"โลกคือละครทุกตอนต้องแสดง ทุกคนทนไป อย่าอาลัย ยิ้มกันสู้ไปจะได้สบาย"
เป็นบทเพลงที่ได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายจนเจริญวัยเข้ามาสู่วัยทำงานนี่แหละค่ะ เลยรู้ว่าต่อจากการเรียนจบนี่ "ของจริง"
เคยเป็นกันไหม? ตอนเด็กๆอยากโต อยากมีอิสระ อยากหาเลี้ยงตัวเอง คิดว่าการเรียนนี่ช่างน่าเบื่อนัก ไหนจะทำงานกลุ่ม ท่องหนังสือสอบ ท่องนะคะ ใช้คำว่าท่อง เพราะเคยอ่านแล้วไปสอบ ตกค่ะ ต้องท่องต้องจำ มันเลยเกิดคำถามว่า เมื่อไหร่จะจบวะ? มันเบื่อไปหมด คิดว่าโลกภายนอก ชีวิตการทำงานนี่มันต้องสนุก ต้องสุดๆแน่ๆเลย แต่พอจบมาเท่านั้นแหละ................................................................................
จากใจ จขกท นะคะ
เรามาติงกระทู้นี้เพราะอยากจะเขียนบล๊อคชีวิตของเรา อาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้น้องๆที่จบใหม่ และ ก็อยากจะให้เป็นกระทู้คำถาม คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์หรือความคิดที่เคยประสบมาก่อนค่ะ เรื่องรวมๆที่เราเขียนก็เป็นเรื่อง การงาน สุขภาพ ความรัก รวมๆก็เรื่องที่ผู้หญิงชอบถามหมอดูตอนไปดูดวงนี่แหละค่ะ 55555 ใครที่มีเรื่องเครียดมากพอแล้ว ถ้าอ่านแล้วเครียดกว่าเดิมก็ขออภัยด้วยนะคะ......
การเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้เขียนไม่ได้จะสอนหรือแนะนำใคร แต่เผื่อเรื่องบางเรื่องจะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นไปประกอบการตัดสินใจในชีวิตแล้วไม่พลาดเหมือนเรานะคะ
เข้าสู่เรื่องราวกัน (ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะคะ)
นับจากเรียนจบคณะนิเทศฯ มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เราก็รีบเริ่มหางานทำ ก็ได้งานเป็น Receptionist ชื่อตำแหน่งดูสวยหรูใช่ไหมคะ ที่จริงแล้วก็พนักงานรับโทรศัพท์นั่นแหละค่ะ แล้วคิดสภาพกันนะคะว่า เรียนนิเทศฯมา งานที่ไม่อยู่กับที่ ได้ทำอะไรสนุกๆตลอดเวลา กลับต้องมานั่งรับโทรศัพท์วันละแปดชั่วโมง ก็นั่นแหละค่ะ ฮัลโหล โลกแห่งความจริง มันสนุกอย่างที่เธอคิดมั้ยหล่ะ โอยยย ช่วงนั้นนี่ความสุขไม่มีค่ะ หาไม่ได้เลยคือตื่นมาแบบ เออ ตื่นมาทำไมวะ พอถึงที่ทำงานก็แบบ เออมาทำอะไรวะ 5555 ใครเคยเป็นบ้าง อารมณ์แบบเซ็งชีวิตสุดขีดค่ะ ตอนนั้นโชคดีหน่อยมีคนมาจีบ ชีวิตก็จะลันล๊า ชุ่มชื่นหัวใจไป ส่วนงานทำได้ไม่นานเราก็ออกค่ะ ขอทำตามฝัน ตามหาตัวเอง พูดถึงการตามหาตัวเองต้องบอกเลยนะคะว่า ถ้าอายุน้อยๆรีบหาเถอะค่ะ เพราะพอคุณอายุมากขึ้นแล้ว มันยากค่ะ มันเหนื่อย มันท้อ ไหนจะอายุที่เพิ่มขึ้น