ก่อนอื่นต้องบอกเลย ไม่มีรูปใด ๆ สำหรับคนที่กังวลว่าจะเจอภาพสยองต่ออาหารเย็น สบายใจได้ครับ
ผมเริ่มเจ็บเล็บนิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง ประมาณ 1-2 เดือน ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร อยู่ ๆ มันก็เจ็บขึ้นมา ไม่ได้โดนของหนักทับเลยนะครับ อาการนี้เขาเรียกว่าเล็บขบ ผมจึงไปค้นกูเกิลปรากฎว่า เล็บขบถ้าปล่อยไว้นานมาก มันจะบวมน่าเกลียดมาก ถึงตอนนี้ผมจะไม่บวมอะไร ดูภายนอกเหมือนิ้วเท้าปกติทุกอย่าง เดินก็ปกติ จะเจ็บก็ตอนนอนคว่ำนี่แหละ ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรมาก ก็นอนหงายซะก็หมดเรื่อง แต่ผมก็ไม่อยากจะเป็นหนัก ๆ จึงตัดสินใจไปหาหมอ
จึงไปโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ขอไม่บอกชื่อนะครับ ในวันศุกร์ ให้แม่ไปเป็นเพื่อน จองคิวไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน คิวบอกว่า 10 โมง 40 ผมก็ไปตรงต่อเวลานัด แต่ว่ากว่าจะได้ตรวจจริง ๆ ก็ปาไป 11 โมง 45 เรียกได้ว่ารอจนเมื่อย
เมื่อตรวจ หมอก็แนะนำว่าต้องถอดเล็บ มันเป็นหนทางเดียวในการแก้ ไม่มีหนทางอื่นเลย ผมนี่กุมขมับเลย นึกถึงหนังลองของ 2 ที่มีฉากคนโดนถอดเล็บทั้งหมดตัว จนต้องฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากจะทำเลยจริง ๆ แต่ว่าในเมื่อหมอบอกว่ามันเป็นทางเดียว ก็ต้องเชื่อหมอละครับ ผมก็ยินยอมทำ
และที่ช็อคกว่า คือหมอบอกจะผ่าตัดต้องจองห้องผ่าตัดเล็ก ซึ่งผมจะได้คิววันพุธ โอ้!!! นี่ผมต้องรออีก 5 วันหรือนี่ พยายามถามหมอแล้วว่าวันนี้ได้ไหม คือไม่อยากเสียเวลามาโรงบาลหลายครั้ง แต่หมอบอกว่า ไม่ได้ เพราะคลินิคศัลยกรรม มันแบ่งเป็นสายงาน และสายงานของหมอก็อยู่วันพุธ สรุปไม่ว่ายังก็ต้องรอ
ตรวจเสร็จก็ประมาณตอนเที่ยง นึกว่าจะได้กลับบ้านแล้ว พยาบาลบอกว่าต้องรอคิวติวเข้มเรื่องการเตรียมตัวผ่าตัดอีก โอโหนี่ต้องรออีกแล้ว พยาบาลก็เอาใบมาให้เซ็นต์ ซึ่งเป็นการเซ็นต์สัญญายินยอมให้ผ่าตัด และมีต้องพยานรับรองด้วย ผมโชคดีจริง ๆ ที่พาแม่มาด้วย ถ้าแม่ไม่มา ผมจะได้ผ่าตัดหรือเปล่านะ ไม่เห็นบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เลย
จากนั้นก็ไปรับบัตรคิวเพื่อการเตรียมตัวผ่าตัด รออีกแล้วครับท่าน เมื่อถึงคิวพยาบาลก็แนะนำว่า เมื่อไปถึงวันผ่าตัดให้ไปห้องผ่าตัดเลย ไม่ต้องมาคลินิกสัลยกรรม กินข้าวได้ตามปกติ ก็ไม่มีอะไร ก็ถามข้อสงสัยไป สุดท้ายก็เสร็จภายในบ่ายโมงพอดี
สรุปวันแรกที่ไปรักษาใช้เวลาไป สองชั่วโมงกว่า ๆ
