สวัสดีจร้า พบกับเราอีกแล้ว BB-Knight TV วันนี้ เราพาทุกคนมาอินเตอร์ซะหน่อย หลังจากพาขึ้นดอยขึ้นเขามาหลายทู้ละ ประเทศที่เราจะรีวิวนั้น ก็คือประเทศมาดากัสการ์นั่นเอง!!
ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยกับการไปต่างประเทศ (ถ้าไม่นับตอนที่เราไปสังขละบุรี และออกไปพม่าขำๆ ไม่กี่ชั่วโมง) ซึ่งครั้งแรกก็มาประเทศยากๆ และไกล๊ไกลเล้ย 555+
เราอาจจะเขียนรีวิวละเอียดหน่อยเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางมาต่างประเทศ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นข้อมูลทั่วๆ ไปที่คนอื่นรู้อยู่แล้ว และอีกอย่างเท่าที่เราดูรีวิว ก็ยังไม่ค่อยเห็นรีวิวประเทศมาดากัสการ์มากนัก แถมข้อมูลที่จำเป็นก็หายากด้วย เราจึงรีวิวให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้ละกันเนอะ
ทริปนี้เราไปกัน 4 คน (ช 1 ญ 3) ค่าใช้จ่ายทุกอย่างหารเฉลี่ยทั้งหมด และเช่ารถพร้อมคนขับที่พูด Eng ได้นิดโหน่ยย ซึ่ง 4 คนเป็นปริมาณคนที่พอดีเลยล่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งคิดเรทที่ 1-4 คน ถ้ามากกว่านี้จะเป็นอีกเรทราคานึง และบางห้องพักก็นอนได้เต็มที่ 4 คน รถที่นั่งก็นั่งประมาณ 4-5 คนกำลังดีที่เหลือก็วางกระเป๋า อะไรประมาณนี้แหละ
ก่อนที่เราจะเริ่มรีวิวเนื้อหาหลัก เรามาทำความรู้จักกับมาดากัสการ์ในมุมมองของเราที่ไปอยู่มาประมาณ 10 วันกันก่อนเนอะ อันที่จริงสรุปตรงนี้เป็นข้อมูลที่แทรกๆ อยู่ในรีวิวเรานี่แหละ แต่เราเขียนสรุปออกมาก่อนสำหรับคนที่ไม่อยากอ่านแบบยาวๆ ละกันเนอะ
1. ถ้าคุณคาดหวังว่าจะมาตามรอยการ์ตูนเรื่องมาดากัสการ์ ที่มีสัตว์น้อยใหญ่ หรืออยากเห็น Big Five แบบในหนังล่ะก็ อย่ามาที่นี่เลย (มันมีแค่ในการ์ตูนเท่านั้น ขนาดไกด์ท้องถิ่นบางคนยังไม่เคยดูการ์ตูนเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ) ให้คุณหยุด Stop อยู่ที่ Kenya นั่นแหละ เพราะมาดากัสการ์ สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดถ้าไม่นับ Zebu หรือวัวของที่นี่ ก็คือตัว Indri หรือพี่ใหญ่ของ Lemur นั่นเอง
2. สกุลเงินของที่นี่ใช้หน่วย Ariary ซึ่ง 100 Ar ก็ประมาณ 1 บาทไทย คิดง่ายๆ ก็คือราคาของทุกอย่างตัด 0 ไป 2 ตัว ซึ่งเงินของที่นี่เป็นแบงค์ล้วนๆ ไม่มีเหรียญ ซึ่งจะมีแบงค์ 100/ 200/ 500/ 1,000/ 2,000/ 5,000/ 10,000/ 20,000 ซึ่งแบงค์ 20,000 ของเขาก็คือ 200 บาทไทยเรานี่แหละ ดังนั้นเงิน 1 ล้าน Ariary คงไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะถือเงินเยอะแค่ไหน *0*
3. เมืองหลวงของที่นี่ชื่อ Antananarivo และมีชื่อย่อๆ ว่า Tana ซึ่งเราจะเรียกในรีวิวนี้ เพราะไม่อยากเขียนยาว ๆ -*-
4. ประเทศมาดากัสการ์ ถือว่าเป็นประเทศที่กันดารและยากจนมาก ถึงจะอยู่ไม่ไกลจาก Kenya (ค่อนข้างเจริญ พอๆ กับไทยเราเลย) ที่เราต่อเครื่องบินมา แต่สภาพบ้านเมืองคนละยุคเลย คุณจะพบคนจรจัดได้ทั่วๆ ไปในเมืองหลวงและตามที่ต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าคุณคิดว่าชนบทในไทยที่ว่าแย่แล้ว บอกเลยที่นี่ต้องคูณไปอีก 10 เท่า!