ความชราที่เข้ามาเยือน ปัญหาสุขภาพต่างๆนานา ร้อยแปดพันเก้าค่ะ พออกจากงานมา เราก็เดินหน้าประกวดพิธีกร เราเป็นคนพูดเก่ง ชอบพูด เรียกว่าพูดมากก็ได้ค่ะ เรากล้าแสดงออก แต่เราไม่ได้สวยหรือเก่งอะไรมากมายเราเลยไปได้ประมาณนึงค่ะ ถือว่าไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีหรือมีชื่อเสียงอะไรมากนักค่ะ จนเราชนะการประกวดเวทีหนึ่ง ทำให้เราได้เงินมาหนึ่งก้อน แล้วพอมีงานประปรายมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นที่บ้านเราก็ไม่โอเคค่ะ เพราะว่างานด้านสายนิเทศฯ มันไม่มั่นคง ไม่มีประกันสุขภาพ บลา บลา บลา ใครที่มุ่งทางนี้ก็น่าจะพอเดาออกนะคะว่ามันพูดยาก กับการที่ครอบครัวเราไม่ได้สนับสนุนอะไรมากนัก และทางบ้านก็มีฐานะปานกลาง แต่ผ่านไปปีกว่าๆโอกาสก็มาถึงค่ะ เราได้เป็นพิธีกรรายการหนึ่งซึ่งเป็นข่องใหม่ที่ไทยกับเกาหลีร่วมหุ้นกันค่ะ อ่านมาถึงนี่ถ้าใครรู้จักเรา เหยียบไว้นะคะ 5555 พูดไปงั้นแหละไม่ดังขนาดนั้นค่ะ ทำงานได้สักพักนึง โอยยยย ของจริง ค่ะ
ก็ว่าเราอ่ะไม่ดังไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่เราเป็นพวกแมนๆ เราไม่ได้เรียนมัธยมเหมือนคนอื่น เราเรียนสายอาชีพมา เรียนศิลป์ ก็เลยจะมีแต่เพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบใส่หน้ากาก สมัยจบใหม่ๆก็งี้แหละค่ะ ไฟแรง จริงจัง จริงใจ อยากทำแต่งาน ใครขวาง ใครมัวแต่เม้าท์ นี่สีหน้ารำคาญออกเลยค่ะ เลยทำให้พิธีกรในช่องส่วนใหญ่ไม่ชอบเรา เราเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ เรียกว่าอ่อนแอเลยก็ว่าได้ ถ้าใครเคยอ่านกระทู้ก่อนหน้าของเรา เราเป็นโรคไต โรคภูมิแพ้ โรคตาบอดกลางคืน ไมเกรน คนส่วนใหญ่พอฟังแล้วก็จะถามเราว่า "โตมาได้ยังไง" ก็เกือบไม่โตนะคะ เกือบตายไปหลายครั้ง อย่างที่บอกบ้านเราไม่ได้รวยค่ะ เป็นโรคเยอะใช้เงินรักษาเยอะ บางทีเห็นพ่อแม่เครียด ก็จะรู้ค่ะ บางทีพ่อเครียดเรื่องเงิน ก็จะมีปัญหากับคนในบ้าน ขึ้นเสียงกัน บางทีเรามีเรื่องอะไรมา กลับบ้านมาเจอแบบนี้ โอย อ่อนแอค่ะ ไม่อยากอยู่ กินยาเป็นกำๆ แต่มันไม่ตายไง มันมาส่งผลกระทบต่อร่างกายอีก เรากินยาเราไม่เคยบอกใครนะตอนกิน บอกตอนที่มันส่งผลกับร่างกายไปแล้ว นี่ค่ะ เรามาเตือนทุกคนที่มีปัญหาว่าอย่าทำนะคะ มันส่งผลต่อคุณและคนที่คุณรักค่ะ แต่เอาจริงๆคนไม่ค่อยรู้ เพราะเราเป็นคนยิ้มง่ายค่ะ ทราบกันไหมว่าการยิ้มแต่ข้างในเสียใจนี่ เป็นอะไรทรมานกว่าร้องไห้ออกมานะคะ แต่เราชิน เพราะเราทำงานหน้ากล้อง 5 4 3 2 1 ยิ้มค่ะ ฝืนยิ้มไป กลับมาที่ทำงานค่ะที่แรกเรารู้สึกว่าโดนแกล้งตลอด