เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์ ๆ หนึ่งกับตัวเอง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต นั่นคือ เส้นเอ็นที่หัวไหล่ข้างขวาฉีก หรือ Rotator Cuff Tear
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/rotator-cuff-tear
อาการ:
ช่วงแรก รู้สึกปวดต้นแขนขวา พอทายาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ 1 วันก็ดีขึ้น และอาการปวดต้นแขนก็หายไป
ช่วงกลาง อาการปวดต้นแขนขวาเป็นบ่อยขึ้น ทายาประมาณ 1 สัปดาห์อาการถึงดีขึ้น
ช่วงพีค ยกแขนขวาไม่ขึ้น ยกในระดับหัวไหล่แล้วเจ็บจี๊ดต้องรีบปล่อยแขนแนบลำตัวทันที
หมายเหตุ อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวมระยะเวลาหลายเดือนถึงเกือบปี
พบหมอ:
เจ้าหน้าที่ส่งตัวไปพบหมอที่แผนกเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกาย (ไม่ได้เป็นนักกีฬา ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่หมอแผนกนี้เชี่ยวชาญด้านหัวไหล่และหัวเข่า) หมอทดสอบอาการเจ็บด้วยการให้ทำท่านู่นนี่ ยกแขนดันสู้แรงของหมอในแต่ละท่า หมอหน้าเครียดลงไปทุกครั้งที่เปลี่ยนท่า หมอวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับเส้นเอ็น แต่เพื่อความแม่นยำหมอขอส่งตัวไปให้ทำ MRI เนื่องจากหมอทำงานครึ่งวัน ตอนไปทำ MRI ก็ช่วงเที่ยงเกือบบ่าย จึงต้องมาฟังผลในวันถัดไป
ผลตรวจ:
ผลออกมาว่ามีหินปูนเกาะที่กระดูกหัวไหล่และมีเส้นเอ็นฉีก เป็นเยอะขนาดที่ว่าต้องผ่าตัดเท่านั้น เส้นเอ็นไม่สามารถสมานตัวเองได้ การฉีดยา Steroids จะช่วยระงับความเจ็บปวดแค่ระยะเวลาสั้น ๆ (ไม่เกิน 6 เดือน) ในกรณีฉัน หมอบอกว่า ถ้าต้องการฉีดยา หมออนุญาตให้ฉีดได้แค่ครั้งเดียว แต่ต้องควบคู่ไปกับการกายภาพบำบัด มันอาจจะทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นแต่ไม่หาย และไม่สามารถใช้แขนหนัก ๆ ได้อย่างที่เคย หากไม่ทำการรักษา ปล่อยทิ้งไว้ไปเรื่อย ๆ เส้นเอ็นมีโอกาสฉีกจนขาด สุดท้ายต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อหัวไหล่ ซึ่งยุ่งยาก (และแพง) กว่ามาก
สาเหตุ:
1. พออายุเริ่มเยอะ จะมีหินปูนเกาะที่กระดูก (เป็นกันทุกคน แก่แล้วมันจะมา แต่ฉันเป็นเร็วไป ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป)
2. ใช้งานลักษณะที่ยกแขนสูงบ่อยและเหวี่ยงไปมา (ลองนึกถึงคนที่ทำความสะอาดบ้าน ใช้ไม้ขนไก่ปัดนู่นนี่ที่ต้องยกแขนสูง หรือเช็ดหลังคารถเหวี่ยงแขนไปมา)
3. ไม่มีกล้ามเนื้อที่จะมาช่วยพยุงเอ็นข้อหัวไหล่ (การทำงานบ้านเป็นประจำ ไม่ใช่การออกกำลังกาย มันไม่สร้างกล้ามเนื้อ)
หลังจากกลับบ้านมาคิดดูก่อนว่าจะยังไงดี ทำให้จิตตกไป 2 สัปดาห์ ด้วยทั้งพบว่ามีอาการเจ็บป่วยจนต้องผ่าตัดและราคาค่ารักษาที่การผ่าไส้ติ่งหรือตัดเต้านมทิ้งยังสู้ไม่ได้ ทั้งน้ำหนักลดและฟุ้งซ่าน จนได้ข้อสรุปและยอมรับชะตาตนเอง นั่นคือ เข้ารับการผ่าตัด
ผ่าตัด (Rotator Cuff Repair):
วันที่เข้ารับการผ่าตัด คือ วันเปิดเทอมของเด็กนักเรียนในปีที่แล้ว หมอนัดแปดโมงเช้า คิวผ่าตัดบ่ายโมง ห้ามกินอาหารหลังหกโมงเช้า รู้สึกขี้เกียจตื่นเช้าเพื่อมากินอาหารเลยไม่กินอะไรมันเลย พอหมอรู้ (พยาบาลมีสอบถามก่อนว่ากินอาหารครั้งสุดท้ายตอนกี่โมง) หมอเลยต้องให้ยาเคลือบกระเพาะมากินก่อน กลัวคนไข้ได้อีกโรค