5. Visa แบบ On Arrival มีแบบ 30, 60 และ 90 วัน ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะทำยากหรือทำไม่ผ่าน เพราะVisa ที่นี่ทำง่ายมาก ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ไม่ทงไม่ถามอะไรซ้ากคำ ขนาดเรา Passport ขาวๆ ยังผ่านเลย พูดง่ายๆ ก็คือ แค่มีเงินก็เข้าได้แล้ว ซึ่งราคาตอนนี้(6.4.18)อยู่ที่ 35EUR/คน/30Day
6. Kenya Airway แบกน้ำหนักได้เยอะมาก สายขนทั้งหลายจัดไป โหลดใต้เครื่องได้ 2 ใบ ใบละ 23 โลแถมแบกขึ้นเครื่องได้อีกคนละ 12 กิโลด้วย ขาช็อปนี้มันส์สะใจแน่นวล หุหุหุ
7. สนามบิน Nairobi ที่ Kenya และที่ Madagascar มี Free Wifi 1 ชั่วโมง แต่ต้อง Activate ก่อนถึงใช้ได้
8. การฉีดวัคซีน Yellow Fever ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันคนที่มาจากมาดากัสการ์ แต่ฉีดสำหรับคนที่มาจาก Kenya ซึ่งที่จริงที่มาดากัสการ์ ตม. ก็ไม่ได้ตรวจสมุดนะ แต่กลับมาที่ไทยโดนตรวจแน่นอน ถ้าลืมฉีดไปก็อาจจะต้องฉีดที่สนามบินไทยตอนขากลับทีเดียว
9. มาดากัสการ์มีเพียง 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน โดย ฤดูฝนเริ่มที่เดือน Nov – Apr ส่วนฤดูร้อนเริ่มที่ May – October ซึ่งเดือนเมษาที่เราไปอยู่ช่วงปลายฝน จึงไปป่าหิน Tsingy de bemaraha ไม่ได้เนื่องจากทางไปเน่ามากๆ และต้องข้ามแพยนต์ ดังนั้นช่วง High Season ที่คุณจะเที่ยวได้ครบทุกที่คือช่วงหน้าร้อนนี่ล่ะ ที่ควรระวังคือ ไม่ควรไปมาดากัสการ์หน้าพายุไซโคลน ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม เสี่ยงต่อการเจอแจ๊คพ็อต หรือไม่ก็อาจจะทางขาด ฝนตกตลอดเวย์ จะอดเที่ยวเอา
10. การเที่ยวประเทศนี้ไม่ได้โหดร้าย ผจญภัย ใช้ร่างกายเปลืองอะไรถือว่าสบายเลยล่ะ (ถ้าไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวสายประหยัด นั่งรถตู้ชาวบ้านเดินทาง หรือหาที่พักข้างทางนอน) คนอายุ 50-60 ก็มาได้สบายๆ แค่ทนกับอากาศร้อนให้ได้ก็พอ ซึ่งเราก็เห็นฝรั่งผู้หญิงน่ารักๆ มาเที่ยวคนเดียวกับไกด์เยอะแยะ
11. มาดากัสการ์ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ดังนั้นเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมต่างๆ จึงคล้ายกับฝรั่งเศส อย่างเช่นการปิดร้านค้าต่างๆ ในวันอาทิตย์เป็นต้น = =”
12. ที่นี่ใช้ภาษา Malagasy เป็นภาษาหลัก ภาษารองคือ France หรือภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษอันดับ 3 ซึ่งร้านอาหารบางแห่งไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ มีแต่ France ก็มีนะ ดังนั้น ถ้ามีเพื่อนพูดฝรั่งเศสได้รีบชวนเข้าตี้โดยด่วนเลย