ด้วยหน้าตาธรรมดากับแก้มอวบๆที่ได้มาจากการทานยาสเตรอยด์มานาน ทำให้เราได้ทำงานที่คนอื่นอยากทำ มันก็เกิดเป็นปมเบาๆค่ะ ซึ่งบางงาน เราได้แสดงความสามารถ ผ่านหน้าพิธีกรระดับ senior บางคน ทำให้เราเป็นเป้าหมายค่ะ ช่วงนั้นไปทำงานนี่ร้องไห้ที่ประชุมตลอด เพราะว่าโดนหาว่าพูดไม่ดี ทำงานไม่ดี แต่พอเราถามว่าทำไม ยังไง ตรงไหน ตอบไม่ได้ค่ะ คือ? บางทีเราก็คิดว่าอืมเราคงไม่ไดีดีจริงๆ เราเลยลาออกค่ะ จากการทำงานครบหนึ่งปี รายได้เดือนละ 25,000 บาท ตอนนั้นอารมณ์ล้วนๆค่ะ เพราะคิดว่างานหาง่าย ประกอบกับเราเป็นพวกไว้ใจคนง่ายมาก ใครพูดดีคือดี ช่วงนั้นมีแต่คนพูดดีค่ะ แต่ลับหลังด่าเราบาน ตอนนั้นคิดเลยค่ะว่าโหว นี่มันยิ่งกว่า ซีรีย์ Gossip girl สะอีกนะเนี่ย อะไรจะหักหลังกันได้ขนาดนี้ ออกสิคะรอะไร ย้ายกลับมาบ้าน โหววว อยากจะตายวันละล้านรอบค่ะ โดนบ่นเละ ก็แน่นอนสิ ประสบการณ์น้อย แต่ได้เดือนละ 25,000 บาท หาที่ไหน ช่วงนั้นอยู่เงียบๆไปค่ะ โชคดียังมีแฟนอยู่เข้าก็คอยดูแลเรานะคะ แต่ชีวิตเราก็เหวี่ยงไปมา ขึ้นลง หางานทำงาน ไม่ถึงปี ก็ออก เพราะเจอคนเดิมๆค่ะ มีทุกที่ทำงาน ใครเปลี่ยนงานแล้วคิดว่าจะไม่เจอ อย่าฝันกลางวันนะคะ มีทุกที่ค่ะคนแบบนี้ จะมีพวกนินทา ประจบ วันๆไม่ทำอะไร แต่ประจบดีก็คือทำงานดีค่ะ ชีวิตก็วนลูปอยู่แบบนี้ จน อายุ 25 กว่าๆ เราได้งานอีกที่หนึ่งเป็นพิธีกรเหมือนกัน รายได้เดือนละ 45,000 บาท ช่วงนั้นสนุกกับงาน ให้เงินพ่อแ่ม่ได้บ้าง เช่าห้องเอง เพื่อนที่ทำงานก็ดีค่ะ เพราะเรามีหน้ากากแล้ว หลังจากทำงานมาหลายที่ ก็นะคะ ต้องมีไว้กันสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกาย 555 ก็เริ่มเที่ยวบ้าง ตาบอดกลางคืนไม่ใช่อุปสรรคค่ะ ให้เพื่อนพาไป บางวันเลิกงานดึกๆ แต่คอนโดเราอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพื่อนก็จะไปส่งค่ะ เพราะว่ามันเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ช่วงนั้นเรารู้สึกดีมาก งานดี เพื่อนดี ทำงานไปครบหนึ่งปี อ่อ ตอนนั้นเราเลิกกับแฟนไปแล้วนะคะ ก็มีคนคุยๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก สนุกกับงาน กับเพื่อนค่ะ เลยไม่ได้แคร์อะไรมากมาย แล้ววันนึงเรื่องมันก็เกิดค่ะ ในใจคิดเลยนะคะว่าอุส่าห์อยู่ได้เงียบๆดีๆแล้วแท้ๆ ต้องบอกอีกเรื่องว่าการที่ตัดสินใจมาเขียนเรื่องนี้ใช่เวลาทำใจกว่าห้าปีค่ะ เพราะพูดตรงๆว่าอยากให้คนที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงเค้าได้สำนึกบ้างว่า บาปที่คุณทำลงไป มันทำคนคนนึงเกือบตายค่ะ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครจริงๆค่ะ
