เล่ห์ร้ายหัวใจป่วนรัก ตอนที่2

https://ppantip.com/topic/37658978 ตอนที่ 1
                                                                             ตอนที 2
                                                                            คืนเข้าหอ

        ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งบริเวณภายในรถยุโรปคันหรู ที่กำลังแล่นบ้างหยุดบ้างอยู่บนถนนสายหลักของเมืองกรุง คุณหญิงกิ่งกรองนั่งเอนหลังแอบอิงเบาะนุ่มอย่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย โดยมีชยากรหลานชายคนโปรดนั่งอยู่เคียงข้าง ย่าหลานนั่งนิ่งไม่มีใครเอ่ยปากสนทนามาพักหนึ่งแล้ว จนกระทั่งคุณหญิงกิ่งกรองเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
       "หลานคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง"
       ชยากรชะงักหันมองผู้เป็นย่าเป็นครั้งแรก ก่อนตอบแบบไม่หยุดคิด"กะโปโลดีครับ"เขายกยิ้มขึ้นนิด แต่สีหน้ากลับฉายความเย็นชา แววตาซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดา
       คุณหญิงหันมองหลานชายแวบหนึ่งก่อนถามขึ้นอีกครั้ง"แล้วหลานชอบหรือเปล่า"
       "คุณย่าก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนี่ครับ ว่าผมชอบแบบไหน"คำพูดนั้นคล้ายจี้ใจดำคนเป็นย่า ทำให้ท่านหันมองหลานชายอีกครั้งด้วยสายตาตำหนิ
       "ก็เพราะแบบนี้ไง ย่าถึงต้องหาผู้หญิงมาให้แกแต่งด้วย"
       "ผมอธิบายให้คุณย่าฟังหลายครั้งแล้วนะครับ เรื่องนั้น"ชยากรพูดเอนหลังพิงเบาะรถด้วยท่าทางสบายๆ เขาอธิบายให้คุณย่าเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ใช่เกย์อย่างที่ท่านสงสัยเขาแค่ยังไม่ถูกใจใครก็เท่านั้น แต่คุณย่ากลับไม่เคยเชื่อ กลัวเขาจะมีทายาทสืบต่อธุรกิจของตระกูลไม่ได้ เรื่องแต่งงานเขาไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว แต่คนที่จะเดือดร้อนก็คือผู้หญิงคนนั้น เขาเป็นผู้ชายย่อมไม่มีอะไรเสียหาย
       "แต่ย่าก็ให้โอกาสแกหาผู้หญิงที่ถูกใจเองแล้ว"
       "ผู้หญิงที่ถูกใจไม่ได้กันหาง่ายๆ นะครับคุณย่า การแต่งกับคนที่ไม่ได้รักเพียงเพื่ออยากให้เขามีทายาทให้ มันเป็นการไม่ยุติธรรมกับฝ่ายหญิงนะครับ"
       "แกจะหาว่าย่าใจดำล่ะสิ"คุณหญิงเชิดใบหน้าขึ้นแล้วว่าต่อ"แต่รายนี้แต่งเพื่อล้างหนี้ หนี้ตั้งสิบล้านแลกด้วยการแต่งงานพ่วงทายาทให้ตระกูลเราสักคน มันก็เป็นการยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่เหรอ ย่าบอกแล้วไง ว่าย่ารอแกไม่ไหว ย่าอยากเห็นหน้าเหลนก่อนตาย ถ้าชลินธรไม่เสียด้วยอุบัติเหตุ ราเมศไม่เป็นหมัน ย่าคงไม่ต้องทำกับแกแบบนี้ แกต้องเข้าใจย่าสิ"คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเอ่ยถึงหลานชายคนโตของตระกูลที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสี่เดือนก่อน