13. คำว่าสวัสดีของที่นี่คือ “ซลามา” ขอบคุณคือ “แมสซี่”
14. ถ้าคุณเป็นคนหน้าเอเชีย และไปเดินตามเมืองต่างๆ คุณจะโดนเหมารวมว่าเป็นคนจีนทันที จะมีคนมาทักคุณว่า Ni Hao หรือหนักกว่านั้นคุณอาจจะโดนกวนทรีนโดยภาษาจีนแบบมั่วๆ ใส่กลับมา
15. เวลาของที่มาดากัสการ์ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง อย่าลืมปรับนาฬิกาหรือใส่นาฬิกาที่เปรียบเทียบ 2 เวลาได้ด้วย
16. ซิมโทรศัพท์และเน็ตของที่นี่ค่อนข้างแพง ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่จำเป็นเลย ถ้าเราเราเช่าคนขับรถเดินทาง เพราะยังไงแล้วโรงแรมทุกที่ที่เราพัก (ยกเว้นเกาะ Akanin'ny Nofy) มี Wifi ซึ่งเราไม่ได้ซื้อซิมก็อยู่กันได้นะ
17. Super Market และ Minimart หรือร้านค้าปลีกในแทบทุกที่ ไม่มีถุงใส่ของให้ บางที่ต้องซื้อเพิ่ม หรือไม่ก็ต้องแบกเอง ดังนั้นพกถุงส่วนตัวมาช็อปด้วยนะจ๊ะ
18. สิ่งที่เป็น Signature ของมาดากัสการ์เลยก็คือต้น Baobab กับตัว Lemur ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับวิวหรืออะไรซักอย่าง คงต้องเป็นสองอย่างนี้แหละที่จะเอาไว้อวดชาวบ้านชาวเมืองได้ เพราะที่นี่วิวสวยๆ จะอยู่ตามข้างทาง ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้หยุดถ่ายเท่าไหร่หรอก
19. Lemur นิสัยคล้ายๆ ลิงบ้านเรานี่แหละแค่เปลี่ยนหัวให้กับมันแค่นั้น ถ้าเป็นตัวที่อยู่ในป่า มันจะไม่ชินกับคน แต่ถ้าเป็นตัวที่เลี้ยงไว้ตามโรงแรม มันจะเชื่องมากไม่ต่างกับแมวเบย *-*
20. ของขึ้นชื่อของมาดากัสการ์อีกอย่างหนึ่งก็คือวนิลา (ได้ชื่อว่าเป็นวนิลาที่ดีที่สุดในโลก) หาซื้อได้ที่ในเมืองหลวง Tana หรือไม่ก็ตลาด la. Digue (ลาดีค) ทางระหว่างสนามบินกับเมือง Tana ซึ่งจะขายแพงมากๆ อย่างวนิลา 1 ชุดมี 4 ฝัก 800 บาท พวกเราต่อแบบดุเดือดมากจนเหลือ 200 บาท ดังนั้นคนที่ Fight ต่อราคาเก่ง ๆ จำเป็นมากสำหรับการมาตลาดนี้
21. หากแพลนเที่ยวของคุณมีเมือง Morondava อยู่ด้วยสิ่งที่อยากบอกเลยคือเมืองนี้ ความน่าสนใจไม่ได้มีแค่เพียง Avenue Baobab, Kirindy Forest หรือ Tsingy de bemaraha (ป่าหินที่ได้รับ Unesco) เพียงเท่านั้น เมืองนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น เดินชมเมือง เล่นน้ำทะเล ขึ้นเรือไปดูการจับปลาของชาวประมง (ใช้เวลา 3ชม. ในตอนเช้า) ร้านอาหารทะเลที่แสนจะถูก ของขายพื้นเมือง เช่น ผลไม้บลาๆ ก็ถูก คนก็ดูเป็นมิตรต่างจากเมืองหลวง ซึ่งที่นี่ไม่มีคนมาเดินก่อกวนเราด้วย แถมทักทายแบบเป็นมิตรด้วยอีกต่างหาก และตกดึกยังมีวิถีชีวิตการช็อปปิ้งในตลาดกลางคืน ซึ่งคุณควรจะมีวัน Free day อยู่ในเมืองซักวันนึง แต่ถ้าเวลาจำกัดและไม่ไป Tsingy de bemaraha ให้ตัด Kirindy Forest ออก แล้วช่วงเช้าถึงบ่ายก็จัดกิจกรรมในเมืองเต็มที่จร้า