กลับเข้าเรื่องนะคะ คือวันหนึ่ง มีพี่พิธีกรที่ทำงานด้วยกัน เป็นผู้ชายอายุประมาณสามสิบต้นๆค่ะ เค้าแต่งงานมากประมาณสองปีถ้าเราจำไม่ผิดค่ะ แต่เราไม่ได้ใสใจอะไรมากนัก พูดจริงๆค่ะไม่ได้ใส่ใจเลย เพราะไม่ใช่สไตล์ที่เราชอบ แต่พี่เค้าเป็นคนนิสัยดีค่ะ เรานับถือเค้าเพราะเค้าสอนงานเยอะ ใจดีให้คำปรึกษาเราค่ะ วันนึงเค้ามาคุยกับเราว่าอยากเปิดโรงเรียนสอนพิธีกรเด็กค่ะ เราก็สนใจ เพราะเสาร์ อาทิตย์ บางอาทิตย์เราก็ทำงานพิเศษคือสอนพิธีกรเด็กค่ะ เราทำงานเยอะ เราสนุกกับการหาเงินและใช้เงินมาก ซึ่งบอกเลยนะคะว่าถ้าคุณมีโอกาสเก็บเงิน จงเก็บให้มากกว่าใช้ค่ะ ชีวิตคุณจะได้ไม่พังเหมือนเรา กลับมาต่อค่ะ เรากับพี่เค้าเลยคุยกับบ่อยขึ้น เพราะไม่อยากให้บริษัทรู้ว่าจะทำอีกงาน พี่เค้าเลยจะนัดเราไปคุยเรื่องงานกันหลังเลิกงานประจำค่ะ เราก็อ่ะไปๆ ถึงขั้นไปดูที่ดูทางไว้เลยค่ะ แต่ปัญหาคือวันนึงพี่เค้าบอกเราว่า เค้าชอบเรา แล้วเค้าหย่ากับภรรยา เมื่อสองวันที่ผ่านมา(เรื่องวันอาจจะคลาดเคลื่อนเพราะเราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้มากขออภัยค่ะ) ขอโอกาสให้เค้าจีบเราได้ไหม? เท่านั้นเรา ในใจเราตอนนั้นคือ "
ละ" ขออภัยที่ใช้คำหยาบแต่คิดแบบนี้จริงๆนะคะ
เนื่องจากว่า พี่เค้าเป็นที่ทำงานด้วย และ เป็นรุ่นพี่ที่ดีกับเรามากๆ เราไม่ได้คิดอะไรกับเค้า ถึงแม้เค้าจะหย่าแล้วก็ตามค่ะ เราเลยเกรงใจไม่รู้จะทำยังไง พูดตรงๆค่ะไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เพราะถ้าปฏิเสธไป แต่ต้องทำงานร่วมกันอยู่ นึกออกกันไหมคะว่า มันคงกระอักกระอ่วนมาก เราเลยแบบ ลองคุยกันก็ได้ แต่เราก็โฟกัสกันตรงที่จะเปิดโรงเรียนกันมากกว่า เราคุยกับพี่เค้าไปสักพักที่จะเปิดโรงเรียนกันเป็นความลับ แต่เรื่องที่พี่เค้าหย่ามันไม่เป็นความลับค่ะ แล้วเรากำลังบอกว่า มีพิธีกรในช่องคนนึง เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของภรรยาพี่เค้าค่ะ เรื่องมันเลยยาวววว เลยค่ะที่นี้ เราในหัวคือคิออยากจะเปิดธุรกิจกัน แต่พี่เค้าก็เดินหน้าเต็มที่ค่ะเหมือนเค้ารู้ว่าโสดแล้วทำอะไรก็ได้ เค้าก็เริ่มรุกหนักขึ้น เปลี่ยนตัวเองเป็นแบบที่เราชอบ ทั้งการแต่งตัว การพูดจา ซื้อดอกไม้ให้เรา ซื้อของให้เรา ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไง คือเราคงไม่ดีเองที่ไม่พูดออกไป แต่ใครไม่อยู่ตรงที่เราอยู่คงไม่รู้ว่ามันกระอักกระอ่วนแค่ไหน แล้ววันนึงเรื่องก็เกิดค่ะ เรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำงานและคนรอบข้างเราเปลี่ยนไป!
ขอแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ
"ชีวิตจริง" มันยิ่งกว่า "ละคร" จริงหรือเปล่า?
เป็นบทเพลงที่ได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจความหมายจนเจริญวัยเข้ามาสู่วัยทำงานนี่แหละค่ะ เลยรู้ว่าต่อจากการเรียนจบนี่ "ของจริง"
เคยเป็นกันไหม? ตอนเด็กๆอยากโต อยากมีอิสระ อยากหาเลี้ยงตัวเอง คิดว่าการเรียนนี่ช่างน่าเบื่อนัก ไหนจะทำงานกลุ่ม ท่องหนังสือสอบ ท่องนะคะ ใช้คำว่าท่อง เพราะเคยอ่านแล้วไปสอบ ตกค่ะ ต้องท่องต้องจำ มันเลยเกิดคำถามว่า เมื่อไหร่จะจบวะ? มันเบื่อไปหมด คิดว่าโลกภายนอก ชีวิตการทำงานนี่มันต้องสนุก ต้องสุดๆแน่ๆเลย แต่พอจบมาเท่านั้นแหละ................................................................................
จากใจ จขกท นะคะ
เรามาติงกระทู้นี้เพราะอยากจะเขียนบล๊อคชีวิตของเรา อาจจะเป็นอุทาหรณ์ให้น้องๆที่จบใหม่ และ ก็อยากจะให้เป็นกระทู้คำถาม คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์หรือความคิดที่เคยประสบมาก่อนค่ะ เรื่องรวมๆที่เราเขียนก็เป็นเรื่อง การงาน สุขภาพ ความรัก รวมๆก็เรื่องที่ผู้หญิงชอบถามหมอดูตอนไปดูดวงนี่แหละค่ะ 55555 ใครที่มีเรื่องเครียดมากพอแล้ว ถ้าอ่านแล้วเครียดกว่าเดิมก็ขออภัยด้วยนะคะ......
การเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผู้เขียนไม่ได้จะสอนหรือแนะนำใคร แต่เผื่อเรื่องบางเรื่องจะเป็นแนวทางให้ผู้อื่นไปประกอบการตัดสินใจในชีวิตแล้วไม่พลาดเหมือนเรานะคะ
เข้าสู่เรื่องราวกัน (ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอบคุณนะคะ)
นับจากเรียนจบคณะนิเทศฯ มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เราก็รีบเริ่มหางานทำ ก็ได้งานเป็น Receptionist ชื่อตำแหน่งดูสวยหรูใช่ไหมคะ ที่จริงแล้วก็พนักงานรับโทรศัพท์นั่นแหละค่ะ แล้วคิดสภาพกันนะคะว่า เรียนนิเทศฯมา งานที่ไม่อยู่กับที่ ได้ทำอะไรสนุกๆตลอดเวลา กลับต้องมานั่งรับโทรศัพท์วันละแปดชั่วโมง ก็นั่นแหละค่ะ ฮัลโหล โลกแห่งความจริง มันสนุกอย่างที่เธอคิดมั้ยหล่ะ โอยยย ช่วงนั้นนี่ความสุขไม่มีค่ะ หาไม่ได้เลยคือตื่นมาแบบ เออ ตื่นมาทำไมวะ พอถึงที่ทำงานก็แบบ เออมาทำอะไรวะ 5555 ใครเคยเป็นบ้าง อารมณ์แบบเซ็งชีวิตสุดขีดค่ะ ตอนนั้นโชคดีหน่อยมีคนมาจีบ ชีวิตก็จะลันล๊า ชุ่มชื่นหัวใจไป ส่วนงานทำได้ไม่นานเราก็ออกค่ะ ขอทำตามฝัน ตามหาตัวเอง พูดถึงการตามหาตัวเองต้องบอกเลยนะคะว่า ถ้าอายุน้อยๆรีบหาเถอะค่ะ เพราะพอคุณอายุมากขึ้นแล้ว มันยากค่ะ มันเหนื่อย มันท้อ ไหนจะอายุที่เพิ่มขึ้น ความชราที่เข้ามาเยือน ปัญหาสุขภาพต่างๆนานา ร้อยแปดพันเก้าค่ะ พออกจากงานมา เราก็เดินหน้าประกวดพิธีกร เราเป็นคนพูดเก่ง ชอบพูด เรียกว่าพูดมากก็ได้ค่ะ เรากล้าแสดงออก แต่เราไม่ได้สวยหรือเก่งอะไรมากมายเราเลยไปได้ประมาณนึงค่ะ ถือว่าไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีหรือมีชื่อเสียงอะไรมากนักค่ะ จนเราชนะการประกวดเวทีหนึ่ง ทำให้เราได้เงินมาหนึ่งก้อน แล้วพอมีงานประปรายมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นที่บ้านเราก็ไม่โอเคค่ะ เพราะว่างานด้านสายนิเทศฯ มันไม่มั่นคง ไม่มีประกันสุขภาพ บลา บลา บลา ใครที่มุ่งทางนี้ก็น่าจะพอเดาออกนะคะว่ามันพูดยาก กับการที่ครอบครัวเราไม่ได้สนับสนุนอะไรมากนัก และทางบ้านก็มีฐานะปานกลาง แต่ผ่านไปปีกว่าๆโอกาสก็มาถึงค่ะ เราได้เป็นพิธีกรรายการหนึ่งซึ่งเป็นข่องใหม่ที่ไทยกับเกาหลีร่วมหุ้นกันค่ะ อ่านมาถึงนี่ถ้าใครรู้จักเรา เหยียบไว้นะคะ 5555 พูดไปงั้นแหละไม่ดังขนาดนั้นค่ะ ทำงานได้สักพักนึง โอยยยย ของจริง ค่ะ
