สวัสดีครับ
วันนี้จะมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์บอกเล่าเรื่องราวการ
เสริมจมูก ของเราเองนะครับ
ก่อนหน้านี้ย้อนไปช่วงสมัยตอนเรียนมหาลัย เราอยู่ประมาณปี 2 ก็ได้รู้จักกับน้องปี 1 ซึ่งเราเกิดปีเดียวกัน แต่ว่ารุ่นน้องซิ่วมา 1 ปี อายุห่างกันแค่เดือน เราเกิดสิงหา รุ่นน้องเกิดธันวา ขอเรียกคนนั้นว่า ด. แล้วกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักหมอกระเป๋า (เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ขอพูดถึงเริ่มแรกก่อนเลยแล้วกัน)
คือที่ผ่านมาเนี่ย เรารู้สึกว่าจมูกเราเป็นปมมากกกกกกกกกกกกกกก จริงๆจะไม่คิดมากเลยถ้าไม่มีคนชอบล้อว่า แหมบ , แหยม(ยโสธร) , บี้(จมูกบี้)
นี่เป็นรูปสมัยก่อนครับ ตอนยังไม่ได้ฉีดไม่ได้ทำอะไรเลย
เอาจริงไม่มั่นใจเลย ไม่มั่นใจมาก อยากมีจมูกแบบโด่งๆ เท่ๆ ส่วนตัวคิดว่าคนจมูกโด่งเป็นอะไรที่น่ามองอ่ะ มันดูมีมิติ สะดุดตา (หรือเป็นความชอบส่วนตัวก็ไม่รู้นะ)
มีความคิดอยู่ในหัวตลอดว่าอยากทำจมูก แต่ด้วยความที่ยังเรียนหนังสือ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ ยังได้เงินไปเรียนวันละ 200 เลยยังไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะทำ ตอนนั้นก็ความรู้ยังไม่เยอะ ไม่มีใครให้ปรึกษา เลยเลือกราคาถูกไว้ก่อน ก็เสิทหาเลย
คลินิกทำจมูก ราคาถูก ไปเจอคลินิกนึงราคา 5,000 บาท ไม่ไกลจากบ้านด้วย ก็โทรไปสอบถาม เขาว่าให้เข้าไปได้เลย แต่มาเช้าหน่อย ก็เลยเข้าไปปรึกษา (คลินิกอารมณ์เป็นห้องแถวเก่าๆ น่ากลัวๆอยู่นะ)
ส่วนตัวชอบจมูกของพี่โทนี่ รากแก่นมาก
เราปริ้นท์รูป กำ 2 รูปนี้เดินไปหาหมอเลย อยากได้แบบนี้มาก ตอนนั้นไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้น รู้อย่างเดียวคือ เสริมจมูกเลือกทรงที่ชอบ หมอทำให้ได้ ออกมาทรงนี้ ยังไงก็หล่อแน่นอน
ตอนปรึกษา เจอหมอผู้หญิง ค่อนข้างพูดตรงและห้วนๆ ใช้ไม้จิ้มฟันวัดจมูกและขีดๆบนหน้า ไม่ดูรูปที่เราปริ้นท์ไปเลย จากนั้นก็ให้ดูกระจก หมอบอกว่า เนื้อน้อยนะ และก็ฐานเบี้ยว ทำออกไปแล้วทำใจไว้เลยนะ น่าจะเบี้ยว เราก็ออกมาเช็ดหน้าอะไรเสร็จ พนักงานก็บอกว่าถ้าจะทำให้นัดคิวเลย จ่ายค่ามัดจำครึ่งนึง เพราะตอนนี้คิวหมอมีเดือนหน้าเลย เพราะหมอจะทำเป็นเดือนๆ เช่น ตาเดือนนี้ทั้งเดือน จมูกก็เดือนหน้าทั้งเดือน เราเลยบอกว่า เดี๋ยวขอตัดสินใจอีกทีแล้วจะโทรมานัดคิว (ที่ตัดสินใจเพราะเงินเก็บยังไม่มีสักบาทเลย