เมื่อถึง รพ. แผนกผ่าตัด วัดความดันนู่นนี่ เจาะเลือด เซ็นเอกสารนู่นนี่ พบหมอผู้ช่วยซึ่งมาทำเครื่องหมายที่แขนที่จะผ่าตัด ตอบคำถามนู่นนี่ที่คนไข้สงสัย หลังจากนั้นถูกส่งตัวไปห้องพักผู้ป่วย เปลี่ยนเสื้อผ้า พบวิสัญญีแพทย์ซึ่งมาพูดคุยสอบถามการแพ้ยา/ให้คำแนะนำการดมยา พบศัลยแพทย์ (คนเดียวกับที่วินิจฉัย) เพื่อตรวจเช็คอาการบาดเจ็บอีกครั้งก่อนผ่าตัด แล้วก็นั่งรอจนถึงเวลาใกล้ผ่าตัดเจ้าหน้าที่ก็มารับตัวไป
เมื่อถึงห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์มีชวนคุยนิดหน่อย น่าจะเพื่อให้ฉันคลายเครียด จำได้ว่าคุยกันป๊อบแป๊บไม่กี่คำ แล้วก็มารู้สึกตัวอีกครั้งที่ห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ดีที่กำแพงตรงข้ามเตียงที่นอนอยู่มีนาฬิกาเลยรู้ว่ามันบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
หลังผ่าตัด:
ความรู้สึกแรก คือ ระคายคอ (เนื่องจากโดนสอดท่อช่วยหายใจระหว่างผ่าตัด) ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ที่แขนที่ได้รับการผ่าตัด เพราะหมอได้แจ้งไว้ก่อนแล้วว่าจะเจอยาชาอย่างหนัก ชาไปทั้งแขนจนถึงต้นคอ และแขนอยู่ใน Sling และปลอกหล่อเย็นเรียบร้อย
Sling (ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร ทั้งหมอและพยาบาลเรียก Sling กันหมด จะบอกว่าผ้าคล้องแขนมันก็ไม่ใช่ เลยขอใช้ทับศัพท์ละกัน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.mmarmedical.com/CSUS-Sling-with-Abduction-Pillow-p/3102xx.htm
ปลอกหล่อเย็น (Cryocuff)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.nkshoulderdoc.com/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89/
ตื่นสักพักไม่เห็นมีใครสนใจเลยกระแอมไอสักหน่อยบอกให้รู้ว่าตื่นแล้วนะ อีกสักพักเจ้าหน้าที่ก็มาพาไปห้องพักผู้ป่วย
การผ่าตัดของฉันเป็นแบบส่องกล้อง เพราะฉะนั้นแผลเล็ก ฉันมีแผลผ่าตัด 4 แผลรอบหัวไหล่ แต่ละแผลยาวขนาด 1 ซม. เป็นแนวตั้ง
พักที่ รพ. ทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ส่วนใหญ่ก็พักผ่อน กินยา/รับยาทางน้ำเกลือตามเวลา รอเวลาให้แขนหายชา กว่าที่แขนจะเริ่มมีความรู้สึกก็ใช้เวลา 24 ชม. กว่าที่แขนจะมีความรู้สึกเต็มที่ก็เกือบ 2 วัน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ไม่ได้เป็นผู้ป่วยวิกฤต เพราะกินข้าวได้ เดินเหินได้ แค่ใช้แขนขวาไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ รพ. นาน
วันที่ 2 ที่อยู่ รพ. หมอก็มาสอนท่ากายภาพเบื้องต้นเพื่อให้กลับไปทำที่บ้าน จริง ๆ ถ้าทำตอนนั้นได้เลยก็จะดี แต่แขนยังไม่หายชา ขยับได้แต่มือเลยไม่ได้ทำ
วันที่ 3 กลับบ้าน หลังจากพบหมอเพื่อดูแผล อธิบายนู่นนี่ต่าง ๆ เพื่อดูแลตัวเองต่อ ก็ได้รับยาแก้ปวดเยอะมากเพื่อกลับไปกินต่อที่บ้าน (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสำหรับ 2 สัปดาห์) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับบ้านได้
