ช่วงนี้เหมือนว่าข้อความทางไลน์ข้อความนี้กำลังระบาดหนักมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อันตรายจากการใช้โทรทางไลน์
📱โทรศัพท์มือถือ ยังไงก็เลี่ยงการใช้ไม่ได้ แต่เราต้องรู้ว่า โทรศัพท์จะปล่อยคลื่นรุนแรงเวลาไหน
บางคนอาจเถียงว่า มีการทดสอบ กำหนดค่า SAR Value แล้ว มันก็ต้องปลอดภัย มันไม่จริงหรอกครับ เพราะค่า SAR ที่เค้ากำหนดไว้ มันค่อนข้างสูง และเค้าวัดเวลาใช้งานพูดคุย
👉👉แต่อันตรายที่แรงๆของมือถือ มันมาจากเวลา WiFi และ Data ทำงานรับส่งข้อมูล ค่า RF จะขึ้นไปสูงมากเป็นระดับ ร้อยๆ mW/m2 เลย
ยิ่งบางคนไม่รู้ อยากประหยัดค่าโทรศัพท์ ใช้การโทรผ่าน Skype หรือ Line ซึ่งมันต้องใช้ WiFi หรือ Data และไม่ได้ใช้สายเสียบหูฟัง
ผมรับรองได้เลยว่า คนที่ใช้วิธีนี้ประจำ จะเป็นเนื้องอกในสมองในเวลาไม่นานนัก เวลาที่ Data ทำงาน RF ที่ออกมาจะรุนแรงกว่า WiFi ทำงาน
ถ้าคุณเล่นมือถือแล้วรู้สึกตึงนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก คอ บ่า ไหล่ ปวดตา นั่นแหละครับ คุณโดน EMF เล่นงานแล้ว
ถ้าคุณถือโทรศัพท์ไว้ระดับท้อง หรือท้องน้อย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอวัยวะสำคัญทั้งนั้น ก็อันตรายที่จะเกิดปัญหาในช่องท้อง เช่น มะเร็ง (WHO กำหนดให้ RF จากอุปกรณ์สื่อสาร อยู่ในกลุ่ม 2B คือมีความเสี่ยงอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้) ปัญหากับรังไข่ ในผู้หญิง หรือ การผลิตน้ำอสุจิ ในผู้ชายอาจเป็นหมัน มีลูกยาก หรือผิดปกติทางพันธุกรรมได้
ดังนั้น เวลาเล่นมือถือ
-ให้วางบนโต๊ะ อยู่ให้ห่างเท่าที่ทำได้ อย่าจับมือถือตลอดเวลาที่ WiFi หรือ Data ทำงาน
-เวลาคุยโทรศัพท์ ถ้าต้องคุยนาน ควรใช้สายเสียบ ดีกว่าใช้ Bluetooth
-ถ้าไม่มี ให้ถือโทรศัพท์ให้ห่างหูให้มากที่สุด เท่าที่คุยได้ยิน หรือเปิด Speaker จะได้ไม่ต้องเอามาแนบหู เวลาไม่ใช้เน็ท ให้ปิดทั้ง WiFi และ Data แล้วค่อยพกใส่กระเป๋า จะปลอดภัยกว่าเปิดทิ้งไว้ ยกเว้นจะมีถุงกัน EMF ใส่
Cr. นพ.สมชาย เดชอมรธัญ
ล่าสุดแม่ได้รับข้อความนี้มา แล้วก็แชร์ต่อไปในกลุ่มไลน์ครอบครัว ผมเห็นแล้วปวดใจมากเลย ต่อให้เป็นใคร หากเห็นว่าผู้เขียนท้าย Credit เป็นถึงนายแพทย์ ก็คงจะเชื่ออย่างแน่นอน
แต่จากที่ผมลองหาข้อมูลของนายแพทย์ท่านนี้ กลับไม่พบข้อมูลใดใดในเนทเลย ที่สามารถยืนยันตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นหมอในสาขาอะไร รักษาอยู่ที่ไหน มีแต่เพียงบทความที่อยู่ในเวปไซท์ 2 เวปนี้เท่านั้นเอง เลยไม่แน่ใจว่าท่านถูกนำไปแอบอ้างในบทความนี้โดยที่ท่านไม่รู้หรือเปล่า
นักวิชาการหลายท่านก็คงจะปวดหัวไปตามๆ กัน ที่ต้องออกมาชี้แจงข้อมูลความจริง และแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากข้อความทางโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น
คลื่นโทรศัพท์ คั่วป็อปคอร์นได้ หรือเรื่องต่างๆ นานาจากมือถือ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญไชย ไทยเจียม ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และตัวแทนจากสมาคมวิจัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ไทย กล่าวว่า
"อันตรายของแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นอยู่กับระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยกำลังมากก็จะให้ความร้อนมากซึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้นั้นมีกำลังคลื่นแม่เหล็กต่างกัน คือ วิทยุเอฟเอ็มรัศมี 50 กิโลเมตรมีระดับกำลัง 100 กิโลวัตต์ เตาไมโครเวฟมีระดับกำลัง 1 กิโลวัตต์ โทรศัพท์มือถือ 2 วัตต์สำหรับระบบเดิม แต่ปัจจุบันที่เป็นระบบ 3G มีระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประมาณ 0.8 วัตต์ หากระบบ 4G ระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะน้อยลงอีก"
สำหรับเรื่องมะเร็ง
"ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน" ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ระบุให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในกลุ่ม 2B คือ
อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์ เพื่อตีกรอบป้องกันไว้ก่อน
ซึ่งสารเคมีและปัจจัยอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม 2ฺB มีทั้งหมด 299 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ น้ำมันรถ อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม เนื้อสัตว์สีแดง อาหารกระป๋อง เป็นต้น โดยรายชื่อสารที่ก่อ/อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง สามารถดาวน์โหลดได้ =>
ที่นี่
จะเห็นได้ว่า กำลังส่งของ Wifi, สัญญาณมือถือไม่ว่าจะเป็น 2G 3G หรือ 4G ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น้อยกว่าคลื่นวิทยุ FM เป็นหลายร้อย หลายพันเท่า
*** สรุป ***
1. ต่อให้คลื่น RF (Radio Frequency) ของการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นในขณะใช้งานจริง ก็ไม่น่าจะมีความน่ากลัวเท่ากับคลื่นวิทยุ FM ที่มีระดับกำลัง 100 kW
2. เล่นมือถือแล้ว ตึงนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก คอ บ่า ไหล่ ปวดตา ก็เพราะเกร็งกล้ามเนื้อที่ว่ามาทุกส่วนจนทำให้ปวดเมื่อยก็แค่นั้นเอง
3. สัญญาณมือถือ และ WIFI อยู่ในกลุ่มที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งเทียบเท่ากับ ดื่มกาแฟ สูดควันรถยนต์ สูดควันบุหรี่ สูดกลิ่นน้ำมันรถ กินอาหารหมักดอง กินอาหารแปรรูป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำอัดลม กินเนื้อสัตว์สีแดง กินอาหารกระป๋อง และอื่นๆ อีกหลายกรณี
แต่สำหรับผม สิ่งที่น่ากลัวกว่าคลื่นสัญญาณมือถือ ก็คือคนในสังคมก้มหน้า ที่เป็นภัยเงียบ เพราะไม่ใช่แค่ทำให้คุณมีอันตรายเพียงคนเดียว แต่ทำให้คนรอบข้างของคุณต้องมีอันตรายไปกับคุณด้วย
ถ้ากลัวว่าโทรศัพท์มือถือจะมีอันตรายต่อสุขภาพจริง
ก็จำกัดการใช้ ใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ใช่เสพติดโทรศัพท์มือถือ อย่าให้เด็กใช้โทรศัพท์ และปิดเครื่องเวลานอนได้ก็จะดี
ชัวร์ก่อนแชร์ : สัญญาณ Wi-Fi อันตรายจริงหรือ?
ชัวร์ก่อนแชร์ : คลื่นวิทยุ-คลื่นมือถือ รบกวนสมองได้จริงหรือ?
สังคมก้มหน้า ภัยเงียบที่อันตรายกว่าสัญญาณมือถือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ล่าสุดแม่ได้รับข้อความนี้มา แล้วก็แชร์ต่อไปในกลุ่มไลน์ครอบครัว ผมเห็นแล้วปวดใจมากเลย ต่อให้เป็นใคร หากเห็นว่าผู้เขียนท้าย Credit เป็นถึงนายแพทย์ ก็คงจะเชื่ออย่างแน่นอน
แต่จากที่ผมลองหาข้อมูลของนายแพทย์ท่านนี้ กลับไม่พบข้อมูลใดใดในเนทเลย ที่สามารถยืนยันตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นหมอในสาขาอะไร รักษาอยู่ที่ไหน มีแต่เพียงบทความที่อยู่ในเวปไซท์ 2 เวปนี้เท่านั้นเอง เลยไม่แน่ใจว่าท่านถูกนำไปแอบอ้างในบทความนี้โดยที่ท่านไม่รู้หรือเปล่า
นักวิชาการหลายท่านก็คงจะปวดหัวไปตามๆ กัน ที่ต้องออกมาชี้แจงข้อมูลความจริง และแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นจากข้อความทางโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น คลื่นโทรศัพท์ คั่วป็อปคอร์นได้ หรือเรื่องต่างๆ นานาจากมือถือ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญไชย ไทยเจียม ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และตัวแทนจากสมาคมวิจัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ไทย กล่าวว่า
"อันตรายของแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นอยู่กับระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยกำลังมากก็จะให้ความร้อนมากซึ่งอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละชนิดที่ใช้นั้นมีกำลังคลื่นแม่เหล็กต่างกัน คือ วิทยุเอฟเอ็มรัศมี 50 กิโลเมตรมีระดับกำลัง 100 กิโลวัตต์ เตาไมโครเวฟมีระดับกำลัง 1 กิโลวัตต์ โทรศัพท์มือถือ 2 วัตต์สำหรับระบบเดิม แต่ปัจจุบันที่เป็นระบบ 3G มีระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ประมาณ 0.8 วัตต์ หากระบบ 4G ระดับกำลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะน้อยลงอีก"
สำหรับเรื่องมะเร็ง "ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน" ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ระบุให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในกลุ่ม 2B คือ อาจจะก่อมะเร็งในมนุษย์ เพื่อตีกรอบป้องกันไว้ก่อน
ซึ่งสารเคมีและปัจจัยอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม 2ฺB มีทั้งหมด 299 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ น้ำมันรถ อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม เนื้อสัตว์สีแดง อาหารกระป๋อง เป็นต้น โดยรายชื่อสารที่ก่อ/อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง สามารถดาวน์โหลดได้ => ที่นี่
จะเห็นได้ว่า กำลังส่งของ Wifi, สัญญาณมือถือไม่ว่าจะเป็น 2G 3G หรือ 4G ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น้อยกว่าคลื่นวิทยุ FM เป็นหลายร้อย หลายพันเท่า
*** สรุป ***
1. ต่อให้คลื่น RF (Radio Frequency) ของการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นในขณะใช้งานจริง ก็ไม่น่าจะมีความน่ากลัวเท่ากับคลื่นวิทยุ FM ที่มีระดับกำลัง 100 kW
2. เล่นมือถือแล้ว ตึงนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก คอ บ่า ไหล่ ปวดตา ก็เพราะเกร็งกล้ามเนื้อที่ว่ามาทุกส่วนจนทำให้ปวดเมื่อยก็แค่นั้นเอง
3. สัญญาณมือถือ และ WIFI อยู่ในกลุ่มที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งเทียบเท่ากับ ดื่มกาแฟ สูดควันรถยนต์ สูดควันบุหรี่ สูดกลิ่นน้ำมันรถ กินอาหารหมักดอง กินอาหารแปรรูป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำอัดลม กินเนื้อสัตว์สีแดง กินอาหารกระป๋อง และอื่นๆ อีกหลายกรณี
แต่สำหรับผม สิ่งที่น่ากลัวกว่าคลื่นสัญญาณมือถือ ก็คือคนในสังคมก้มหน้า ที่เป็นภัยเงียบ เพราะไม่ใช่แค่ทำให้คุณมีอันตรายเพียงคนเดียว แต่ทำให้คนรอบข้างของคุณต้องมีอันตรายไปกับคุณด้วย
ก็จำกัดการใช้ ใช้เท่าที่จำเป็น ไม่ใช่เสพติดโทรศัพท์มือถือ อย่าให้เด็กใช้โทรศัพท์ และปิดเครื่องเวลานอนได้ก็จะดี
ชัวร์ก่อนแชร์ : สัญญาณ Wi-Fi อันตรายจริงหรือ?
ชัวร์ก่อนแชร์ : คลื่นวิทยุ-คลื่นมือถือ รบกวนสมองได้จริงหรือ?