22. หากคุณไม่ต้องการเสียเวลาในการเดินทางไป Morondava ถึง 2 วันจาก Tana (ทั้งตอนไปและกลับ) และคุณไม่ได้บินในประเทศด้วย ให้คุณใช้บริการรถตู้สาธารณะแบบ VIP ซึ่งลืมภาพรถตู้แน่นๆ ตามชนบทที่ต้องอัดแย่งกันขึ้นไปได้เลย เพราะรถตู้ที่มีระดับหน่อยจะเป็นแบบนั่งใครนั่งมัน ซึ่งมันสามารถเดินทางต่อเนื่องได้ถึง 14 ชม. เลยทีเดียว (รายละเอียดตามเอาเนอะ)
23. ชาวต่างชาติสำหรับคนในชนบทถือว่าเป็นอะไรที่แปลกตามาก คุณจะโดนมุง มองยังกะตัวประหลาดแหนะ ซึ่งเด็กๆ จะเรียกคนต่างชาตินี้ว่า “ฟาซา” และก็ตามด้วย “มันนี่” นั่นก็คือขอเงินนั่นและ = =”
24. คุณจะโดนขอเงินเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ลงมาสนามบิน รวมถึงตอนกลับด้วยจะมีเด็กขนกระเป๋า ถ้าคุณไม่อยากเสียตัง พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือซะ และโดยเฉพาะเมืองเมืองใหญ่ๆ แถบสลัม หรือตามชนบทที่เป็นชุมชนใหญ่นี่หนักสุด ขอกันรัวๆ เป็นอะไรที่สร้างความรำคาญสุดๆ ไปเลย
25. การบริจาคของให้กับคนในชนบทของที่นี่ พยายามให้กับกลุ่มที่เล็กๆ เพราะถ้าคุณเห็นเด็กเยอะๆ แล้วเข้าไปให้ของล่ะก็ อารมณ์จะเหมือนโดนฝูงซอมบี้รุมแบบในหนังเลยล่ะ *0*
26. เวลาหลัง 6 โมงหรือเวลาพระอาทิตย์ตกของประเทศมาดากัสการ์นี้ เป็นเวลาที่ไม่ควรออกมาเดินเล่นนอกที่พัก โดยเฉพาะเมืองหลวง Tana และเมืองอื่นๆ เพราะมันอันตราย และในหลาย ๆ จุดก็ไม่มีไฟส่องสว่างเลย
27. ทางทิศเหนือของประเทศมาดากัสการ์ คนมักจะไปเที่ยวเกาะ ชายหาดทางภาคเหนือกัน แต่มันไกลจากเมืองหลวงมาก ดังนั้น ถ้าจะเที่ยวควรต้องบินภายในประเทศด้วย แต่เราไม่ได้ไปในทริปนี้
28. ทางทิศใต้ของประเทศมาดากัสการ์ คนก็มักจะไปเที่ยวดูต้น Baobab อีกเช่นกัน แต่ว่าค่อนข้างไกล แต่ถนนยังทิศใต้ถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดของประเทศมาดากัสการ์แล้ว นั่นคือถนนหมายเลข 7 ซึ่งมีคนไทย และคนต่างชาติบางส่วนไปทำธุรกิจแถวๆ นี้ด้วย เพระมีธุรกิจเกี่ยวกับพลอยอยู่
29. สภาพอากาศทางด้านตะวันออกเป็นแบบร้อนชื้นคล้ายๆ ของไทยเรา ฝนตกแทบทั้งปีตั้งแต่ Mar- Sep แต่อากาศทางด้านตะวันตกก่อนถึงแถบเมือง Morondava จะเป็นแบบร้อนแห้ง แบบโคตรร้อน ถ้าใครคิดว่าไทยร้อนแล้ว ก็อย่ามาประเทศนี้เลย ขนาดวัดอุณหภูมิจากในรถยังถึง 35C ถ้านอกรถไม่ต้องพูดถึง!!!
30. ทะเลทางทิศตะวันออกน้ำใสน่าเล่นมาก ต่างจากทางตะวันตกที่คลื่นค่อนข้างแรง และไม่ค่อยจะใสเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากต้องการเล่นน้ำทะเล ให้ไปทะเลทางด้านตะวันออกโลด
[CR] Madagascar ตะลุยซ่าอะโลฮ่า 11 วัน 10 คืน @2018
ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยกับการไปต่างประเทศ (ถ้าไม่นับตอนที่เราไปสังขละบุรี และออกไปพม่าขำๆ ไม่กี่ชั่วโมง) ซึ่งครั้งแรกก็มาประเทศยากๆ และไกล๊ไกลเล้ย 555+
เราอาจจะเขียนรีวิวละเอียดหน่อยเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เราเดินทางมาต่างประเทศ เราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นข้อมูลทั่วๆ ไปที่คนอื่นรู้อยู่แล้ว และอีกอย่างเท่าที่เราดูรีวิว ก็ยังไม่ค่อยเห็นรีวิวประเทศมาดากัสการ์มากนัก แถมข้อมูลที่จำเป็นก็หายากด้วย เราจึงรีวิวให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้ละกันเนอะ
ทริปนี้เราไปกัน 4 คน (ช 1 ญ 3) ค่าใช้จ่ายทุกอย่างหารเฉลี่ยทั้งหมด และเช่ารถพร้อมคนขับที่พูด Eng ได้นิดโหน่ยย ซึ่ง 4 คนเป็นปริมาณคนที่พอดีเลยล่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งคิดเรทที่ 1-4 คน ถ้ามากกว่านี้จะเป็นอีกเรทราคานึง และบางห้องพักก็นอนได้เต็มที่ 4 คน รถที่นั่งก็นั่งประมาณ 4-5 คนกำลังดีที่เหลือก็วางกระเป๋า อะไรประมาณนี้แหละ
ก่อนที่เราจะเริ่มรีวิวเนื้อหาหลัก เรามาทำความรู้จักกับมาดากัสการ์ในมุมมองของเราที่ไปอยู่มาประมาณ 10 วันกันก่อนเนอะ อันที่จริงสรุปตรงนี้เป็นข้อมูลที่แทรกๆ อยู่ในรีวิวเรานี่แหละ แต่เราเขียนสรุปออกมาก่อนสำหรับคนที่ไม่อยากอ่านแบบยาวๆ ละกันเนอะ
1. ถ้าคุณคาดหวังว่าจะมาตามรอยการ์ตูนเรื่องมาดากัสการ์ ที่มีสัตว์น้อยใหญ่ หรืออยากเห็น Big Five แบบในหนังล่ะก็ อย่ามาที่นี่เลย (มันมีแค่ในการ์ตูนเท่านั้น ขนาดไกด์ท้องถิ่นบางคนยังไม่เคยดูการ์ตูนเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ) ให้คุณหยุด Stop อยู่ที่ Kenya นั่นแหละ เพราะมาดากัสการ์ สัตว์ที่ใหญ่ที่สุดถ้าไม่นับ Zebu หรือวัวของที่นี่ ก็คือตัว Indri หรือพี่ใหญ่ของ Lemur นั่นเอง
2. สกุลเงินของที่นี่ใช้หน่วย Ariary ซึ่ง 100 Ar ก็ประมาณ 1 บาทไทย คิดง่ายๆ ก็คือราคาของทุกอย่างตัด 0 ไป 2 ตัว ซึ่งเงินของที่นี่เป็นแบงค์ล้วนๆ ไม่มีเหรียญ ซึ่งจะมีแบงค์ 100/ 200/ 500/ 1,000/ 2,000/ 5,000/ 10,000/ 20,000 ซึ่งแบงค์ 20,000 ของเขาก็คือ 200 บาทไทยเรานี่แหละ ดังนั้นเงิน 1 ล้าน Ariary คงไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะถือเงินเยอะแค่ไหน *0*
3. เมืองหลวงของที่นี่ชื่อ Antananarivo และมีชื่อย่อๆ ว่า Tana ซึ่งเราจะเรียกในรีวิวนี้ เพราะไม่อยากเขียนยาว ๆ -*-
4. ประเทศมาดากัสการ์ ถือว่าเป็นประเทศที่กันดารและยากจนมาก ถึงจะอยู่ไม่ไกลจาก Kenya (ค่อนข้างเจริญ พอๆ กับไทยเราเลย) ที่เราต่อเครื่องบินมา แต่สภาพบ้านเมืองคนละยุคเลย คุณจะพบคนจรจัดได้ทั่วๆ ไปในเมืองหลวงและตามที่ต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าคุณคิดว่าชนบทในไทยที่ว่าแย่แล้ว บอกเลยที่นี่ต้องคูณไปอีก 10 เท่า!