ตอนอยู่ รพ. สบายที่สุดแล้วเพราะมีนางพยาบาลดูแลทำนู่นทำนี่ให้ เพราะห้ามใช้แขนข้างที่ผ่าตัด เนื่องจากต้องการให้ไหมที่เย็บหมุดที่ตรึงเข้าที่เข้าทาง แขนต้องอยู่ใน Sling ตลอดเวลา แม้ตอนเช็ดตัว/อาบน้ำจะถอด Sling ได้ แต่นางพยาบาลก็หาขวดเปล่าขนาด 1.5 ลิตรมาให้หนีบป้องกันการยกแขนโดยไม่รู้ตัว ขวดเปล่าขวดนั้นฉันก็เอากลับบ้านมาด้วยนะ เพราะต้องใส่ Sling ไปอีก 6 สัปดาห์ ฉันก็ต้องหนีบขวดทุกครั้งที่อาบน้ำ
พักฟื้น:
ในช่วง 4 สัปดาห์แรก เสมือนเป็นผู้พิการมีแขนเดียว ต้องทำทุกอย่างด้วยมือซ้ายซึ่งมันไม่ใช่ข้างที่ถนัด เลยเพิ่งรู้ว่ามือ/แขนซ้ายเรานี่อ่อนแอมาก แค่แปรงฟันก็เมื่อยแล้ว กินข้าวก็ไม่ถนัด เสื้อผ้าที่ใส่ก็ต้องเป็นเสื้อที่มีกระดุมหน้าเท่านั้น ใส่เสื้อสวมหัวไม่ได้ ใส่บราไม่ได้ กางเกงต้องเป็นเอวยางยืด เพราะติดกระดุมไม่ได้ (จริง ๆ มันก็พอได้นะ แต่มันทุลักทุเลมาก)
ช่วง 4 สัปดาห์แรกนี้ หมอนัดทุกสัปดาห์เพื่อสอบถามอาการ ดูแผล ล้างแผลไปจนถึงตัดไหม
ช่วงสัปดาห์ที่ 5-6 หมออนุญาตให้ถอด Sling ได้บ้าง แต่ไม่ให้ถอดถาวร
การใส่ Sling เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ช่วงนั้นอากาศร้อน Sling มันหนามันให้ความอบอุ่นมากมันจะเหนอะหนะ ตอนกลางคืนก็นอนลำบาก ฉันตื่นกลางคืนบ่อยมาก มันรู้สึกอึดอัดเพราะมันมีสายรัดที่เอวและคาดที่ตัว เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉันก็ได้โรคเพิ่ม นั่นคือ เจ็บคอ ร้อนใน และผื่นขึ้น เจ็บคอนี่หนักสุด ฟ้าทลายโจรช่วยฉันไม่ได้เลยทั้ง ๆ ที่ปกติมันประเสริฐมาก
เนื่องจากแขนขวาถูกจำกัดการขยับ ฉันก็ได้อีกสิ่งหนึ่งเพิ่มมา (แต่มันเป็นเรื่องปกติของผู้ที่ผ่าตัดหัวไหล่) นั่นคือ ไหล่ติด (อาการคือ ยกแขนชูขึ้นฟ้าไม่ได้น่ะ ยกได้แค่ระดับเอว แล้วต้องยกแบบเอียงตัวไปด้านซ้ายเพื่อให้แขนยกได้ นึกภาพง่าย ๆ เหมือนหัวไหล่โดนสตัฟฟ์ไว้เป็นรูปตัว L คว่ำ ง้างออกไม่ได้เลย)
มันเป็นความคิดง่าย ๆ ของฉันเองที่เข้าใจไปเองว่าผ่าตัดเสร็จคือจบ เหมือนผ่าไส้ติ่งพักฟื้นแค่ 2 สัปดาห์ฉันก็กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม แต่มันไม่จบไง จริง ๆ หมอก็บอกแล้วแหละว่าอย่างน้อย 6 เดือนถึงจะเริ่มโอเค แต่ฉันเข้าใจไปเองว่าอยู่ ๆ ไป 6 เดือนมันจะดีเอง แต่มันไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาอีก 6-8 เดือนในการกายภาพบำบัดให้กลับมาใช้แขนได้อย่างปกติหรือเกือบปกติ
ช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ไม่ได้กายภาพบำบัดเป็นเรื่องเป็นราว ทำแค่ท่าง่าย ๆ ที่หมอสอนก่อนกลับบ้าน เพราะส่วนใหญ่แขนอยู่ใน Sling ตลอดเวลา หลังจากถอด Sling ออกอย่างถาวร หมอเริ่มให้กายภาพบำบัดอย่างจริงจัง มีท่าเพิ่มมากขึ้นแต่จะเป็นท่าง่าย ๆ มันง่ายมากนะ แต่คนป่วยไหล่ทำไม่ค่อยได้ มันเจ็บ มันตึง มันไม่มีแรง
ช่วงสัปดาห์ที่ 5-8 พบหมอทุก 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ดูความก้าวหน้าของแขนว่าขยับได้แค่ไหน ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่ จริง ๆ หลังจากถอด Sling หมอถามความเห็นฉันว่าอยากพบแผนกกายภาพบำบัดมั้ย ด้วยความคิดง่าย ๆ อีกครั้งและความงกของฉันที่คิดว่าทำเองที่บ้านก็ได้นี่ ทำไมต้องเปลืองเงิน แต่ก็ยังคงถามความเห็นหมออยู่ดีว่า มันจำเป็นมั้ย ณ ขณะนั้น หมอบอกว่า อาการของฉันยังอยู่ในระดับที่ทำเองก็ได้ ฉันเลยยืดระยะการเสียเงินไปได้อีก 2 สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 10 พบหมออีกครั้ง หมอถามอีกแล้วว่าไปแผนกกายภาพบำบัดมั้ย เลยคิดว่ามันต้องจำเป็นแล้วล่ะ เลยตอบตกลงแล้วหมอก็ส่งตัวไปแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู
กายภาพบำบัด:
ที่ รพ. นี้ฉันต้องพบหมอก่อนที่จะพบนักกายภาพบำบัด หมอจะเป็นผู้ประเมินว่าฉันควรเจอระดับไหน เน้นส่วนไหน ส่วนท่าอะไรต่าง ๆ จะแล้วแต่วิธีของนักกายภาพบำบัดแต่ละคน
วันแรกหลังจากพบหมอ ได้ท่าดึงยางเพื่อกลับไปทำที่บ้าน ยางที่ รพ. ให้ใช้เป็นยางเฉพาะสำหรับการออกกำลังกาย แต่ยางที่ฉันใช้เป็นยางหนังสติ๊กนั่นแหละ แบบห่วงใหญ่ (หมอผ่าตัดให้ฉันไปหามาออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อไปก่อน เพราะตอนแรกฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะผ่าตัดดีหรือไม่) ร้อยแบบที่ใช้โดดยางตอนเด็ก ๆ น่ะ เริ่มต้นความหนาที่ 2 ห่วง (จริง ๆ ฉันเริ่ม 3 ห่วงก่อน นึกว่าตัวเองเก่งแต่มันไม่ไหวจริง ๆ)
วันที่ 2 ที่ได้พบนักกายภาพบำบัด ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกก็หมดไปกับการดัดไหล่ ยืดไหล่ ไพล่หลัง (ท่านี้เจ็บมาก จนเดือนที่ 6 ยังเจ็บอยู่เลย เจ็บจนน้ำตาไหลพรากเลยล่ะ) เจ้าหน้าที่เค้าดีนะ ใส่ใจที่ฉันพูด ฉันบอกว่าเวลานอนฉันเอามือวางราบบนท้องไม่ได้ ถ้าจะวางราบมันได้แค่วางมือบนหน้าอกหรือบนเป้าไปเลย วางกลางลำตัวไม่ได้ เค้าก็ฟังฉันแต่ไม่พูดอะไร จนกระบวนการดัดเค้าจบลง เค้าก็เอามือฉันมาวางบนท้องแล้วพูดว่า ตอนนี้วางได้แล้ว รู้สึกเจ็บตึงอะไรบ้าง โหย...ฉันดีใจมากนะที่มากายภาพบำบัด มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะมาทำเพื่อให้แขน/ไหล่ดีขึ้น
ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 10 ฉันไปกายภาพบำบัด 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ไปตลอดจนฉันเลิกนับแบบสัปดาห์มานับแบบเดือนแทน พบหมอผ่าตัดและหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูทุก 2 สัปดาห์ พอครบ 4 เดือนหลังผ่าตัด ทั้ง 2 หมอก็เริ่มนัดแบบเดือนละครั้ง
วันไหนที่ไม่ไปพบนักกายภาพบำบัด ฉันก็ทำเองที่บ้านนะ การฟื้นตัวของฉันก็เป็นไปตามเกณฑ์ปกติ ไม่ได้เร็วไป หรือช้าไป ทุกครั้งที่ไปพบนักกายภาพบำบัด ฉันจะเรียกว่า วันไปโดนเค้ากระทำ เพราะมันเจ็บ มันระบม มันซึม มันจะไม่มีเรี่ยวแรงใด ๆ อีก (ถ้าใครโดนกายภาพบำบัด แหกปากร้องไปเถอะ ไม่ต้องอาย มันปกติจริง ๆ)
เคยอาบน้ำด้วยขันมั้ย บ้านฉันอาบน้ำด้วยขัน ฝักบัวก็มีนะ แต่ขันสะใจกว่า ช่วงเดือนที่ 4 หลังกายภาพมาสักระยะ ฉันพยายามใช้ขันแทนฝักบัว แต่ฉันยกขันไม่ไหว ยกได้เต็มที่แค่ระดับหัวไหล่ แล้วราดได้แค่หัวไหล่ซ้าย จะมาราดข้างที่ถือขันมันจะเจ็บ หรือพอจะยกขันเลยหัวไหล่ มือจะสั่น แรงหายทันที หลังจากครบ 5 เดือนฉันยกขันตักราดหัวได้โดยมือไม่สั่น มือไม่อ่อนแรง ฉันดีใจมากเหมือนคนพิชิตยอดเขาเอเวอเรสเลย