       ชยากรก้มหน้านิ่งแววตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด วันนั้น เขายังจำได้ดี ร่างอันไร้วิญญาณที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานและบาดแผลทั่วตัว ถูกเข็นลงจากรถพยาบาลด้วยความเร่งรีบ เขาภาวนาให้ทุกอย่างจบลงที่ผู้ชายตัวใหญ่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินเมื่อครู่ เพียงแค่เข้าเฝือกหรือมีแผลตามตัวเล็กน้อย แล้วหันมาส่งยิ้มขี้เล่นให้เขา ตอนที่เข้าไปเยี่ยมด้วยบัวลอยไข่หวานของโปรดฝีมือป้าแช่ม  แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงเวลาอันรวดเร็วไม่ทันได้ทำใจ หมอที่เพิ่งออกมาจากห้องฉุกเฉินก็บอกด้วยสีหน้าที่เขามองแล้วใจคอไม่ดีว่า พี่ชายของเขาเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมาก หมอไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้  ได้ยินเพียงแค่นั้นก็ทำเอาผู้ชายตัวโตเช่นเขาแทบทรุด ร่างทั้งร่างมันชาเหมือนถูกตรึงให้หยุดอยู่กับที่  ทุกอย่างเหมือนฝันแต่ความจริงมันไม่ใช่
       เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่จะต้องเอ่ยถึงหรือมีใครเอ่ยถึงชลินธร ผู้ชายคนเดียวที่เขารักมากที่สุดรองจากพ่อ ชยากรพยายามสลัดความรู้สึกและภาพที่เกิดขึ้นภายในหัวออกไป มือของเขากำแน่นด้วยความคั่งแค้น อยากจับคนที่คิดฆ่าพี่ชายของเขามาให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น แล้วฆ่ามันด้วยมือของเขาเอง ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน แต่เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงทำให้ต้องระงับอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านไว้ในยามนี้
       เรื่องการตายของพี่ชายคงต้องปล่อยให้คุณย่าเข้าใจว่าเป็นอุบัติเหตุต่อไป เพราะหากคุณย่ารู้ความจริงว่ามันไม่ใช่ ท่านอาจรับไม่ได้จนกระทบต่อสุขภาพและโรคหัวใจที่เป็นอยู่ คนที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นเต็มอก พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุด จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง"ก็เพราะแบบนี้น่ะสิครับ ผมถึงต้องยอมตามใจคุณย่า"
       ความเงียบเข้าครอบคลุมในตัวรถอีกครั้ง ไม่มีใครปริปากอะไรอีกจนกระทั่งรถยนต์วิ่งได้คล่องตัวขึ้นเมื่อออกมาจากถนนสายสุขุมวิท


       หลังกลับจากโรงแรมปิ่นอนงค์ต่อสายนัดอิศยาเพื่อนรักที่ร้านกาแฟเจ้าประจำทันที จากที่ห่างหายกันไปนานนับตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนวันนั้น วันที่เธอเมาแล้วถูกไอ้โรคจิตพาตัวไป คืนนั้นอิศยาตามหาเพื่อนไม่พบก็ร้อนใจมาก จนต้องมาคอยเธอที่บ้านตั้งแต่กลางดึกยันเช้า กระทั่งเห็นปิ่นอนงค์กลับมาในสภาพสวมชุดนอนลายทางของผู้ชายตัวโต ดีที่กานดามารดาของปิ่นอนงค์ไม่อยู่ เรื่องทั้งหมดจึงจบอยู่แค่นั้น และเมื่อรู้ว่าปิ่นอนงค์ปลอดภัยดีอิศยาจึงรู้สึกโล่งอก
       อิศยาเป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนเล่นกับปิ่นอนงค์มาตั้งแต่เด็ก พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ดันสอบติดที่เดียวกันอีก ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมาก และไม่เคยมีความลับต่อกัน

       ท่ามกลางเสียงเพลงคลาสสิกขับกล่อมเบาๆ ปิ่นอนงค์ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้าน ตามประสาคนที่เรียนด้านสื่อสารมวลชน
       เธอฮัมเพลงเบาๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำทุกครั้งที่มานั่งดื่มกาแฟร้านนี้ซักพักอิศยาก็มาถึง ปิ่นอนงค์กดถ่ายรูปตอนเธอเดินเข้ามาพอดี คนเพิ่งมายิ้มแฉ่งมาแต่ไกล
       "ทำไมไม่เจอกันที่บ้านยะ"ถามพร้อมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ไม้ทรงกลม