5. Visa แบบ On Arrival มีแบบ 30, 60 และ 90 วัน ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าจะทำยากหรือทำไม่ผ่าน เพราะVisa ที่นี่ทำง่ายมาก ไม่กี่นาทีก็เสร็จ ไม่ทงไม่ถามอะไรซ้ากคำ ขนาดเรา Passport ขาวๆ ยังผ่านเลย พูดง่ายๆ ก็คือ แค่มีเงินก็เข้าได้แล้ว ซึ่งราคาตอนนี้(6.4.18)อยู่ที่ 35EUR/คน/30Day
6. Kenya Airway แบกน้ำหนักได้เยอะมาก สายขนทั้งหลายจัดไป โหลดใต้เครื่องได้ 2 ใบ ใบละ 23 โลแถมแบกขึ้นเครื่องได้อีกคนละ 12 กิโลด้วย ขาช็อปนี้มันส์สะใจแน่นวล หุหุหุ
7. สนามบิน Nairobi ที่ Kenya และที่ Madagascar มี Free Wifi 1 ชั่วโมง แต่ต้อง Activate ก่อนถึงใช้ได้
8. การฉีดวัคซีน Yellow Fever ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันคนที่มาจากมาดากัสการ์ แต่ฉีดสำหรับคนที่มาจาก Kenya ซึ่งที่จริงที่มาดากัสการ์ ตม. ก็ไม่ได้ตรวจสมุดนะ แต่กลับมาที่ไทยโดนตรวจแน่นอน ถ้าลืมฉีดไปก็อาจจะต้องฉีดที่สนามบินไทยตอนขากลับทีเดียว
9. มาดากัสการ์มีเพียง 2 ฤดูเท่านั้น คือ ฤดูฝนและฤดูร้อน โดย ฤดูฝนเริ่มที่เดือน Nov – Apr ส่วนฤดูร้อนเริ่มที่ May – October ซึ่งเดือนเมษาที่เราไปอยู่ช่วงปลายฝน จึงไปป่าหิน Tsingy de bemaraha ไม่ได้เนื่องจากทางไปเน่ามากๆ และต้องข้ามแพยนต์ ดังนั้นช่วง High Season ที่คุณจะเที่ยวได้ครบทุกที่คือช่วงหน้าร้อนนี่ล่ะ ที่ควรระวังคือ ไม่ควรไปมาดากัสการ์หน้าพายุไซโคลน ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม เสี่ยงต่อการเจอแจ๊คพ็อต หรือไม่ก็อาจจะทางขาด ฝนตกตลอดเวย์ จะอดเที่ยวเอา
10. การเที่ยวประเทศนี้ไม่ได้โหดร้าย ผจญภัย ใช้ร่างกายเปลืองอะไรถือว่าสบายเลยล่ะ (ถ้าไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวสายประหยัด นั่งรถตู้ชาวบ้านเดินทาง หรือหาที่พักข้างทางนอน) คนอายุ 50-60 ก็มาได้สบายๆ แค่ทนกับอากาศร้อนให้ได้ก็พอ ซึ่งเราก็เห็นฝรั่งผู้หญิงน่ารักๆ มาเที่ยวคนเดียวกับไกด์เยอะแยะ
11. มาดากัสการ์ เคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ดังนั้นเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมต่างๆ จึงคล้ายกับฝรั่งเศส อย่างเช่นการปิดร้านค้าต่างๆ ในวันอาทิตย์เป็นต้น = =”
12. ที่นี่ใช้ภาษา Malagasy เป็นภาษาหลัก ภาษารองคือ France หรือภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษอันดับ 3 ซึ่งร้านอาหารบางแห่งไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ มีแต่ France ก็มีนะ ดังนั้น ถ้ามีเพื่อนพูดฝรั่งเศสได้รีบชวนเข้าตี้โดยด่วนเลย
13. คำว่าสวัสดีของที่นี่คือ “ซลามา” ขอบคุณคือ “แมสซี่”