แต่อยากจะเข้าไปปรึกษาก่อน แล้วค่อยเก็บเงิน 555)
จมูกแบบออริจินอล
วันเวลาก็ผ่านไป แต่ความตั้งใจที่อยากเสริมจมูกยังไม่หมด ก็ได้รู้จักรุ่นน้องที่กล่าวไปตอนต้น ด.มันก็พูดเรื่องพาแฟนไปฉีดฟิลเลอร์จมูก เราก็งงว่าฟิลเลอร์คืออะไร ด.ก็บอกว่ามันคือสารชนิดหนึ่งที่ใช้ในการฉีดจมูก ซึ่งมันจะโด่งได้อยู่หลายปี แล้วก็จะสลายไปได้เอง ทำแค่ 1 นาที จมูกก็โด่งเลย ไม่เจ็บ ไม่แพง และก็ไม่เป็นอันตรายด้วย เราเลยสนใจ ก็ถามว่าฉีดที่ไหน คลินิกไหน กับหมออะไร ซึ่งด.ตอบว่า จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นหมอเลย หมอคนนี้เปิดคลินิกเอง แถวราม แฟนด.ก็ฉีดมาหลายรอบ ถ้าไปฉีดพร้อมแฟนด.จ่ายราคาแฟนด.เลย แค่พันเดียว (เราโอเคมากๆกับราคา และก็เชื่อใจด้วยเพราะเป็นคนรู้จัก)
ก่อนฉีดจมูก และ ก่อนเสริมจมูกซิลิโคน
ถึงวันไปทำ เราเลิกเรียนประมาณ 1 ทุ่ม ไปกัน 4 คน มีเรา , ด. , ม.(แฟนด.) และก็ป.(เพื่อนด.) ซึ่งตอนนั้นแท็กซี่ไปถึงช่วงพระราม 9 ด.ก็รับโทรศัพท์ และพูดกับปลายสายว่ากำลังไป ไปชัวร์ๆ อยู่บนรถแล้ว และพอถึงที่หมาย เราก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นอพาร์ตเม้นท์ คือตรงนั้นมันเป็นเวิ้งอพาร์ตเม้นท์เก่าๆหมดเลย (ให้อารมณ์แบบในหนังเรื่องบุพผาราตรีมากๆ)
เราถามด.ว่า ไหนคลินิก ด.บอกว่าคลินิกปิดแล้ว เรามาช้า เลยต้องมาคอนโดของหมอ ทำที่ไหนก็เหมือนกันแหละ อุปกรณ์หมอครบ เราทำกับหมอไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เราก็งงๆแต่ก็ตามด.ไป (ย้อนกลับไปคิดตอนนั้นโง่มาก เราเป็นคนไม่ค่อยทันคน ตอนนั้นในใจก็ยังเชื่อแบบที่ด.บอก คือทำกับหมอไม่ต้องกลัวอะไร
) ขึ้นลิฟท์เก่าๆไป เสียงลิฟท์ดึงขึ้นเหมือนเสียงสนิมครูด ณ ตอนนั้นยังไม่กลัวหมอเท่ากลัวลิฟท์เลย เราคิดในใจนะว่าเป็นถึงหมอ ทำไมมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ทำไมไม่ซื้อบ้านหรือคอนโดดีๆอยู่
ภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง
ห้องหมออยู่ชั้นบนสุด และห้องสุดท้าย ลักษณะอพาร์ตเม้นท์ เหมือแฟลต เอ๊ะ! หรือว่าเป็นแฟลต เพราะทางเดินหน้าห้องเป็นแบบแฟลตเลย คือมีระเบียงยาวๆ แบบในภาพ (ในภาพไม่ใช่สถานที่จริงนะครับ แค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเฉยๆ)