ข้ามมาในวันพุธ วันที่ผมจะถูกถอดเล็บแล้ว ไปถึงห้องผ่าตัดเล็กตามนัดตอน 9 โมง 20 เอาบัตรนัดไปยื่น จากนั้นวัดความดัน แล้วก็รอเรียก เมื่อเรียกแล้ว จะให้เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัด และใช้รองเท้าแตะของทางโรงพยาบาล ของผมผ่าที่เล็บเท้าทำให้โชคดีหน่อย พยาบาลบอกให้สวมชุดทับไปได้เลย ส่วนของคนอื่นต้องถอดเสื้อ และ กางเกงเอาไปฝากญาติ เพราะเขาผ่าตัดหลังหรือต้นขา จากนั้นพยาบาลก็จะให้เราบอกชื่อตัวเอง ขั้นตอนนี้คงจะทำให้มั่นใจว่าถูกคนหรือไม่ เมื่อบอกไปเขาจะแจกป้ายชื่อให้เหน็บที่อก และให้หมวกอาบน้ำของผู้หญิงบาง ๆ มาให้สวม
รอเรียกคิวไม่นานมากนัก ก็ถึงคิวของผม ความรู้สึกแบบตอนโดดหอตอนเรียน รด. คือมันไม่อยากแต่ก็ต้องทำ เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัดเล็ก ก็พบพยาบาลเกือบ 10 คน มีเตียงผ่าตัดสองเตียง เมื่อเห็นผม พยาบาลก็เรียกให้ผมไปนอนในเตียง ผมโดนจับขึ้นเขียงแล้ว
หมอก็เข้าที่เท้าผม ถามว่าจะผ่าทั้งสองนิ้วเลยเหรอ มันจะทำให้เดินลำบากมากนะ ทีละนิ้วดีไหม ผมก็บอกว่าไหว แต่คิดในใจ ถ้าจะให้มารอคิวโหดๆ แบบวันศุกร์สองชั่วโมง ผมยอมเดินไม่ไหวดีกว่า จึงให้หมอจัดหนักไปเลย
หมอก็มาที่เล็บซ้ายของผม เอาผ้าที่มีรู ใช้รูนั้นมาเสียบที่นิ้วโป้ง เพื่อให้นิ้วโป้งนั้นเด่นที่สุด จากนั้นก็เริ่มฉีดยาชา หมอเตือนผมว่าจะฉีด จากนั้นก็ฉีดเข้าไป ตอนที่ฉีดยาชาเจ็บมาก เนื่องจากนิ้วเท้ามันมีเนื้อน้อย ผมเกร็งทั้งตัวตัวสั่นไปหมด เมื่อฉีดนึกว่าจบแล้ว ปรากฎว่าต้องฉีดเพิ่มอีก 2 เข็มอีก
แล้วรอซักพัก หมอก็เอาอะไรไม่รู้มาจิ้มนิ้วเท้า เพื่อทดสอบความชา ผมมองไม่เห็น เนื่องจากในขณะทำการผ่าตัด เขาให้คนไข้นอนมองเพดานเท่านั้น ผมไม่สามารถเห็นเท้าตัวเองเลย เมื่อจิ้มไปก็ปรากฎว่าเจ็บ ผมก็ร้องออกมา
หมอก็เปลี่ยนไปจิ้มที่อื่น ปรากฎว่าเริ่มไม่เจ็บแล้ว ผมก็ไม่ร้อง หมอจึงถามว่าเจ็บไหม ผมก็ตอบไกปไม่เจ็บ
แล้วเปลี่ยนไปจิ้มอีกที่ผมดันร้องออกมา หมอบอกว่าตรงที่ผมร้อง ตรงนั้นโดนยาชา แสดงว่ายังให้ไม่มากพอ หมอจึงฉีดยาชาให้ผมอีกเข็มนึง สรุปโดนไป 4 เข็ม
ในขณะที่รอข้างซ้ายชา หมอไม่เสียเวลาฉีดยาชาข้างขวาทันที เมื่อฉีดไปสามเข็มก็ทดสอบความเจ็บแบบเดิม ปรากฎว่า ผมไม่รู้สึกเลย ทำให้ข้างซ้ายผมโดนฉีดแค่นี้โชคดีไป
รอไม่ถึง 1 นาที หมอก็บอกว่าจะเอาเล็บออกแล้วนะ เริ่มที่ข้างซ้าย ปรากฎว่าตอนเอาออกรู้สึกเจ็บมาก ผมร้องออกมาเลย ตัวสั่นไปหมด มีอทั้งสองข้างจับเตียงผ่าตัดแน่นมาก เหมือนยาชา มันจะไม่ได้ผลมากพอ ขนาดฉีดไป 4 เข็มมากว่าข้างขวานะเนี่ย ใช้เวลาซักพักใหญ่เล็บก็ออกมา หมอก็บอกว่าเล็บมันลึกมากเอาออกลำบาก พอมาที่ข้างขวา รู้สึกว่ายาชาจะทำงานดีมาก ผมไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ เลย เอาออกได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ทำไมมันต่างกันขนาดนี้เนี่ย ผมว่าเป็นที่ร่างกายผมแน่นอน เท้าขวาของผมจะรับยาชาได้ดีกว่า หรือไม่ก็ข้างซ้ายเล็บมันฝังมากกว่า ถ้าผมถอดเล็บข้างซ้ายอย่างเดียว คงกลายเป็นกระทู้ด่าหมอไปแล้วมั้งเนี่ย 555
เมื่อเอาเล็บออก จะขอดูเล็บซะหน่อย ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมเจ็บเท้ามาตลอด มันหน้าตาเป็นยังไง แต่หมอไม่ให้ดูเอาเล็บไปทิ้งซะแล้ว
จากนั้นหมอก็ออกไป ให้พยาบาลรับช่วงต่อ พยาบาลสองคนก็เข้ามาล้างแผล แล้วนำมาผ้าสีขาว ๆ มาพันรอบนิ้วเท้าของผม เสมือนกับผ้านั้นคือเล็บชั่วคราวของผม
หลังจากถอดเล็บเสร็จนึกว่าจะสบาย กลับบ้านได้ชิว ๆ ไม่ต้องกลับมาโรงพยาบาลแล้ว แบบผ่าฟันคุด แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมต้องมาโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อให้พยาบาลเปลี่ยนผ้าพันแผล ไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ เมื่อพันเสร็จก็ถึงเวลา 10 โมงนิด ๆ
ดังนั้น หลายวันมานี้ ผมต้องไปโรงพยาบาลทุกวันเลยครับ มันจะมีคลินิคทำแผล ที่ให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ในการเปลี่ยนผ้าพันแผล
การใช้ชีวิตประจำวันก็ลำบากมาก เดินเหมือนคนขาเป๋ เพราะต้องไม่ให้น้ำหนักลงนิ้วเท้า ไม่ต้องใช้ไม้เท้านะครับ ยังพอทรงตัวได้
วันแรก ๆ ต้องยกเท้าสูงตลอด ตอนนอน ก็ต้องเอาหมอนมาดันเท้า ไม่อย่างนั้นเลือดจะไหลไม่หยุด แต่ผ่านมาหลายวันไม่ต้องทำก็ได้
ตอนอาบน้ำ ก็ต้องเอาเท้าอยู่นอกห้องน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำโดน ถ้าน้ำโดนแผลจะหายช้า
ตอนนี้ยังไม่หายดีทีครับ พยาบาลบอกว่าต้องมาล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ถึงจะไม่ต้องมาอีกล้างเองที่บ้านได้ ตอนนี้พึ่งมาได้ 2 วันเอง ยังอีกหลายวัน ค่าบริการล้างแผลผมใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค จึงประหยัดได้มากจากปกติ 140 บาท
ก็จบไปแล้วนะครับ ขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้ ตอนแรกกะจะเขียนนิดเดียวนะเนี่ย แต่ติดลมบนซะงั้น ก็ขอให้คนที่เจอปัญหาแบบผม นำเอาไปใช้ และวางแผนการลางานให้ดีนะครับ ไม่ใช่ไปถึงผ่าตัดเลยนะ ดังนั้น ถ้าไปครั้งแรกควรไปวันเสาร์อาทิตย์ครับ เพราะถึงไปวันธรรมดา ก็ไม่ได้ผ่าตัดอยู่ดี
แชร์ประสบการณ์ถอดเล็บในโรงพยาบาลรัฐ (ไม่มีรูป)
ผมเริ่มเจ็บเล็บนิ้วโป้งเท้าทั้งสองข้าง ประมาณ 1-2 เดือน ไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไร อยู่ ๆ มันก็เจ็บขึ้นมา ไม่ได้โดนของหนักทับเลยนะครับ อาการนี้เขาเรียกว่าเล็บขบ ผมจึงไปค้นกูเกิลปรากฎว่า เล็บขบถ้าปล่อยไว้นานมาก มันจะบวมน่าเกลียดมาก ถึงตอนนี้ผมจะไม่บวมอะไร ดูภายนอกเหมือนิ้วเท้าปกติทุกอย่าง เดินก็ปกติ จะเจ็บก็ตอนนอนคว่ำนี่แหละ ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรมาก ก็นอนหงายซะก็หมดเรื่อง แต่ผมก็ไม่อยากจะเป็นหนัก ๆ จึงตัดสินใจไปหาหมอ
จึงไปโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ขอไม่บอกชื่อนะครับ ในวันศุกร์ ให้แม่ไปเป็นเพื่อน จองคิวไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน คิวบอกว่า 10 โมง 40 ผมก็ไปตรงต่อเวลานัด แต่ว่ากว่าจะได้ตรวจจริง ๆ ก็ปาไป 11 โมง 45 เรียกได้ว่ารอจนเมื่อย
เมื่อตรวจ หมอก็แนะนำว่าต้องถอดเล็บ มันเป็นหนทางเดียวในการแก้ ไม่มีหนทางอื่นเลย ผมนี่กุมขมับเลย นึกถึงหนังลองของ 2 ที่มีฉากคนโดนถอดเล็บทั้งหมดตัว จนต้องฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากจะทำเลยจริง ๆ แต่ว่าในเมื่อหมอบอกว่ามันเป็นทางเดียว ก็ต้องเชื่อหมอละครับ ผมก็ยินยอมทำ
และที่ช็อคกว่า คือหมอบอกจะผ่าตัดต้องจองห้องผ่าตัดเล็ก ซึ่งผมจะได้คิววันพุธ โอ้!!! นี่ผมต้องรออีก 5 วันหรือนี่ พยายามถามหมอแล้วว่าวันนี้ได้ไหม คือไม่อยากเสียเวลามาโรงบาลหลายครั้ง แต่หมอบอกว่า ไม่ได้ เพราะคลินิคศัลยกรรม มันแบ่งเป็นสายงาน และสายงานของหมอก็อยู่วันพุธ สรุปไม่ว่ายังก็ต้องรอ
ตรวจเสร็จก็ประมาณตอนเที่ยง นึกว่าจะได้กลับบ้านแล้ว พยาบาลบอกว่าต้องรอคิวติวเข้มเรื่องการเตรียมตัวผ่าตัดอีก โอโหนี่ต้องรออีกแล้ว พยาบาลก็เอาใบมาให้เซ็นต์ ซึ่งเป็นการเซ็นต์สัญญายินยอมให้ผ่าตัด และมีต้องพยานรับรองด้วย ผมโชคดีจริง ๆ ที่พาแม่มาด้วย ถ้าแม่ไม่มา ผมจะได้ผ่าตัดหรือเปล่านะ ไม่เห็นบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เลย
จากนั้นก็ไปรับบัตรคิวเพื่อการเตรียมตัวผ่าตัด รออีกแล้วครับท่าน เมื่อถึงคิวพยาบาลก็แนะนำว่า เมื่อไปถึงวันผ่าตัดให้ไปห้องผ่าตัดเลย ไม่ต้องมาคลินิกสัลยกรรม กินข้าวได้ตามปกติ ก็ไม่มีอะไร ก็ถามข้อสงสัยไป สุดท้ายก็เสร็จภายในบ่ายโมงพอดี
สรุปวันแรกที่ไปรักษาใช้เวลาไป สองชั่วโมงกว่า ๆ