14. ถ้าคุณเป็นคนหน้าเอเชีย และไปเดินตามเมืองต่างๆ คุณจะโดนเหมารวมว่าเป็นคนจีนทันที จะมีคนมาทักคุณว่า Ni Hao หรือหนักกว่านั้นคุณอาจจะโดนกวนทรีนโดยภาษาจีนแบบมั่วๆ ใส่กลับมา
15. เวลาของที่มาดากัสการ์ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง อย่าลืมปรับนาฬิกาหรือใส่นาฬิกาที่เปรียบเทียบ 2 เวลาได้ด้วย
16. ซิมโทรศัพท์และเน็ตของที่นี่ค่อนข้างแพง ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งเอาจริงๆ มันไม่จำเป็นเลย ถ้าเราเราเช่าคนขับรถเดินทาง เพราะยังไงแล้วโรงแรมทุกที่ที่เราพัก (ยกเว้นเกาะ Akanin'ny Nofy) มี Wifi ซึ่งเราไม่ได้ซื้อซิมก็อยู่กันได้นะ
17. Super Market และ Minimart หรือร้านค้าปลีกในแทบทุกที่ ไม่มีถุงใส่ของให้ บางที่ต้องซื้อเพิ่ม หรือไม่ก็ต้องแบกเอง ดังนั้นพกถุงส่วนตัวมาช็อปด้วยนะจ๊ะ
18. สิ่งที่เป็น Signature ของมาดากัสการ์เลยก็คือต้น Baobab กับตัว Lemur ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับวิวหรืออะไรซักอย่าง คงต้องเป็นสองอย่างนี้แหละที่จะเอาไว้อวดชาวบ้านชาวเมืองได้ เพราะที่นี่วิวสวยๆ จะอยู่ตามข้างทาง ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสได้หยุดถ่ายเท่าไหร่หรอก
19. Lemur นิสัยคล้ายๆ ลิงบ้านเรานี่แหละแค่เปลี่ยนหัวให้กับมันแค่นั้น ถ้าเป็นตัวที่อยู่ในป่า มันจะไม่ชินกับคน แต่ถ้าเป็นตัวที่เลี้ยงไว้ตามโรงแรม มันจะเชื่องมากไม่ต่างกับแมวเบย *-*
20. ของขึ้นชื่อของมาดากัสการ์อีกอย่างหนึ่งก็คือวนิลา (ได้ชื่อว่าเป็นวนิลาที่ดีที่สุดในโลก) หาซื้อได้ที่ในเมืองหลวง Tana หรือไม่ก็ตลาด la. Digue (ลาดีค) ทางระหว่างสนามบินกับเมือง Tana ซึ่งจะขายแพงมากๆ อย่างวนิลา 1 ชุดมี 4 ฝัก 800 บาท พวกเราต่อแบบดุเดือดมากจนเหลือ 200 บาท ดังนั้นคนที่ Fight ต่อราคาเก่ง ๆ จำเป็นมากสำหรับการมาตลาดนี้
21. หากแพลนเที่ยวของคุณมีเมือง Morondava อยู่ด้วยสิ่งที่อยากบอกเลยคือเมืองนี้ ความน่าสนใจไม่ได้มีแค่เพียง Avenue Baobab, Kirindy Forest หรือ Tsingy de bemaraha (ป่าหินที่ได้รับ Unesco) เพียงเท่านั้น เมืองนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น เดินชมเมือง เล่นน้ำทะเล ขึ้นเรือไปดูการจับปลาของชาวประมง (ใช้เวลา 3ชม. ในตอนเช้า) ร้านอาหารทะเลที่แสนจะถูก ของขายพื้นเมือง เช่น ผลไม้บลาๆ ก็ถูก คนก็ดูเป็นมิตรต่างจากเมืองหลวง ซึ่งที่นี่ไม่มีคนมาเดินก่อกวนเราด้วย แถมทักทายแบบเป็นมิตรด้วยอีกต่างหาก และตกดึกยังมีวิถีชีวิตการช็อปปิ้งในตลาดกลางคืน ซึ่งคุณควรจะมีวัน Free day อยู่ในเมืองซักวันนึง แต่ถ้าเวลาจำกัดและไม่ไป Tsingy de bemaraha ให้ตัด Kirindy Forest ออก แล้วช่วงเช้าถึงบ่ายก็จัดกิจกรรมในเมืองเต็มที่จร้า