พอเปิดเข้าไปในห้องเจอสตรีข้ามเพศ (สาวประเภทสอง) กำลังตั้งวงกินส้มตำกันอยู่ประมาณ 4-5 คน พร้อมกับมีคนนึงพูดขึ้นมาว่า “อ้าว! มาแล้วหรอ มาช้าจัง เก็บของไปหมดแล้วเนี่ย” ด.ก็บอก “ขอโทษๆพี่ รถมันติด เนี่ย ม.กับคนนี้ (ชี้มาหาเรา) จะฉีด”
สตรีข้ามเพศคนนั้นก็ลุกไปเปิดกล่องลังโฟมดู และพูดว่า “ยาชาหมด ต้องฉีดสดนะ” เราก็ตกใจ สีหน้าคงออก คือตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อยากฉีดแล้ว เพราะหลักๆคือกลัวเจ็บ(ก็มันไม่มียาชา) แต่ อารมณ์มันแบบกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
พี่สตรีข้ามเพศเลยบอกว่า “สรุปเอาไง จะฉีดไม่ฉีด นี่นั่งรอก็เสียเวลามากแล้วนะ” น้ำเสียงพี่เขาไม่ดีด้วย เรามองหน้าด. ด.บอก “ฉีดเหอะ ไม่มีไรหรอก พี่เขารอเรานานแล้ว” เราก็เลยตามเลย ก็ตัดสินใจฉีด ที่ทำให้กล้าฉีดเพราะคิดว่าเขาเป็นหมอตามด.บอกและเห็นแฟนด.ฉีดมาก่อนด้วยแหละ แล้วเห็นว่าไม่เป็นอะไร เราเลยกล้า (คือกล้าๆกลัวๆ ไม่ได้กลัวอะไร กลัวโดนพี่สตรีข้ามเพศด่านี่แหละ
)
เราก็ขึ้นเตียง เตียงนอนธรรมดา เตียง 5 ฟุตนี่แหละ แล้วก็เขาให้เอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆห่อผ้าขนหนูมาประคบจมูก น้ำแข็งแบบที่ใช้ทำน้ำแข็งใสอ่ะ แบบในรูป (แต่ไม่ใหญ่ขนาดในรูปนะ เล็กกว่าหน่อย)
ตัวอย่างน้ำแข็ง
จากนั้นพี่สตรีข้ามเพศก็ถามว่า “ชารึยัง” แต่ทำน้ำเสียงไม่ค่อยดี เราก็กลัว เลยบอกชาแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกชาไม่ชา รู้แค่ว่ามันเย็น
จากนั้นเขาก็เอาน้ำแข็งออก แล้วก็บอกว่าเราต้องฉีด 2 cc นะ ถ้าอยากได้จมูกทรงผู้ชาย และก็ถามว่านอนมาแล้วกี่ชม. ถ้าต่ำกว่า 5 ชม. เขาไม่ฉีดให้ เราก็บอกว่านอน 8 ชม. พี่เขาก็เริ่มทำการฉีด
เข็มแรกจิ้มไปที่สันจมูก ไม่ค่อยเจ็บ รู้สึกว่าเข็มจิ้ม แต่ทนได้ อารมณ์แบบเราฉีดยาทั่วไป แต่อีกที่นึงเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาแตก เขาฉีดตรงปลายจมูก โอ้โห...เจ็บสุดๆ ยังจำความเจ็บได้อยู่เลย ฉีดประมาณแปปนึง พี่เขาก็ปั้นๆทรงให้ แล้วก็ให้เราลุกไปส่องกระจกดู พอเราส่องคือแบบเฮ้ยยย! มีดั้งแล้วอ่ะ และก็พอใจนะ ตอนนั้นก็ไม่ได้กลัวอะไรแล้ว พี่เขาก็บอกเราว่าให้งดบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ เราก็โอเค ก็เสียเงินไป 2,000 บาท
ต่อมาแฟนด.ทำต่อ แต่แฟนด.อ่ะนอนไม่ถึง 5 ชม. แต่โกหกว่านอนถึง ตอนฉีด มีเลือดออกจากจมูกด้วย (แบบเลือดกำเดา) เราก็ตกใจ ป.ก็ตกใจ แล้วคงเสียงดัง พี่สตรีข้ามเพศเลยหันมาว่าเรากับป. ว่า “นี่ก็อย่าเสียงดังสิ จะตื่นเต้นอะไรนักหนา เดี๋ยวเพื่อนก็ตกใจหรอก” ตอนนั้นไม่ตื่นเต้นไม่ไหวอ่ะ มันน่ากลัว
