์และปลงอาบัติเอง
จริงอยู่ครับ พระ(ที่ดี)ทุกรูป ท่านบวชเพราะมีเจตนาละกิเลส เมื่อท่านรับเงินมาท่านก็สละเงินนั้นให้กับวัด แต่นั่นก็เปิดโอกาสให้อลัชชีแฝงเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
และอย่างสุดท้ายก็คือ เจตนาทุจริต
อีกกรณีหนึ่งที่คนให้เงินพระ ก็คือ ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าพระรับเงินทองไม่ได้ เป็นอาบัติที่รุนแรง ซึ่งกรณีนี้เองที่ทำให้ผมตั้งกระทู้เพื่อให้ใช้โอกาสเรื่องพระที่ทุจริตเงินนี้ ให้ความรู้ความเข้าใจกับฆราวาส กับประชาชน
(พระวินัยใช้คำว่า อาบัติเบา หมายถึง อาบัติลหุโทษ ปลงอาบัติได้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นอาบัติไม่รุนแรงนะครับ คนละเรื่อง ในขณะที่เรียกปาราชิกเป็น อาบัติหนัก เพราะปลงอาบัติไม่ได้ ขาดจากความเป็นพระอัตโนมัติ)
ก็ขอฝากพวกเราช่วยกันนะครับ
สมเด็จพระสังฆราชฯ อย่างน้อยก็ 2 พระองค์หลัง พยายามพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็คงทราบกันดีนะครับว่าทั้ง 2 พระองค์จะได้รับการสนับสนุนจากมหาเถรสมาคมมากน้อยแค่ไหน ก็คงเหลืออีก 2 พุทธบริษัทอย่างพวกเรา คือ อุบาสก อุบาสิกา ที่ต้องช่วยกันนะครับ
อ้อ...ผมรู้ว่าคงจะมีคนที่เข้ามาบอกว่าพระรับเงิน สะสมเงิน เป็นเรื่องปกติ ทำกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดนิกายธรรมยุติขึ้นมาเพื่อให้พระภิกษุประพฤติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
ศาสนาพุทธ จำเป็นต้องอาศัยพุทธบริษัททั้ง 4 ช่วยกันปกป้องดูแล คงไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะสมไปกว่าตอนนี้นะครับ
หากผ่านช่วงนี้ไปเราอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก
ขอให้ใช้กรณีพระทุจริตเงินที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เป็นโอกาสให้ความรู้กับพุทธศาสนิกชนเรื่องการให้เงินพระ
เงินทอง เป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับพระภิกษุ เป็นสิ่งต้องห้ามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ห้ามรับเงินทองเด็ดขาด พระรูปใดรับเงินทองต้องอาบัติรุนแรง
และด้วยความที่เป็นสิ่งต้องห้าม เปรียบเหมือนเป็นอสรพิษ เพียงแค่อาบัติเท่านั้นยังไม่พอ ต้องสละทรัพย์หรือเงินที่รับมานั้นก่อนด้วยจึงจะสามารถปลงอาบัติได้ (เรียกว่า นิสสัคคียปาจิตตีย์)
นั่นจึงเท่ากับว่า ทุกวันนี้ มีพระภิกษุจำนวนมากมาย ที่ต้องอยู่ในสถานภาพพระที่ติดอาบัติเรื่องการรับเงินไปตลอดชีวิตของการบวช
อย่างไรก็ตาม อาบัติ เป็นสิ่งที่น่าละอายสำหรับพระ ดังนั้น พระที่ไม่มีความละอายจะไม่มีผลใดๆ (อาจจะเพราะไม่ได้ตั้งใจบวชเพื่อละกิเลสตั้งแต่แรก)
ในส่วนของฆราวาสที่ให้เงินพระ มี 2 กรณี คือ เจตนาไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า กับ ด้วยความไม่รู้
ซึ่งการที่มีเจตนาไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า แยกเป็น 3 อย่าง คือ อย่างแรก ไม่เชื่อเพราะความหวังดี ปรารถนาดี เช่น คิดว่าพระภิกษุก็เป็นลูกชาวบ้าน ใช้ชีวิตเหมือนพวกเราที่เป็นฆราวาส ต้องใช้เงิน ซื้อของ เดินทาง ฯลฯ ย่อมต้องใช้เงินเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าคงไม่เข้าใจส่วนนี้จึงบัญญัติโทษ ที่จริงเราไม่ควรห้าม
อย่างที่สอง อาจจะแค่คิดว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วเราได้บุญ ก็ทำไป พระท่านรับเงินไปเดี๋ยวท่านก็ไปสละทรัพย์และปลงอาบัติเอง
จริงอยู่ครับ พระ(ที่ดี)ทุกรูป ท่านบวชเพราะมีเจตนาละกิเลส เมื่อท่านรับเงินมาท่านก็สละเงินนั้นให้กับวัด แต่นั่นก็เปิดโอกาสให้อลัชชีแฝงเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
และอย่างสุดท้ายก็คือ เจตนาทุจริต
อีกกรณีหนึ่งที่คนให้เงินพระ ก็คือ ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าพระรับเงินทองไม่ได้ เป็นอาบัติที่รุนแรง ซึ่งกรณีนี้เองที่ทำให้ผมตั้งกระทู้เพื่อให้ใช้โอกาสเรื่องพระที่ทุจริตเงินนี้ ให้ความรู้ความเข้าใจกับฆราวาส กับประชาชน
(พระวินัยใช้คำว่า อาบัติเบา หมายถึง อาบัติลหุโทษ ปลงอาบัติได้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นอาบัติไม่รุนแรงนะครับ คนละเรื่อง ในขณะที่เรียกปาราชิกเป็น อาบัติหนัก เพราะปลงอาบัติไม่ได้ ขาดจากความเป็นพระอัตโนมัติ)
ก็ขอฝากพวกเราช่วยกันนะครับ
สมเด็จพระสังฆราชฯ อย่างน้อยก็ 2 พระองค์หลัง พยายามพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็คงทราบกันดีนะครับว่าทั้ง 2 พระองค์จะได้รับการสนับสนุนจากมหาเถรสมาคมมากน้อยแค่ไหน ก็คงเหลืออีก 2 พุทธบริษัทอย่างพวกเรา คือ อุบาสก อุบาสิกา ที่ต้องช่วยกันนะครับ
อ้อ...ผมรู้ว่าคงจะมีคนที่เข้ามาบอกว่าพระรับเงิน สะสมเงิน เป็นเรื่องปกติ ทำกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดนิกายธรรมยุติขึ้นมาเพื่อให้พระภิกษุประพฤติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้
ศาสนาพุทธ จำเป็นต้องอาศัยพุทธบริษัททั้ง 4 ช่วยกันปกป้องดูแล คงไม่มีช่วงเวลาใดที่เหมาะสมไปกว่าตอนนี้นะครับ
หากผ่านช่วงนี้ไปเราอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีก