วันผมไปเดินร้านบูมมา ปกติผมจะเดินช๊อปในโซนแผ่น Blu-ray ซะส่วนใหญ่ เพราะชอบในความคมชัดทุกอณูและรูขุมขนของมัน และวันนี้ผมก็เดินไปเจอหนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังไซ-ไฟที่จำได้ว่าตอนดูโรงครั้งแรกหลับคาเก้าอี้สนิท และไปดูรอบสองเพื่อเก็บรายละเอียดมากขึ้นจากรอบที่แล้ว หนังเรื่องนั้นก็คือ Blade Runner 2049 นั่นเองครับ
เป็นเรื่องราวใน 30 ปีให้หลังจากภาคแรก เมื่อเจ้าหน้าที่เค (Officer K) ซึ่งนำแสดงโดย Ryan Goslingที่เป็น “เบลดรันเนอร์” (Blade Runner) คนล่าสุดได้เข้ามาประจำการที่เมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้พยายามสืบข้อมูลของ “ริค เดซคาร์ด”(Rick Deckard) ซึ่งนำแสดงโดย Harrison Ford บุคคลหายสาบสูญไปนานถึงสามสิบปีเต็ม
"แฝงเต็มไปด้วยปรัชญาไซ-ไฟลึกล้ำ"
ผมเคยดูภาคแรกไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว (จนลืมเรื่องราวหมดละ) และผมขอบอกความรู้สึกของผมต่อภาคแรกด้วยประโยคนี้
"เกลียดโคตรๆ ที่แอคชั่นน้อย แต่ก็ชอบโคตรๆ ที่เนื้อหาแน่น" ซึ่งก็บอกได้ว่า จุดที่ทำให้ผมชอบภาคแรกไม่ใช่ฉากแอคชั่น แต่เป็นเนื้อหาที่สะท้อนสังคมยุคอนาคต ประเด็นของมนุษย์แท้-เทียม ว่าจิตใจคนเรายังไม่ทรงคุณค่าเท่าผลงานอันไร้จิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยกันเลย (อันนี้พึ่งเก็ตจุดประสงค์ของผกก.ตอนดูภาคสอง) เพราะฉะนั้นภาคนี้ ความคาดหวังของผมก็สูงลิ่วติดเพดานเลยหล่ะ แต่ดูจากการโปรโมตที่ค่อนข้างเน้นแอคชั่น ทำให้ผมเริ่มกังวลว่าหนังจะออกมาดีมั้ย แต่พอฟังชื่อผกก. ก็ค่อยโล่งอกเพราะวางใจได้ และหนังของพี่แกก็ไม่มีเรื่องไหนผมไม่ชอบเลย อย่าง Arrival ที่หลายคนบอกว่าเนือยมาาาาากกกกกกกกก แต่ผมกลับดูสนุกซะงั้น เพราะผมรู้จุดประสงค์ที่ผกก. อยากจะสื่อถึงว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวที่สุด เอเลี่ยนเลยต้องมาเยือนโลกเพื่อปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของมนุษย์ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ แต่มนุษย์ดันเห็นเป็นสิ่งอันตราย เอเลี่ยนแค่มาจอดยานไว้เฉยๆ แต่มนุษย์เห็นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายซะงั้น" เรื่องนี้ก็ยังคงแฝงข้อคิดและปรัชญาไว้เยอะเหมือนเดิมครับ ตามสไตล์พี่ Dennis แกเลย ผมชักจะชอบผกก. คนนี้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ...
"หนังทั้งเรื่องอยู่ในอ้อมกอดของ Ryan Gosling"
ทีมนักแสดงในเรื่องนี้ถือว่าน่าไว้วางใจได้อยู่ เพราะ Ryan Gosling ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มาดนิ่งแต่ยิงไม่เข้าจริงๆ และหลังจากที่เล่น La La Land คู่กับ Emma Stone ผมก็เห็นได้เลยว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ส่วน Harrison Ford ที่กลับมารับบทเด็คคาร์ดอีกครั้ง ถึงแม้บทจะไม่มาก แต่ก็ถือว่าด่ายากอ่ะนะสำหรับคนนี้ ส่วนคนอื่นๆ อย่าง Ana De Armas (ชื่อถูกป่ะ?55) ในบทจอย ก็เล่นได้ดีไม่มีจุดด่า แต่ถ้าจะด่าจริงๆ ก็คงเป็น Jaled Letto ในบทตัวร้าย รู้สึกว่ามิติ(การแสดง)น้อยไปหน่อย เลยทำให้ไม่มีจุดที่น่าจดจำ (จริงๆ ผมก็ด่าเขามาตั้งแต่ Suicide Squad แล้วล่ะ)...
"CG งามมาก การถ่ายภาพดูดีมีระดับ"
และอีกจุดนึงที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ ก็คือการถ่ายภาพเมืองอนาคต จะบอกว่าสวยงามมาาากกกกก คุ้มค่าเงินที่เสียไปจริงๆ และทางด้าน Visual Effects เรื่องนี้งานสร้างดีงามคุ้มทุนมากๆ และผมขอท้าว่าใครที่เห็นจุดไหนที่ CG ลอยหรือหลอกตา ลองแค๊ปมาบอกผมในคอมเมนต์หน่อยครับ สังเกตทั้งเรื่องละ หายากจริงๆ ส่วน Score ที่ประพันธ์โดย Hans Zimmer และ Benjamin Walfish ซึ่งสองคนนี้ผมก็ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำให้เรื่องนี้ไม่มีจุดจะด่าสักเท่าไหร่...
สรุป
หากใครที่อยากดูหนังแอคชั่นไซ-ไฟตูมตาม ให้ข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับ แต่ถ้าอยากเสพงานภาพที่ตระการตา ดนตรีที่ฟังแล้วขนลุก เชิญเรื่องนี้เลยครับ
คะแนน : 9.5/10
*ใครที่มีหนังแนวนี้อีกที่อยากจะแนะนำ ก็คอมเมนท์ได้ด้านล่างเลยนะครับผม😊
*แก้ไขคำผิด
(รีวิวหนังแผ่น #5) Blade Runner 2049 | ขอกราบบูชา "หนังที่งดงามที่สุดตั้งแต่ที่ดูมา" [*No Spoil]
เป็นเรื่องราวใน 30 ปีให้หลังจากภาคแรก เมื่อเจ้าหน้าที่เค (Officer K) ซึ่งนำแสดงโดย Ryan Goslingที่เป็น “เบลดรันเนอร์” (Blade Runner) คนล่าสุดได้เข้ามาประจำการที่เมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้พยายามสืบข้อมูลของ “ริค เดซคาร์ด”(Rick Deckard) ซึ่งนำแสดงโดย Harrison Ford บุคคลหายสาบสูญไปนานถึงสามสิบปีเต็ม
"แฝงเต็มไปด้วยปรัชญาไซ-ไฟลึกล้ำ"
ผมเคยดูภาคแรกไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว (จนลืมเรื่องราวหมดละ) และผมขอบอกความรู้สึกของผมต่อภาคแรกด้วยประโยคนี้ "เกลียดโคตรๆ ที่แอคชั่นน้อย แต่ก็ชอบโคตรๆ ที่เนื้อหาแน่น" ซึ่งก็บอกได้ว่า จุดที่ทำให้ผมชอบภาคแรกไม่ใช่ฉากแอคชั่น แต่เป็นเนื้อหาที่สะท้อนสังคมยุคอนาคต ประเด็นของมนุษย์แท้-เทียม ว่าจิตใจคนเรายังไม่ทรงคุณค่าเท่าผลงานอันไร้จิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยกันเลย (อันนี้พึ่งเก็ตจุดประสงค์ของผกก.ตอนดูภาคสอง) เพราะฉะนั้นภาคนี้ ความคาดหวังของผมก็สูงลิ่วติดเพดานเลยหล่ะ แต่ดูจากการโปรโมตที่ค่อนข้างเน้นแอคชั่น ทำให้ผมเริ่มกังวลว่าหนังจะออกมาดีมั้ย แต่พอฟังชื่อผกก. ก็ค่อยโล่งอกเพราะวางใจได้ และหนังของพี่แกก็ไม่มีเรื่องไหนผมไม่ชอบเลย อย่าง Arrival ที่หลายคนบอกว่าเนือยมาาาาากกกกกกกกก แต่ผมกลับดูสนุกซะงั้น เพราะผมรู้จุดประสงค์ที่ผกก. อยากจะสื่อถึงว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เรื่องนี้ก็ยังคงแฝงข้อคิดและปรัชญาไว้เยอะเหมือนเดิมครับ ตามสไตล์พี่ Dennis แกเลย ผมชักจะชอบผกก. คนนี้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ...
"หนังทั้งเรื่องอยู่ในอ้อมกอดของ Ryan Gosling"
ทีมนักแสดงในเรื่องนี้ถือว่าน่าไว้วางใจได้อยู่ เพราะ Ryan Gosling ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มาดนิ่งแต่ยิงไม่เข้าจริงๆ และหลังจากที่เล่น La La Land คู่กับ Emma Stone ผมก็เห็นได้เลยว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ส่วน Harrison Ford ที่กลับมารับบทเด็คคาร์ดอีกครั้ง ถึงแม้บทจะไม่มาก แต่ก็ถือว่าด่ายากอ่ะนะสำหรับคนนี้ ส่วนคนอื่นๆ อย่าง Ana De Armas (ชื่อถูกป่ะ?55) ในบทจอย ก็เล่นได้ดีไม่มีจุดด่า แต่ถ้าจะด่าจริงๆ ก็คงเป็น Jaled Letto ในบทตัวร้าย รู้สึกว่ามิติ(การแสดง)น้อยไปหน่อย เลยทำให้ไม่มีจุดที่น่าจดจำ (จริงๆ ผมก็ด่าเขามาตั้งแต่ Suicide Squad แล้วล่ะ)...
"CG งามมาก การถ่ายภาพดูดีมีระดับ"
และอีกจุดนึงที่ทำให้ผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ ก็คือการถ่ายภาพเมืองอนาคต จะบอกว่าสวยงามมาาากกกกก คุ้มค่าเงินที่เสียไปจริงๆ และทางด้าน Visual Effects เรื่องนี้งานสร้างดีงามคุ้มทุนมากๆ และผมขอท้าว่าใครที่เห็นจุดไหนที่ CG ลอยหรือหลอกตา ลองแค๊ปมาบอกผมในคอมเมนต์หน่อยครับ สังเกตทั้งเรื่องละ หายากจริงๆ ส่วน Score ที่ประพันธ์โดย Hans Zimmer และ Benjamin Walfish ซึ่งสองคนนี้ผมก็ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำให้เรื่องนี้ไม่มีจุดจะด่าสักเท่าไหร่...
สรุป
หากใครที่อยากดูหนังแอคชั่นไซ-ไฟตูมตาม ให้ข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับ แต่ถ้าอยากเสพงานภาพที่ตระการตา ดนตรีที่ฟังแล้วขนลุก เชิญเรื่องนี้เลยครับ
คะแนน : 9.5/10
*ใครที่มีหนังแนวนี้อีกที่อยากจะแนะนำ ก็คอมเมนท์ได้ด้านล่างเลยนะครับผม😊
*แก้ไขคำผิด