หลังจากนั้นก็กลับบ้าน ประมาณ 2 อาทิตย์หลังเราทำ ก็เริ่มมีข่าวเรื่องหมอกระเป๋าหลายที่โดนจับ
มีหลายรายการนำเสนอคนฉีดหน้ากับหมอกระเป๋าแล้วพังเยอะ เราก็เริ่มรู้แล้วว่าหมอกระเป๋าคืออะไร ลักษณะแบบไหน ทีนี้เราก็รู้ทันทีว่าที่เราไปอ่ะ คือหมอกระเป๋าแน่นอน เรากลัว แต่ก็พยายามไม่คิดมาก คิดว่าเราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น แต่ก็เผื่อใจไว้แล้ว ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
แต่พยายามไม่ให้ตัวเองเครียด และเราก็ไม่เจอด.และแฟนด.อีก เพราะเหมือนทั้งคู่ไม่มาเรียนอีกเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร น้องป.เองก็ติดต่อด.ไม่ได้ (แต่หลังๆมีคนบอกว่า 2 คนนี้หนีหนี้เพื่อนที่มหาลัย โกงค่ากิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ)
อันนี้เป็นหลังฉีดจมูกกับหมอกระเป๋า ก็ดูมีสันขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้โด่งอะไรมากมาย
ตอนนั้นวิตกมาก ไม่ได้สบายใจเลยเพราะกลัวไหล กลัวย้อย กลัวพัง กลัวไปหมด
------------- เดี๋ยวค่อยมาต่อพรุ่งนี้นะครับ ยาวหน่อย แฮะแฮะ
------------------
[CR] แชร์ประสบการณ์ ถูกรุ่นน้องหลอกไป ฉีดจมูก กับหมอกระเป๋า ก่อนแก้แบบ เสริมจมูกซิลิโคน
สวัสดีครับ วันนี้จะมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์บอกเล่าเรื่องราวการ เสริมจมูก ของเราเองนะครับ
ก่อนหน้านี้ย้อนไปช่วงสมัยตอนเรียนมหาลัย เราอยู่ประมาณปี 2 ก็ได้รู้จักกับน้องปี 1 ซึ่งเราเกิดปีเดียวกัน แต่ว่ารุ่นน้องซิ่วมา 1 ปี อายุห่างกันแค่เดือน เราเกิดสิงหา รุ่นน้องเกิดธันวา ขอเรียกคนนั้นว่า ด. แล้วกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักหมอกระเป๋า (เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ขอพูดถึงเริ่มแรกก่อนเลยแล้วกัน)
คือที่ผ่านมาเนี่ย เรารู้สึกว่าจมูกเราเป็นปมมากกกกกกกกกกกกกกก จริงๆจะไม่คิดมากเลยถ้าไม่มีคนชอบล้อว่า แหมบ , แหยม(ยโสธร) , บี้(จมูกบี้)
นี่เป็นรูปสมัยก่อนครับ ตอนยังไม่ได้ฉีดไม่ได้ทำอะไรเลย
เอาจริงไม่มั่นใจเลย ไม่มั่นใจมาก อยากมีจมูกแบบโด่งๆ เท่ๆ ส่วนตัวคิดว่าคนจมูกโด่งเป็นอะไรที่น่ามองอ่ะ มันดูมีมิติ สะดุดตา (หรือเป็นความชอบส่วนตัวก็ไม่รู้นะ)