       คนถูกถามรอเพื่อนนั่งลงเรียบร้อยแล้วค่อยพูดขึ้น
       "นัดที่บ้านคงคุยกันรู้เรื่องอยู่หรอก เธอก็รู้นี่ ว่าแม่ฉันจับผิดเก่งจะตาย"ปิ่นอนงค์ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วว่าต่อ"มีเรื่องอยากจะเล่า”
       คนเพิ่งมาถึงมองเพื่อนพอจะเดาออกว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร เธอยกมือขึ้นท้าวคางแบบสบายๆทำหน้าตั้งใจกวนโมโหก่อนเอ่ย”ใครพรากพรหมจรรย์หมาบ้านเธอล่ะ”
       ปิ่นอนงค์กลอกตาเบื่อหน่ายกับคำ-ดันนั่น ทั้งๆ ที่เธอควรชินตั้งนานแล้ว
       เห็นคนมีเรื่องจะเล่าเงียบไปคล้ายกำลังปรับอารมณ์บางอย่าง อิศยาจึงนิ่งเงียบรอฟังด้วยใบหน้ายุ่ง แต่ยังคงท่าทีกวนอารมณ์
       “ก็คนที่ฉันจะต้องแต่งงานด้วยไง เราเพิ่งเจอกันเมื่อเช้า"เมื่อพูดถึงผู้ชายคนนั้นปิ่นอนงค์ก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาแปลกๆ
       "แล้วเป็นไง หูหนวก ตาเหล่ ขาสั้น หรือว่าไม่สมประกอบ สมองซีกซ้ายไม่ทำงาน สมองข้างขวาบกพร่อง"คนรอฟังเดาไปก่อน ด้วยจินตนาการสูงลิ่ว
       "สูง ขาว หุ่นดี มาดแมน แฮนซั่ม ดูดี มีชาติตระกูล ทุกอย่างไม่มีที่ติ ก็ไม่รู้หลงเหลือมาถึงฉันได้ยังไง"ปิ่นอนงค์พูดแทรกก่อนเพื่อนเธอจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
       คนจินตนาการสูงเกินความจำเป็น ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ คิ้วขมวดเข้าหากัน มองหน้าเพื่อนสาวว่าพูดจริงหรือล้อเล่นกันแน่"นี่พูดจริงเหรอ”อิศยาทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
       ปิ่นอนงค์พยักหน้าบอกว่าเป็นความจริง ก่อนว่าขึ้นอีก
       "ยิ่งกว่านั้นคือ ฉันดันไปกวนประสาทเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ "ปิ่นอนงค์เบ้ปาก"อีตานั่นขี้เก๊กเป็นบ้า"
อิศยาฟังอย่างตั้งใจแล้วถามต่อ"ทำยังไงล่ะ"
       "ก็...กวนประสาทนิดหน่อย”
        "ไม่นิดแล้วม้าง สีหน้าแบบนี้"อิศยาว่า ปิ่นอนงค์เชิดหน้าขึ้น ก่อนยกกาแฟที่เหลือเพียงครึ่งแก้วดื่ม"ช่วยไม่ได้ อยากทำตัวน่าหมั่นไส้เอง" ถึงปากจะเก่งแต่ก็อดหวั่นใจไม่น้อย
        "งั้นก็ขอให้โชคดีละกัน"อิศยาอวยพร ด้วยน้ำเสียงประชด คนถูกประชดเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วถาม
        "เป็นคำอวยพรที่ดี"ปิ่นอนงค์เอ่ยหน้าตาย ไม่สะทกสะท้านกับคำประชดประชัน ทำให้อิศยาต้องส่ายหน้ากับท่าทางไม่รู้สึกรู้สานั่น ก่อนนึกขึ้นได้แล้วทำท่าทางจริงจัง
        "ปิ่น"
       อิศยาเรียกด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน ไม่มีแววล้อเล่นหลงเหลืออยู่"ไปอยู่ที่นั่น ระวังให้ดีนะ พวกเศรษฐีน่ะ น่ากลัว"อิศยาหยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนว่าขึ้นใหม่"ฉันเคยได้ยินจากข่าววงในว่าการตายของพี่ชายคนโตของตระกูลนี้ไม่ปกติ"
       ปิ่นอนงค์นิ่งฟังอย่างสนใจ สายตาจับจ้องไปที่ริมฝีปากเพื่อนอย่างใจจดใจจ่อ
       "เขาตายยังไง"
       "เขาว่าพี่ชายคนโตของตระกูลไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ"อิศยาหยุดแล้วยื่นหน้าเข้าไกล้คนฟังอีกหน่อย แล้วพูดด้วยระดับเสียงที่ลดลง"แต่เป็นการฆาตกรรม"
       "เฮ้ย!"ปิ่นอนงค์สะดุ้งโหยง ตกใจกับเรื่องที่ได้ฟัง"จริงดิ"