หลังจากครบ 6 เดือน หมอผ่าตัดไม่นัดฉันอีกแล้ว เหลือแต่หมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ฉันยังต้องพบ ฉันก็ยังคงไปพบนักกายภาพบำบัด 2 ครั้งต่อสัปดาห์จนครบ 8 เดือน จนหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูปล่อยตัวฉันเป็นไท ไม่ต้องไปพบหมออีกแล้ว แต่ฉันยังคงต้องออกกำลังกายที่แขนเพื่อให้แขนมีกล้ามเนื้อและมีแรงมากกว่านี้
ต่อ คคห. 1
[แชร์ประสบการณ์] เส้นเอ็นข้อไหล่ฉีก และเข้ารับผ่าตัดเย็บซ่อมเอ็นข้อไหล่
อาการ:
ช่วงแรก รู้สึกปวดต้นแขนขวา พอทายาแก้ปวดคลายกล้ามเนื้อ 1 วันก็ดีขึ้น และอาการปวดต้นแขนก็หายไป
ช่วงกลาง อาการปวดต้นแขนขวาเป็นบ่อยขึ้น ทายาประมาณ 1 สัปดาห์อาการถึงดีขึ้น
ช่วงพีค ยกแขนขวาไม่ขึ้น ยกในระดับหัวไหล่แล้วเจ็บจี๊ดต้องรีบปล่อยแขนแนบลำตัวทันที
หมายเหตุ อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวมระยะเวลาหลายเดือนถึงเกือบปี
พบหมอ:
เจ้าหน้าที่ส่งตัวไปพบหมอที่แผนกเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกาย (ไม่ได้เป็นนักกีฬา ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่หมอแผนกนี้เชี่ยวชาญด้านหัวไหล่และหัวเข่า) หมอทดสอบอาการเจ็บด้วยการให้ทำท่านู่นนี่ ยกแขนดันสู้แรงของหมอในแต่ละท่า หมอหน้าเครียดลงไปทุกครั้งที่เปลี่ยนท่า หมอวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับเส้นเอ็น แต่เพื่อความแม่นยำหมอขอส่งตัวไปให้ทำ MRI เนื่องจากหมอทำงานครึ่งวัน ตอนไปทำ MRI ก็ช่วงเที่ยงเกือบบ่าย จึงต้องมาฟังผลในวันถัดไป
ผลตรวจ:
ผลออกมาว่ามีหินปูนเกาะที่กระดูกหัวไหล่และมีเส้นเอ็นฉีก เป็นเยอะขนาดที่ว่าต้องผ่าตัดเท่านั้น เส้นเอ็นไม่สามารถสมานตัวเองได้ การฉีดยา Steroids จะช่วยระงับความเจ็บปวดแค่ระยะเวลาสั้น ๆ (ไม่เกิน 6 เดือน) ในกรณีฉัน หมอบอกว่า ถ้าต้องการฉีดยา หมออนุญาตให้ฉีดได้แค่ครั้งเดียว แต่ต้องควบคู่ไปกับการกายภาพบำบัด มันอาจจะทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นแต่ไม่หาย และไม่สามารถใช้แขนหนัก ๆ ได้อย่างที่เคย หากไม่ทำการรักษา ปล่อยทิ้งไว้ไปเรื่อย ๆ เส้นเอ็นมีโอกาสฉีกจนขาด สุดท้ายต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อหัวไหล่ ซึ่งยุ่งยาก (และแพง) กว่ามาก
สาเหตุ:
1. พออายุเริ่มเยอะ จะมีหินปูนเกาะที่กระดูก (เป็นกันทุกคน แก่แล้วมันจะมา แต่ฉันเป็นเร็วไป ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป)
2. ใช้งานลักษณะที่ยกแขนสูงบ่อยและเหวี่ยงไปมา (ลองนึกถึงคนที่ทำความสะอาดบ้าน ใช้ไม้ขนไก่ปัดนู่นนี่ที่ต้องยกแขนสูง หรือเช็ดหลังคารถเหวี่ยงแขนไปมา)
3. ไม่มีกล้ามเนื้อที่จะมาช่วยพยุงเอ็นข้อหัวไหล่ (การทำงานบ้านเป็นประจำ ไม่ใช่การออกกำลังกาย มันไม่สร้างกล้ามเนื้อ)
หลังจากกลับบ้านมาคิดดูก่อนว่าจะยังไงดี ทำให้จิตตกไป 2 สัปดาห์ ด้วยทั้งพบว่ามีอาการเจ็บป่วยจนต้องผ่าตัดและราคาค่ารักษาที่การผ่าไส้ติ่งหรือตัดเต้านมทิ้งยังสู้ไม่ได้ ทั้งน้ำหนักลดและฟุ้งซ่าน จนได้ข้อสรุปและยอมรับชะตาตนเอง นั่นคือ เข้ารับการผ่าตัด
ผ่าตัด (Rotator Cuff Repair):
วันที่เข้ารับการผ่าตัด คือ วันเปิดเทอมของเด็กนักเรียนในปีที่แล้ว หมอนัดแปดโมงเช้า คิวผ่าตัดบ่ายโมง ห้ามกินอาหารหลังหกโมงเช้า รู้สึกขี้เกียจตื่นเช้าเพื่อมากินอาหารเลยไม่กินอะไรมันเลย พอหมอรู้ (พยาบาลมีสอบถามก่อนว่ากินอาหารครั้งสุดท้ายตอนกี่โมง) หมอเลยต้องให้ยาเคลือบกระเพาะมากินก่อน กลัวคนไข้ได้อีกโรค