ข้ามมาในวันพุธ วันที่ผมจะถูกถอดเล็บแล้ว ไปถึงห้องผ่าตัดเล็กตามนัดตอน 9 โมง 20 เอาบัตรนัดไปยื่น จากนั้นวัดความดัน แล้วก็รอเรียก เมื่อเรียกแล้ว จะให้เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัด และใช้รองเท้าแตะของทางโรงพยาบาล ของผมผ่าที่เล็บเท้าทำให้โชคดีหน่อย พยาบาลบอกให้สวมชุดทับไปได้เลย ส่วนของคนอื่นต้องถอดเสื้อ และ กางเกงเอาไปฝากญาติ เพราะเขาผ่าตัดหลังหรือต้นขา จากนั้นพยาบาลก็จะให้เราบอกชื่อตัวเอง ขั้นตอนนี้คงจะทำให้มั่นใจว่าถูกคนหรือไม่ เมื่อบอกไปเขาจะแจกป้ายชื่อให้เหน็บที่อก และให้หมวกอาบน้ำของผู้หญิงบาง ๆ มาให้สวม
รอเรียกคิวไม่นานมากนัก ก็ถึงคิวของผม ความรู้สึกแบบตอนโดดหอตอนเรียน รด. คือมันไม่อยากแต่ก็ต้องทำ เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัดเล็ก ก็พบพยาบาลเกือบ 10 คน มีเตียงผ่าตัดสองเตียง เมื่อเห็นผม พยาบาลก็เรียกให้ผมไปนอนในเตียง ผมโดนจับขึ้นเขียงแล้ว
หมอก็เข้าที่เท้าผม ถามว่าจะผ่าทั้งสองนิ้วเลยเหรอ มันจะทำให้เดินลำบากมากนะ ทีละนิ้วดีไหม ผมก็บอกว่าไหว แต่คิดในใจ ถ้าจะให้มารอคิวโหดๆ แบบวันศุกร์สองชั่วโมง ผมยอมเดินไม่ไหวดีกว่า จึงให้หมอจัดหนักไปเลย
หมอก็มาที่เล็บซ้ายของผม เอาผ้าที่มีรู ใช้รูนั้นมาเสียบที่นิ้วโป้ง เพื่อให้นิ้วโป้งนั้นเด่นที่สุด จากนั้นก็เริ่มฉีดยาชา หมอเตือนผมว่าจะฉีด จากนั้นก็ฉีดเข้าไป ตอนที่ฉีดยาชาเจ็บมาก เนื่องจากนิ้วเท้ามันมีเนื้อน้อย ผมเกร็งทั้งตัวตัวสั่นไปหมด เมื่อฉีดนึกว่าจบแล้ว ปรากฎว่าต้องฉีดเพิ่มอีก 2 เข็มอีก
แล้วรอซักพัก หมอก็เอาอะไรไม่รู้มาจิ้มนิ้วเท้า เพื่อทดสอบความชา ผมมองไม่เห็น เนื่องจากในขณะทำการผ่าตัด เขาให้คนไข้นอนมองเพดานเท่านั้น ผมไม่สามารถเห็นเท้าตัวเองเลย เมื่อจิ้มไปก็ปรากฎว่าเจ็บ ผมก็ร้องออกมา
หมอก็เปลี่ยนไปจิ้มที่อื่น ปรากฎว่าเริ่มไม่เจ็บแล้ว ผมก็ไม่ร้อง หมอจึงถามว่าเจ็บไหม ผมก็ตอบไกปไม่เจ็บ
แล้วเปลี่ยนไปจิ้มอีกที่ผมดันร้องออกมา หมอบอกว่าตรงที่ผมร้อง ตรงนั้นโดนยาชา แสดงว่ายังให้ไม่มากพอ หมอจึงฉีดยาชาให้ผมอีกเข็มนึง สรุปโดนไป 4 เข็ม
ในขณะที่รอข้างซ้ายชา หมอไม่เสียเวลาฉีดยาชาข้างขวาทันที เมื่อฉีดไปสามเข็มก็ทดสอบความเจ็บแบบเดิม ปรากฎว่า ผมไม่รู้สึกเลย ทำให้ข้างซ้ายผมโดนฉีดแค่นี้โชคดีไป