       "ฉันคอนเฟิร์มให้ไม่ได้หรอกนะ ก็ฟังคนอื่นมาอีกที ที่บอก แค่อยากให้เธอระวังตัว"
       ปิ่นอนงค์นิ่วหน้าชักรู้สึกหวั่นใจ เธอยื่นหน้าเข้าใกล้แล้วกระซิบ"คนในครอบครัวหรือเปล่า ที่ฆ่า"
       "เรื่องนี้ไม่มีใครทราบแน่ชัด เพราะไม่มีหลักฐาน เห็นเขาว่าคนร้ายถูกฆ่าปิดปากในห้องขังตั้งแต่วันแรกที่สารภาพว่าเป็นคนทำ เพื่อไม่ให้สาวถึงตัวคนบงการ"
       ปิ่นอนงค์ดึงตัวกลับมาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ในท่าเดิม"ครอบครัวนี้ไม่น่ายุ่งด้วยเลยจริงๆ"เธอว่า


       ไม่อยากยุ่งก็ต้องได้ยุ่ง เมื่อวันที่ปิ่นอนงค์ไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ งานแต่งถูกจัดขึ้น ณ บ้านเกียรติพาณิชย์ มีแขกเหรื่อไม่กี่สิบคน เพราะคุณหญิงกิ่งกรองไม่ต้องการให้การแต่งครั้งนี้เป็นข่าวใหญ่โต เพียงต้องการจัดอย่างเงียบๆ
       ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ล่วงว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการแต่งงาน คือต้องการทายาทอันชอบธรรมจากฝ่ายหญิง ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักของคนทั้งคู่ และมีสิทธิ์ที่จะเกิดการหย่าในอนาคตขึ้นสูง หากชยากรเจอคนที่ถูกใจก็สามารถตัดสินใจหย่าขาดได้แม้มีทายาทแล้วก็ตาม โดยปิ่นอนงค์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีไว้ในสัญญาที่จะต้องเซ็นพร้อมกับทะเบียนสมรส
        งานแต่งดำเนินไปถึงช่วงพิธีรดน้ำสังข์ ทุกคนทยอยกันรดน้ำอวยพรคู่บ่าวสาวที่นั่งหน้านิ่งไม่มีใครสบตาใครตั้งแต่เริ่มพิธีจนเกือบจบพิธี ปิ่นอนงค์พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจยามนี้อยากจะกลั้นใจตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
       "ขอให้ลูกมีความสุขกับการแต่งงานครั้งนี้และจงจำไว้ว่าแม่รักปิ่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นปิ่นจะต้องอดทนนะลูก"กานดารินน้ำสังข์รดลงบนมือบางของบุตรสาวด้วยสีหน้ายินดีระคนเศร้า ก่อนรดลงบนมือของคนที่ได้ชื่อว่ากำลังจะเป็นสามีของลูก"น้าขอฝากคุณช่วยดูแลน้องด้วย หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าได้ถือสาน้องเลยนะคะ"จบคำชยากรทำเพียงค้อมศรีษะเบาๆ ใบหน้าคมนั้นฉาบฉวยไปด้วยความเย็นชา ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเดิม  
        เมื่อกานดาผละออกไป รมรุจีมารดาของฝ่ายชาย ที่ใบหน้ายังแลดูสาวสวยแม้อายุมากแล้ว แย้มยิ้มหยิบหอยสังข์ขึ้นมารดไปยังมือของคู่บ่าวสาวทั้งสอง
       "แม่ขอให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนะลูก มีหลานให้แม่อุ้มไวๆ"รมรุจียิ้มใจดีส่งให้ปิ่นอนงค์ ปิ่นอนงค์ไหว้มารดาสามีด้วยความเคารพ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อแม่สามี ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจลูกสะใภ้นอกรอบแบบเธอ ซ้ำยังดูเป็นคนดี มีเมตตา และเป็นกันเองอีกด้วย แตกต่างจากคนบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มาเป็นชั่วโมง แม้แต่หน้าเธอเขายังไม่หันมามอง รังเกียจเธอขนาดนั้นแล้วจะแต่งทำไม  คนอะไรทำตัวยังกับรูปปั้น มันน่าเอาไม้หน้าสามตีให้แหลกคามือนัก ปิ่นอนงค์ค่อนขอดชายหนุ่มในใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่