เมื่อถึง รพ. แผนกผ่าตัด วัดความดันนู่นนี่ เจาะเลือด เซ็นเอกสารนู่นนี่ พบหมอผู้ช่วยซึ่งมาทำเครื่องหมายที่แขนที่จะผ่าตัด ตอบคำถามนู่นนี่ที่คนไข้สงสัย หลังจากนั้นถูกส่งตัวไปห้องพักผู้ป่วย เปลี่ยนเสื้อผ้า พบวิสัญญีแพทย์ซึ่งมาพูดคุยสอบถามการแพ้ยา/ให้คำแนะนำการดมยา พบศัลยแพทย์ (คนเดียวกับที่วินิจฉัย) เพื่อตรวจเช็คอาการบาดเจ็บอีกครั้งก่อนผ่าตัด แล้วก็นั่งรอจนถึงเวลาใกล้ผ่าตัดเจ้าหน้าที่ก็มารับตัวไป
เมื่อถึงห้องผ่าตัด วิสัญญีแพทย์มีชวนคุยนิดหน่อย น่าจะเพื่อให้ฉันคลายเครียด จำได้ว่าคุยกันป๊อบแป๊บไม่กี่คำ แล้วก็มารู้สึกตัวอีกครั้งที่ห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด ดีที่กำแพงตรงข้ามเตียงที่นอนอยู่มีนาฬิกาเลยรู้ว่ามันบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
หลังผ่าตัด:
ความรู้สึกแรก คือ ระคายคอ (เนื่องจากโดนสอดท่อช่วยหายใจระหว่างผ่าตัด) ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ที่แขนที่ได้รับการผ่าตัด เพราะหมอได้แจ้งไว้ก่อนแล้วว่าจะเจอยาชาอย่างหนัก ชาไปทั้งแขนจนถึงต้นคอ และแขนอยู่ใน Sling และปลอกหล่อเย็นเรียบร้อย
Sling (ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร ทั้งหมอและพยาบาลเรียก Sling กันหมด จะบอกว่าผ้าคล้องแขนมันก็ไม่ใช่ เลยขอใช้ทับศัพท์ละกัน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปลอกหล่อเย็น (Cryocuff) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตื่นสักพักไม่เห็นมีใครสนใจเลยกระแอมไอสักหน่อยบอกให้รู้ว่าตื่นแล้วนะ อีกสักพักเจ้าหน้าที่ก็มาพาไปห้องพักผู้ป่วย
การผ่าตัดของฉันเป็นแบบส่องกล้อง เพราะฉะนั้นแผลเล็ก ฉันมีแผลผ่าตัด 4 แผลรอบหัวไหล่ แต่ละแผลยาวขนาด 1 ซม. เป็นแนวตั้ง
พักที่ รพ. ทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ส่วนใหญ่ก็พักผ่อน กินยา/รับยาทางน้ำเกลือตามเวลา รอเวลาให้แขนหายชา กว่าที่แขนจะเริ่มมีความรู้สึกก็ใช้เวลา 24 ชม. กว่าที่แขนจะมีความรู้สึกเต็มที่ก็เกือบ 2 วัน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ไม่ได้เป็นผู้ป่วยวิกฤต เพราะกินข้าวได้ เดินเหินได้ แค่ใช้แขนขวาไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ รพ. นาน
วันที่ 2 ที่อยู่ รพ. หมอก็มาสอนท่ากายภาพเบื้องต้นเพื่อให้กลับไปทำที่บ้าน จริง ๆ ถ้าทำตอนนั้นได้เลยก็จะดี แต่แขนยังไม่หายชา ขยับได้แต่มือเลยไม่ได้ทำ
วันที่ 3 กลับบ้าน หลังจากพบหมอเพื่อดูแผล อธิบายนู่นนี่ต่าง ๆ เพื่อดูแลตัวเองต่อ ก็ได้รับยาแก้ปวดเยอะมากเพื่อกลับไปกินต่อที่บ้าน (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสำหรับ 2 สัปดาห์) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็กลับบ้านได้
ตอนอยู่ รพ. สบายที่สุดแล้วเพราะมีนางพยาบาลดูแลทำนู่นทำนี่ให้ เพราะห้ามใช้แขนข้างที่ผ่าตัด เนื่องจากต้องการให้ไหมที่เย็บหมุดที่ตรึงเข้าที่เข้าทาง แขนต้องอยู่ใน Sling ตลอดเวลา แม้ตอนเช็ดตัว/อาบน้ำจะถอด Sling ได้ แต่นางพยาบาลก็หาขวดเปล่าขนาด 1.5 ลิตรมาให้หนีบป้องกันการยกแขนโดยไม่รู้ตัว ขวดเปล่าขวดนั้นฉันก็เอากลับบ้านมาด้วยนะ เพราะต้องใส่ Sling ไปอีก 6 สัปดาห์ ฉันก็ต้องหนีบขวดทุกครั้งที่อาบน้ำ