รอไม่ถึง 1 นาที หมอก็บอกว่าจะเอาเล็บออกแล้วนะ เริ่มที่ข้างซ้าย ปรากฎว่าตอนเอาออกรู้สึกเจ็บมาก ผมร้องออกมาเลย ตัวสั่นไปหมด มีอทั้งสองข้างจับเตียงผ่าตัดแน่นมาก เหมือนยาชา มันจะไม่ได้ผลมากพอ ขนาดฉีดไป 4 เข็มมากว่าข้างขวานะเนี่ย ใช้เวลาซักพักใหญ่เล็บก็ออกมา หมอก็บอกว่าเล็บมันลึกมากเอาออกลำบาก พอมาที่ข้างขวา รู้สึกว่ายาชาจะทำงานดีมาก ผมไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ เลย เอาออกได้ง่ายเหมือนปอกกล้วย ทำไมมันต่างกันขนาดนี้เนี่ย ผมว่าเป็นที่ร่างกายผมแน่นอน เท้าขวาของผมจะรับยาชาได้ดีกว่า หรือไม่ก็ข้างซ้ายเล็บมันฝังมากกว่า ถ้าผมถอดเล็บข้างซ้ายอย่างเดียว คงกลายเป็นกระทู้ด่าหมอไปแล้วมั้งเนี่ย 555
เมื่อเอาเล็บออก จะขอดูเล็บซะหน่อย ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมเจ็บเท้ามาตลอด มันหน้าตาเป็นยังไง แต่หมอไม่ให้ดูเอาเล็บไปทิ้งซะแล้ว
จากนั้นหมอก็ออกไป ให้พยาบาลรับช่วงต่อ พยาบาลสองคนก็เข้ามาล้างแผล แล้วนำมาผ้าสีขาว ๆ มาพันรอบนิ้วเท้าของผม เสมือนกับผ้านั้นคือเล็บชั่วคราวของผม
หลังจากถอดเล็บเสร็จนึกว่าจะสบาย กลับบ้านได้ชิว ๆ ไม่ต้องกลับมาโรงพยาบาลแล้ว แบบผ่าฟันคุด แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมต้องมาโรงพยาบาลทุกวัน เพื่อให้พยาบาลเปลี่ยนผ้าพันแผล ไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ เมื่อพันเสร็จก็ถึงเวลา 10 โมงนิด ๆ
ดังนั้น หลายวันมานี้ ผมต้องไปโรงพยาบาลทุกวันเลยครับ มันจะมีคลินิคทำแผล ที่ให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ในการเปลี่ยนผ้าพันแผล
การใช้ชีวิตประจำวันก็ลำบากมาก เดินเหมือนคนขาเป๋ เพราะต้องไม่ให้น้ำหนักลงนิ้วเท้า ไม่ต้องใช้ไม้เท้านะครับ ยังพอทรงตัวได้
วันแรก ๆ ต้องยกเท้าสูงตลอด ตอนนอน ก็ต้องเอาหมอนมาดันเท้า ไม่อย่างนั้นเลือดจะไหลไม่หยุด แต่ผ่านมาหลายวันไม่ต้องทำก็ได้
ตอนอาบน้ำ ก็ต้องเอาเท้าอยู่นอกห้องน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำโดน ถ้าน้ำโดนแผลจะหายช้า
ตอนนี้ยังไม่หายดีทีครับ พยาบาลบอกว่าต้องมาล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ถึงจะไม่ต้องมาอีกล้างเองที่บ้านได้ ตอนนี้พึ่งมาได้ 2 วันเอง ยังอีกหลายวัน ค่าบริการล้างแผลผมใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค จึงประหยัดได้มากจากปกติ 140 บาท
ก็จบไปแล้วนะครับ ขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้ ตอนแรกกะจะเขียนนิดเดียวนะเนี่ย แต่ติดลมบนซะงั้น ก็ขอให้คนที่เจอปัญหาแบบผม นำเอาไปใช้ และวางแผนการลางานให้ดีนะครับ ไม่ใช่ไปถึงผ่าตัดเลยนะ ดังนั้น ถ้าไปครั้งแรกควรไปวันเสาร์อาทิตย์ครับ เพราะถึงไปวันธรรมดา ก็ไม่ได้ผ่าตัดอยู่ดี