มีความคิดอยู่ในหัวตลอดว่าอยากทำจมูก แต่ด้วยความที่ยังเรียนหนังสือ ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ ยังได้เงินไปเรียนวันละ 200 เลยยังไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะทำ ตอนนั้นก็ความรู้ยังไม่เยอะ ไม่มีใครให้ปรึกษา เลยเลือกราคาถูกไว้ก่อน ก็เสิทหาเลย คลินิกทำจมูก ราคาถูก ไปเจอคลินิกนึงราคา 5,000 บาท ไม่ไกลจากบ้านด้วย ก็โทรไปสอบถาม เขาว่าให้เข้าไปได้เลย แต่มาเช้าหน่อย ก็เลยเข้าไปปรึกษา (คลินิกอารมณ์เป็นห้องแถวเก่าๆ น่ากลัวๆอยู่นะ)
ส่วนตัวชอบจมูกของพี่โทนี่ รากแก่นมาก เราปริ้นท์รูป กำ 2 รูปนี้เดินไปหาหมอเลย อยากได้แบบนี้มาก ตอนนั้นไม่มีความรู้อะไรทั้งสิ้น รู้อย่างเดียวคือ เสริมจมูกเลือกทรงที่ชอบ หมอทำให้ได้ ออกมาทรงนี้ ยังไงก็หล่อแน่นอน
ตอนปรึกษา เจอหมอผู้หญิง ค่อนข้างพูดตรงและห้วนๆ ใช้ไม้จิ้มฟันวัดจมูกและขีดๆบนหน้า ไม่ดูรูปที่เราปริ้นท์ไปเลย จากนั้นก็ให้ดูกระจก หมอบอกว่า เนื้อน้อยนะ และก็ฐานเบี้ยว ทำออกไปแล้วทำใจไว้เลยนะ น่าจะเบี้ยว เราก็ออกมาเช็ดหน้าอะไรเสร็จ พนักงานก็บอกว่าถ้าจะทำให้นัดคิวเลย จ่ายค่ามัดจำครึ่งนึง เพราะตอนนี้คิวหมอมีเดือนหน้าเลย เพราะหมอจะทำเป็นเดือนๆ เช่น ตาเดือนนี้ทั้งเดือน จมูกก็เดือนหน้าทั้งเดือน เราเลยบอกว่า เดี๋ยวขอตัดสินใจอีกทีแล้วจะโทรมานัดคิว (ที่ตัดสินใจเพราะเงินเก็บยังไม่มีสักบาทเลย แต่อยากจะเข้าไปปรึกษาก่อน แล้วค่อยเก็บเงิน 555)
จมูกแบบออริจินอล
วันเวลาก็ผ่านไป แต่ความตั้งใจที่อยากเสริมจมูกยังไม่หมด ก็ได้รู้จักรุ่นน้องที่กล่าวไปตอนต้น ด.มันก็พูดเรื่องพาแฟนไปฉีดฟิลเลอร์จมูก เราก็งงว่าฟิลเลอร์คืออะไร ด.ก็บอกว่ามันคือสารชนิดหนึ่งที่ใช้ในการฉีดจมูก ซึ่งมันจะโด่งได้อยู่หลายปี แล้วก็จะสลายไปได้เอง ทำแค่ 1 นาที จมูกก็โด่งเลย ไม่เจ็บ ไม่แพง และก็ไม่เป็นอันตรายด้วย เราเลยสนใจ ก็ถามว่าฉีดที่ไหน คลินิกไหน กับหมออะไร ซึ่งด.ตอบว่า จำชื่อไม่ได้ แต่เป็นหมอเลย หมอคนนี้เปิดคลินิกเอง แถวราม แฟนด.ก็ฉีดมาหลายรอบ ถ้าไปฉีดพร้อมแฟนด.จ่ายราคาแฟนด.เลย แค่พันเดียว (เราโอเคมากๆกับราคา และก็เชื่อใจด้วยเพราะเป็นคนรู้จัก)
ก่อนฉีดจมูก และ ก่อนเสริมจมูกซิลิโคน
ถึงวันไปทำ เราเลิกเรียนประมาณ 1 ทุ่ม ไปกัน 4 คน มีเรา , ด. , ม.(แฟนด.) และก็ป.(เพื่อนด.) ซึ่งตอนนั้นแท็กซี่ไปถึงช่วงพระราม 9 ด.ก็รับโทรศัพท์ และพูดกับปลายสายว่ากำลังไป ไปชัวร์ๆ อยู่บนรถแล้ว และพอถึงที่หมาย เราก็แปลกใจว่าทำไมมันเป็นอพาร์ตเม้นท์ คือตรงนั้นมันเป็นเวิ้งอพาร์ตเม้นท์เก่าๆหมดเลย (ให้อารมณ์แบบในหนังเรื่องบุพผาราตรีมากๆ) เราถามด.ว่า ไหนคลินิก ด.บอกว่าคลินิกปิดแล้ว เรามาช้า เลยต้องมาคอนโดของหมอ ทำที่ไหนก็เหมือนกันแหละ อุปกรณ์หมอครบ เราทำกับหมอไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เราก็งงๆแต่ก็ตามด.ไป (ย้อนกลับไปคิดตอนนั้นโง่มาก เราเป็นคนไม่ค่อยทันคน ตอนนั้นในใจก็ยังเชื่อแบบที่ด.บอก คือทำกับหมอไม่ต้องกลัวอะไร ) ขึ้นลิฟท์เก่าๆไป เสียงลิฟท์ดึงขึ้นเหมือนเสียงสนิมครูด ณ ตอนนั้นยังไม่กลัวหมอเท่ากลัวลิฟท์เลย เราคิดในใจนะว่าเป็นถึงหมอ ทำไมมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ทำไมไม่ซื้อบ้านหรือคอนโดดีๆอยู่
ภาพนี้ไม่ใช่สถานที่จริง
ห้องหมออยู่ชั้นบนสุด และห้องสุดท้าย ลักษณะอพาร์ตเม้นท์ เหมือแฟลต เอ๊ะ! หรือว่าเป็นแฟลต เพราะทางเดินหน้าห้องเป็นแบบแฟลตเลย คือมีระเบียงยาวๆ แบบในภาพ (ในภาพไม่ใช่สถานที่จริงนะครับ แค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเฉยๆ)
พอเปิดเข้าไปในห้องเจอสตรีข้ามเพศ (สาวประเภทสอง) กำลังตั้งวงกินส้มตำกันอยู่ประมาณ 4-5 คน พร้อมกับมีคนนึงพูดขึ้นมาว่า “อ้าว! มาแล้วหรอ มาช้าจัง เก็บของไปหมดแล้วเนี่ย” ด.ก็บอก “ขอโทษๆพี่ รถมันติด เนี่ย ม.กับคนนี้ (ชี้มาหาเรา) จะฉีด”
สตรีข้ามเพศคนนั้นก็ลุกไปเปิดกล่องลังโฟมดู และพูดว่า “ยาชาหมด ต้องฉีดสดนะ” เราก็ตกใจ สีหน้าคงออก คือตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อยากฉีดแล้ว เพราะหลักๆคือกลัวเจ็บ(ก็มันไม่มียาชา) แต่ อารมณ์มันแบบกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง พี่สตรีข้ามเพศเลยบอกว่า “สรุปเอาไง จะฉีดไม่ฉีด นี่นั่งรอก็เสียเวลามากแล้วนะ” น้ำเสียงพี่เขาไม่ดีด้วย เรามองหน้าด. ด.บอก “ฉีดเหอะ ไม่มีไรหรอก พี่เขารอเรานานแล้ว” เราก็เลยตามเลย ก็ตัดสินใจฉีด ที่ทำให้กล้าฉีดเพราะคิดว่าเขาเป็นหมอตามด.บอกและเห็นแฟนด.ฉีดมาก่อนด้วยแหละ แล้วเห็นว่าไม่เป็นอะไร เราเลยกล้า (คือกล้าๆกลัวๆ ไม่ได้กลัวอะไร กลัวโดนพี่สตรีข้ามเพศด่านี่แหละ )
เราก็ขึ้นเตียง เตียงนอนธรรมดา เตียง 5 ฟุตนี่แหละ แล้วก็เขาให้เอาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆห่อผ้าขนหนูมาประคบจมูก น้ำแข็งแบบที่ใช้ทำน้ำแข็งใสอ่ะ แบบในรูป (แต่ไม่ใหญ่ขนาดในรูปนะ เล็กกว่าหน่อย)
ตัวอย่างน้ำแข็ง
จากนั้นพี่สตรีข้ามเพศก็ถามว่า “ชารึยัง” แต่ทำน้ำเสียงไม่ค่อยดี เราก็กลัว เลยบอกชาแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกชาไม่ชา รู้แค่ว่ามันเย็น จากนั้นเขาก็เอาน้ำแข็งออก แล้วก็บอกว่าเราต้องฉีด 2 cc นะ ถ้าอยากได้จมูกทรงผู้ชาย และก็ถามว่านอนมาแล้วกี่ชม. ถ้าต่ำกว่า 5 ชม. เขาไม่ฉีดให้ เราก็บอกว่านอน 8 ชม. พี่เขาก็เริ่มทำการฉีด
เข็มแรกจิ้มไปที่สันจมูก ไม่ค่อยเจ็บ รู้สึกว่าเข็มจิ้ม แต่ทนได้ อารมณ์แบบเราฉีดยาทั่วไป แต่อีกที่นึงเจ็บมาก เจ็บจนน้ำตาแตก เขาฉีดตรงปลายจมูก โอ้โห...เจ็บสุดๆ ยังจำความเจ็บได้อยู่เลย ฉีดประมาณแปปนึง พี่เขาก็ปั้นๆทรงให้ แล้วก็ให้เราลุกไปส่องกระจกดู พอเราส่องคือแบบเฮ้ยยย! มีดั้งแล้วอ่ะ และก็พอใจนะ ตอนนั้นก็ไม่ได้กลัวอะไรแล้ว พี่เขาก็บอกเราว่าให้งดบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ เราก็โอเค ก็เสียเงินไป 2,000 บาท
ต่อมาแฟนด.ทำต่อ แต่แฟนด.อ่ะนอนไม่ถึง 5 ชม. แต่โกหกว่านอนถึง ตอนฉีด มีเลือดออกจากจมูกด้วย (แบบเลือดกำเดา) เราก็ตกใจ ป.ก็ตกใจ แล้วคงเสียงดัง พี่สตรีข้ามเพศเลยหันมาว่าเรากับป. ว่า “นี่ก็อย่าเสียงดังสิ จะตื่นเต้นอะไรนักหนา เดี๋ยวเพื่อนก็ตกใจหรอก” ตอนนั้นไม่ตื่นเต้นไม่ไหวอ่ะ มันน่ากลัว
หลังจากนั้นก็กลับบ้าน ประมาณ 2 อาทิตย์หลังเราทำ ก็เริ่มมีข่าวเรื่องหมอกระเป๋าหลายที่โดนจับ มีหลายรายการนำเสนอคนฉีดหน้ากับหมอกระเป๋าแล้วพังเยอะ เราก็เริ่มรู้แล้วว่าหมอกระเป๋าคืออะไร ลักษณะแบบไหน ทีนี้เราก็รู้ทันทีว่าที่เราไปอ่ะ คือหมอกระเป๋าแน่นอน เรากลัว แต่ก็พยายามไม่คิดมาก คิดว่าเราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น แต่ก็เผื่อใจไว้แล้ว ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่พยายามไม่ให้ตัวเองเครียด และเราก็ไม่เจอด.และแฟนด.อีก เพราะเหมือนทั้งคู่ไม่มาเรียนอีกเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร น้องป.เองก็ติดต่อด.ไม่ได้ (แต่หลังๆมีคนบอกว่า 2 คนนี้หนีหนี้เพื่อนที่มหาลัย โกงค่ากิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ)
อันนี้เป็นหลังฉีดจมูกกับหมอกระเป๋า ก็ดูมีสันขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้โด่งอะไรมากมาย
ตอนนั้นวิตกมาก ไม่ได้สบายใจเลยเพราะกลัวไหล กลัวย้อย กลัวพัง กลัวไปหมด