พักฟื้น:
ในช่วง 4 สัปดาห์แรก เสมือนเป็นผู้พิการมีแขนเดียว ต้องทำทุกอย่างด้วยมือซ้ายซึ่งมันไม่ใช่ข้างที่ถนัด เลยเพิ่งรู้ว่ามือ/แขนซ้ายเรานี่อ่อนแอมาก แค่แปรงฟันก็เมื่อยแล้ว กินข้าวก็ไม่ถนัด เสื้อผ้าที่ใส่ก็ต้องเป็นเสื้อที่มีกระดุมหน้าเท่านั้น ใส่เสื้อสวมหัวไม่ได้ ใส่บราไม่ได้ กางเกงต้องเป็นเอวยางยืด เพราะติดกระดุมไม่ได้ (จริง ๆ มันก็พอได้นะ แต่มันทุลักทุเลมาก)
ช่วง 4 สัปดาห์แรกนี้ หมอนัดทุกสัปดาห์เพื่อสอบถามอาการ ดูแผล ล้างแผลไปจนถึงตัดไหม
ช่วงสัปดาห์ที่ 5-6 หมออนุญาตให้ถอด Sling ได้บ้าง แต่ไม่ให้ถอดถาวร
การใส่ Sling เป็นความทรมานอย่างหนึ่ง ช่วงนั้นอากาศร้อน Sling มันหนามันให้ความอบอุ่นมากมันจะเหนอะหนะ ตอนกลางคืนก็นอนลำบาก ฉันตื่นกลางคืนบ่อยมาก มันรู้สึกอึดอัดเพราะมันมีสายรัดที่เอวและคาดที่ตัว เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ฉันก็ได้โรคเพิ่ม นั่นคือ เจ็บคอ ร้อนใน และผื่นขึ้น เจ็บคอนี่หนักสุด ฟ้าทลายโจรช่วยฉันไม่ได้เลยทั้ง ๆ ที่ปกติมันประเสริฐมาก
เนื่องจากแขนขวาถูกจำกัดการขยับ ฉันก็ได้อีกสิ่งหนึ่งเพิ่มมา (แต่มันเป็นเรื่องปกติของผู้ที่ผ่าตัดหัวไหล่) นั่นคือ ไหล่ติด (อาการคือ ยกแขนชูขึ้นฟ้าไม่ได้น่ะ ยกได้แค่ระดับเอว แล้วต้องยกแบบเอียงตัวไปด้านซ้ายเพื่อให้แขนยกได้ นึกภาพง่าย ๆ เหมือนหัวไหล่โดนสตัฟฟ์ไว้เป็นรูปตัว L คว่ำ ง้างออกไม่ได้เลย)
มันเป็นความคิดง่าย ๆ ของฉันเองที่เข้าใจไปเองว่าผ่าตัดเสร็จคือจบ เหมือนผ่าไส้ติ่งพักฟื้นแค่ 2 สัปดาห์ฉันก็กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม แต่มันไม่จบไง จริง ๆ หมอก็บอกแล้วแหละว่าอย่างน้อย 6 เดือนถึงจะเริ่มโอเค แต่ฉันเข้าใจไปเองว่าอยู่ ๆ ไป 6 เดือนมันจะดีเอง แต่มันไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาอีก 6-8 เดือนในการกายภาพบำบัดให้กลับมาใช้แขนได้อย่างปกติหรือเกือบปกติ
ช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ไม่ได้กายภาพบำบัดเป็นเรื่องเป็นราว ทำแค่ท่าง่าย ๆ ที่หมอสอนก่อนกลับบ้าน เพราะส่วนใหญ่แขนอยู่ใน Sling ตลอดเวลา หลังจากถอด Sling ออกอย่างถาวร หมอเริ่มให้กายภาพบำบัดอย่างจริงจัง มีท่าเพิ่มมากขึ้นแต่จะเป็นท่าง่าย ๆ มันง่ายมากนะ แต่คนป่วยไหล่ทำไม่ค่อยได้ มันเจ็บ มันตึง มันไม่มีแรง
ช่วงสัปดาห์ที่ 5-8 พบหมอทุก 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ดูความก้าวหน้าของแขนว่าขยับได้แค่ไหน ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่ จริง ๆ หลังจากถอด Sling หมอถามความเห็นฉันว่าอยากพบแผนกกายภาพบำบัดมั้ย ด้วยความคิดง่าย ๆ อีกครั้งและความงกของฉันที่คิดว่าทำเองที่บ้านก็ได้นี่ ทำไมต้องเปลืองเงิน แต่ก็ยังคงถามความเห็นหมออยู่ดีว่า มันจำเป็นมั้ย ณ ขณะนั้น หมอบอกว่า อาการของฉันยังอยู่ในระดับที่ทำเองก็ได้ ฉันเลยยืดระยะการเสียเงินไปได้อีก 2 สัปดาห์
สัปดาห์ที่ 10 พบหมออีกครั้ง หมอถามอีกแล้วว่าไปแผนกกายภาพบำบัดมั้ย เลยคิดว่ามันต้องจำเป็นแล้วล่ะ เลยตอบตกลงแล้วหมอก็ส่งตัวไปแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู
กายภาพบำบัด:
ที่ รพ. นี้ฉันต้องพบหมอก่อนที่จะพบนักกายภาพบำบัด หมอจะเป็นผู้ประเมินว่าฉันควรเจอระดับไหน เน้นส่วนไหน ส่วนท่าอะไรต่าง ๆ จะแล้วแต่วิธีของนักกายภาพบำบัดแต่ละคน
วันแรกหลังจากพบหมอ ได้ท่าดึงยางเพื่อกลับไปทำที่บ้าน ยางที่ รพ. ให้ใช้เป็นยางเฉพาะสำหรับการออกกำลังกาย แต่ยางที่ฉันใช้เป็นยางหนังสติ๊กนั่นแหละ แบบห่วงใหญ่ (หมอผ่าตัดให้ฉันไปหามาออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อไปก่อน เพราะตอนแรกฉันยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะผ่าตัดดีหรือไม่) ร้อยแบบที่ใช้โดดยางตอนเด็ก ๆ น่ะ เริ่มต้นความหนาที่ 2 ห่วง (จริง ๆ ฉันเริ่ม 3 ห่วงก่อน นึกว่าตัวเองเก่งแต่มันไม่ไหวจริง ๆ)
วันที่ 2 ที่ได้พบนักกายภาพบำบัด ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกก็หมดไปกับการดัดไหล่ ยืดไหล่ ไพล่หลัง (ท่านี้เจ็บมาก จนเดือนที่ 6 ยังเจ็บอยู่เลย เจ็บจนน้ำตาไหลพรากเลยล่ะ) เจ้าหน้าที่เค้าดีนะ ใส่ใจที่ฉันพูด ฉันบอกว่าเวลานอนฉันเอามือวางราบบนท้องไม่ได้ ถ้าจะวางราบมันได้แค่วางมือบนหน้าอกหรือบนเป้าไปเลย วางกลางลำตัวไม่ได้ เค้าก็ฟังฉันแต่ไม่พูดอะไร จนกระบวนการดัดเค้าจบลง เค้าก็เอามือฉันมาวางบนท้องแล้วพูดว่า ตอนนี้วางได้แล้ว รู้สึกเจ็บตึงอะไรบ้าง โหย...ฉันดีใจมากนะที่มากายภาพบำบัด มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะมาทำเพื่อให้แขน/ไหล่ดีขึ้น
ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 10 ฉันไปกายภาพบำบัด 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ไปตลอดจนฉันเลิกนับแบบสัปดาห์มานับแบบเดือนแทน พบหมอผ่าตัดและหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูทุก 2 สัปดาห์ พอครบ 4 เดือนหลังผ่าตัด ทั้ง 2 หมอก็เริ่มนัดแบบเดือนละครั้ง
วันไหนที่ไม่ไปพบนักกายภาพบำบัด ฉันก็ทำเองที่บ้านนะ การฟื้นตัวของฉันก็เป็นไปตามเกณฑ์ปกติ ไม่ได้เร็วไป หรือช้าไป ทุกครั้งที่ไปพบนักกายภาพบำบัด ฉันจะเรียกว่า วันไปโดนเค้ากระทำ เพราะมันเจ็บ มันระบม มันซึม มันจะไม่มีเรี่ยวแรงใด ๆ อีก (ถ้าใครโดนกายภาพบำบัด แหกปากร้องไปเถอะ ไม่ต้องอาย มันปกติจริง ๆ)
เคยอาบน้ำด้วยขันมั้ย บ้านฉันอาบน้ำด้วยขัน ฝักบัวก็มีนะ แต่ขันสะใจกว่า ช่วงเดือนที่ 4 หลังกายภาพมาสักระยะ ฉันพยายามใช้ขันแทนฝักบัว แต่ฉันยกขันไม่ไหว ยกได้เต็มที่แค่ระดับหัวไหล่ แล้วราดได้แค่หัวไหล่ซ้าย จะมาราดข้างที่ถือขันมันจะเจ็บ หรือพอจะยกขันเลยหัวไหล่ มือจะสั่น แรงหายทันที หลังจากครบ 5 เดือนฉันยกขันตักราดหัวได้โดยมือไม่สั่น มือไม่อ่อนแรง ฉันดีใจมากเหมือนคนพิชิตยอดเขาเอเวอเรสเลย
หลังจากครบ 6 เดือน หมอผ่าตัดไม่นัดฉันอีกแล้ว เหลือแต่หมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่ฉันยังต้องพบ ฉันก็ยังคงไปพบนักกายภาพบำบัด 2 ครั้งต่อสัปดาห์จนครบ 8 เดือน จนหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูปล่อยตัวฉันเป็นไท ไม่ต้องไปพบหมออีกแล้ว แต่ฉันยังคงต้องออกกำลังกายที่แขนเพื่อให้แขนมีกล้ามเนื้อและมีแรงมากกว่านี้
ต่อ คคห. 1