22. หากคุณไม่ต้องการเสียเวลาในการเดินทางไป Morondava ถึง 2 วันจาก Tana (ทั้งตอนไปและกลับ) และคุณไม่ได้บินในประเทศด้วย ให้คุณใช้บริการรถตู้สาธารณะแบบ VIP ซึ่งลืมภาพรถตู้แน่นๆ ตามชนบทที่ต้องอัดแย่งกันขึ้นไปได้เลย เพราะรถตู้ที่มีระดับหน่อยจะเป็นแบบนั่งใครนั่งมัน ซึ่งมันสามารถเดินทางต่อเนื่องได้ถึง 14 ชม. เลยทีเดียว (รายละเอียดตามเอาเนอะ)
23. ชาวต่างชาติสำหรับคนในชนบทถือว่าเป็นอะไรที่แปลกตามาก คุณจะโดนมุง มองยังกะตัวประหลาดแหนะ ซึ่งเด็กๆ จะเรียกคนต่างชาตินี้ว่า “ฟาซา” และก็ตามด้วย “มันนี่” นั่นก็คือขอเงินนั่นและ = =”
24. คุณจะโดนขอเงินเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ลงมาสนามบิน รวมถึงตอนกลับด้วยจะมีเด็กขนกระเป๋า ถ้าคุณไม่อยากเสียตัง พยายามปฏิเสธความช่วยเหลือซะ และโดยเฉพาะเมืองเมืองใหญ่ๆ แถบสลัม หรือตามชนบทที่เป็นชุมชนใหญ่นี่หนักสุด ขอกันรัวๆ เป็นอะไรที่สร้างความรำคาญสุดๆ ไปเลย
25. การบริจาคของให้กับคนในชนบทของที่นี่ พยายามให้กับกลุ่มที่เล็กๆ เพราะถ้าคุณเห็นเด็กเยอะๆ แล้วเข้าไปให้ของล่ะก็ อารมณ์จะเหมือนโดนฝูงซอมบี้รุมแบบในหนังเลยล่ะ *0*
26. เวลาหลัง 6 โมงหรือเวลาพระอาทิตย์ตกของประเทศมาดากัสการ์นี้ เป็นเวลาที่ไม่ควรออกมาเดินเล่นนอกที่พัก โดยเฉพาะเมืองหลวง Tana และเมืองอื่นๆ เพราะมันอันตราย และในหลาย ๆ จุดก็ไม่มีไฟส่องสว่างเลย
27. ทางทิศเหนือของประเทศมาดากัสการ์ คนมักจะไปเที่ยวเกาะ ชายหาดทางภาคเหนือกัน แต่มันไกลจากเมืองหลวงมาก ดังนั้น ถ้าจะเที่ยวควรต้องบินภายในประเทศด้วย แต่เราไม่ได้ไปในทริปนี้
28. ทางทิศใต้ของประเทศมาดากัสการ์ คนก็มักจะไปเที่ยวดูต้น Baobab อีกเช่นกัน แต่ว่าค่อนข้างไกล แต่ถนนยังทิศใต้ถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดของประเทศมาดากัสการ์แล้ว นั่นคือถนนหมายเลข 7 ซึ่งมีคนไทย และคนต่างชาติบางส่วนไปทำธุรกิจแถวๆ นี้ด้วย เพระมีธุรกิจเกี่ยวกับพลอยอยู่
29. สภาพอากาศทางด้านตะวันออกเป็นแบบร้อนชื้นคล้ายๆ ของไทยเรา ฝนตกแทบทั้งปีตั้งแต่ Mar- Sep แต่อากาศทางด้านตะวันตกก่อนถึงแถบเมือง Morondava จะเป็นแบบร้อนแห้ง แบบโคตรร้อน ถ้าใครคิดว่าไทยร้อนแล้ว ก็อย่ามาประเทศนี้เลย ขนาดวัดอุณหภูมิจากในรถยังถึง 35C ถ้านอกรถไม่ต้องพูดถึง!!!
30. ทะเลทางทิศตะวันออกน้ำใสน่าเล่นมาก ต่างจากทางตะวันตกที่คลื่นค่อนข้างแรง และไม่ค่อยจะใสเท่าไหร่ ซึ่งถ้าหากต้องการเล่นน้ำทะเล ให้ไปทะเลทางด้านตะวันออกโลด
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น