ผมติดตามข่าว ฟังแล้วงงมาก
ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยของเราหลังพวกคณะทร.... อ้างว่าประชาชนไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การปกครองเดิม ก็พยายามใช้วิธีแบบ ดร.ซุนยัดเซน คือ การให้ประชาชนมาเป็นกองหนุน ประท้วง สร้างความโกลาหลไปทั่วทุกท้องถนนในแผ่นดินจีน แม้ว่าแผ่นดินจีนในสมัยนั้นจะต้องระมัดระวังกับพรรคชาวนา ที่ก่อการกบฎอยู่บ่อยครั้ง และพัฒนามาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบัน แต่ในช่วงที่ ดร.ซุนยัดเซน พยายามพูดให้ประชาชนเริ่มคล้อยตาม ทั้งความกลัวในการเปลี่ยนแปลงแบบคอมมิวนิสต์ และความเกรงกลัวต่อการอยู่ภายใต้อำนาจราชาธิปไตยแบบจีน ทำให้การชุมนมประท้วง และการหั่นประเทศจีนให้กับฝรั่งเพื่อต่อรองในเรื่องอำนาจการสนับสนุนงบประมาณการปฏิวัติจีนเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติจีน
แต่อย่างไรก็ดี ดร.ซุนยัดเซน ก็ยังมีข้อดี และมีข้อร้าย คลุกเคล้ากัน แต่สิ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับนักเคลื่อนไหวก็คือ อย่าเคลื่อนไหว ให้กลับบ้านไปพัฒนาบ้านเกิด แล้วเข้าสู่การปกครองส่วนท้องถิ่น หากท้องถิ่นบริสุทธิ์ยุติธรรมทางการเมืองแล้ว การเมืองระดับชาติ ก็จะบริสุทธิ์ทางการเมืองตามมาได้อย่างสมบูรณ์
ผมคงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงความคิด ของคนอะไรอยากเลือกตั้งฯ ในช่วงที่ประเทศต้องการความสงบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คลื่นลมทางการเมืองสงบ แล้วเมื่อนั้น ประชาชนย่อมมองเห็นกันชัดเจนขึ้น มองถึงปัญหาที่เป็นปัญหามิใช่ตัณหา แล้วแน่นอน วิธีการนี้อาจช้า แต่ก็ต้องทำ เราอาจบอกว่าเราได้ไม่คุ้มเสีย แต่สำหรับผม ผมคิดว่าให้คนกลางบริหารประเทศไปจนประเทศนิ่งกว่านี้ เรายังมีเวลาพัฒนานักการเมือง และพรรคการเมือง ให้เป็นกลไกของการพัฒนาคน พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม พัฒนาสังคมอาชีพ และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในประเทศเข้าไว้ด้วยกัน และเมื่อนักการเมือง พรรคการเมืองใช้ โรดแมม ในการพัฒนาพรรคการเมืองในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ ผมเชื่อว่า อย่างกลุ่มกสิกรรม กลุ่มแม่บ้านที่รวมกันกันข้ามภูมิภาค ก็สามารถจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองได้ และนั้นแหละ คือพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มิใช่จ้องจะทำอะไรแบบฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรอยากเลือกตั้ง
ฝนตกขี้หมูไหลคนอะไรอยากเลือกตั้ง?
ไม่รู้ว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยของเราหลังพวกคณะทร.... อ้างว่าประชาชนไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การปกครองเดิม ก็พยายามใช้วิธีแบบ ดร.ซุนยัดเซน คือ การให้ประชาชนมาเป็นกองหนุน ประท้วง สร้างความโกลาหลไปทั่วทุกท้องถนนในแผ่นดินจีน แม้ว่าแผ่นดินจีนในสมัยนั้นจะต้องระมัดระวังกับพรรคชาวนา ที่ก่อการกบฎอยู่บ่อยครั้ง และพัฒนามาเป็นพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบัน แต่ในช่วงที่ ดร.ซุนยัดเซน พยายามพูดให้ประชาชนเริ่มคล้อยตาม ทั้งความกลัวในการเปลี่ยนแปลงแบบคอมมิวนิสต์ และความเกรงกลัวต่อการอยู่ภายใต้อำนาจราชาธิปไตยแบบจีน ทำให้การชุมนมประท้วง และการหั่นประเทศจีนให้กับฝรั่งเพื่อต่อรองในเรื่องอำนาจการสนับสนุนงบประมาณการปฏิวัติจีนเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติจีน
แต่อย่างไรก็ดี ดร.ซุนยัดเซน ก็ยังมีข้อดี และมีข้อร้าย คลุกเคล้ากัน แต่สิ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับนักเคลื่อนไหวก็คือ อย่าเคลื่อนไหว ให้กลับบ้านไปพัฒนาบ้านเกิด แล้วเข้าสู่การปกครองส่วนท้องถิ่น หากท้องถิ่นบริสุทธิ์ยุติธรรมทางการเมืองแล้ว การเมืองระดับชาติ ก็จะบริสุทธิ์ทางการเมืองตามมาได้อย่างสมบูรณ์
ผมคงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงความคิด ของคนอะไรอยากเลือกตั้งฯ ในช่วงที่ประเทศต้องการความสงบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คลื่นลมทางการเมืองสงบ แล้วเมื่อนั้น ประชาชนย่อมมองเห็นกันชัดเจนขึ้น มองถึงปัญหาที่เป็นปัญหามิใช่ตัณหา แล้วแน่นอน วิธีการนี้อาจช้า แต่ก็ต้องทำ เราอาจบอกว่าเราได้ไม่คุ้มเสีย แต่สำหรับผม ผมคิดว่าให้คนกลางบริหารประเทศไปจนประเทศนิ่งกว่านี้ เรายังมีเวลาพัฒนานักการเมือง และพรรคการเมือง ให้เป็นกลไกของการพัฒนาคน พัฒนาชุมชน พัฒนาสังคม พัฒนาสังคมอาชีพ และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในประเทศเข้าไว้ด้วยกัน และเมื่อนักการเมือง พรรคการเมืองใช้ โรดแมม ในการพัฒนาพรรคการเมืองในทิศทางเดียวกันเช่นนี้ ผมเชื่อว่า อย่างกลุ่มกสิกรรม กลุ่มแม่บ้านที่รวมกันกันข้ามภูมิภาค ก็สามารถจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองได้ และนั้นแหละ คือพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มิใช่จ้องจะทำอะไรแบบฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรอยากเลือกตั้ง