ก็ว่าเราอ่ะไม่ดังไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่เราเป็นพวกแมนๆ เราไม่ได้เรียนมัธยมเหมือนคนอื่น เราเรียนสายอาชีพมา เรียนศิลป์ ก็เลยจะมีแต่เพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบใส่หน้ากาก สมัยจบใหม่ๆก็งี้แหละค่ะ ไฟแรง จริงจัง จริงใจ อยากทำแต่งาน ใครขวาง ใครมัวแต่เม้าท์ นี่สีหน้ารำคาญออกเลยค่ะ เลยทำให้พิธีกรในช่องส่วนใหญ่ไม่ชอบเรา เราเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ เรียกว่าอ่อนแอเลยก็ว่าได้ ถ้าใครเคยอ่านกระทู้ก่อนหน้าของเรา เราเป็นโรคไต โรคภูมิแพ้ โรคตาบอดกลางคืน ไมเกรน คนส่วนใหญ่พอฟังแล้วก็จะถามเราว่า "โตมาได้ยังไง" ก็เกือบไม่โตนะคะ เกือบตายไปหลายครั้ง อย่างที่บอกบ้านเราไม่ได้รวยค่ะ เป็นโรคเยอะใช้เงินรักษาเยอะ บางทีเห็นพ่อแม่เครียด ก็จะรู้ค่ะ บางทีพ่อเครียดเรื่องเงิน ก็จะมีปัญหากับคนในบ้าน ขึ้นเสียงกัน บางทีเรามีเรื่องอะไรมา กลับบ้านมาเจอแบบนี้ โอย อ่อนแอค่ะ ไม่อยากอยู่ กินยาเป็นกำๆ แต่มันไม่ตายไง มันมาส่งผลกระทบต่อร่างกายอีก เรากินยาเราไม่เคยบอกใครนะตอนกิน บอกตอนที่มันส่งผลกับร่างกายไปแล้ว นี่ค่ะ เรามาเตือนทุกคนที่มีปัญหาว่าอย่าทำนะคะ มันส่งผลต่อคุณและคนที่คุณรักค่ะ แต่เอาจริงๆคนไม่ค่อยรู้ เพราะเราเป็นคนยิ้มง่ายค่ะ ทราบกันไหมว่าการยิ้มแต่ข้างในเสียใจนี่ เป็นอะไรทรมานกว่าร้องไห้ออกมานะคะ แต่เราชิน เพราะเราทำงานหน้ากล้อง 5 4 3 2 1 ยิ้มค่ะ ฝืนยิ้มไป กลับมาที่ทำงานค่ะที่แรกเรารู้สึกว่าโดนแกล้งตลอด ด้วยหน้าตาธรรมดากับแก้มอวบๆที่ได้มาจากการทานยาสเตรอยด์มานาน ทำให้เราได้ทำงานที่คนอื่นอยากทำ มันก็เกิดเป็นปมเบาๆค่ะ ซึ่งบางงาน เราได้แสดงความสามารถ ผ่านหน้าพิธีกรระดับ senior บางคน ทำให้เราเป็นเป้าหมายค่ะ ช่วงนั้นไปทำงานนี่ร้องไห้ที่ประชุมตลอด เพราะว่าโดนหาว่าพูดไม่ดี ทำงานไม่ดี แต่พอเราถามว่าทำไม ยังไง ตรงไหน ตอบไม่ได้ค่ะ คือ? บางทีเราก็คิดว่าอืมเราคงไม่ไดีดีจริงๆ เราเลยลาออกค่ะ จากการทำงานครบหนึ่งปี รายได้เดือนละ 25,000 บาท ตอนนั้นอารมณ์ล้วนๆค่ะ เพราะคิดว่างานหาง่าย ประกอบกับเราเป็นพวกไว้ใจคนง่ายมาก ใครพูดดีคือดี ช่วงนั้นมีแต่คนพูดดีค่ะ แต่ลับหลังด่าเราบาน ตอนนั้นคิดเลยค่ะว่าโหว นี่มันยิ่งกว่า ซีรีย์ Gossip girl สะอีกนะเนี่ย อะไรจะหักหลังกันได้ขนาดนี้ ออกสิคะรอะไร ย้ายกลับมาบ้าน โหววว อยากจะตายวันละล้านรอบค่ะ โดนบ่นเละ ก็แน่นอนสิ ประสบการณ์น้อย แต่ได้เดือนละ 25,000 บาท หาที่ไหน ช่วงนั้นอยู่เงียบๆไปค่ะ โชคดียังมีแฟนอยู่เข้าก็คอยดูแลเรานะคะ แต่ชีวิตเราก็เหวี่ยงไปมา ขึ้นลง หางานทำงาน ไม่ถึงปี ก็ออก เพราะเจอคนเดิมๆค่ะ มีทุกที่ทำงาน ใครเปลี่ยนงานแล้วคิดว่าจะไม่เจอ อย่าฝันกลางวันนะคะ มีทุกที่ค่ะคนแบบนี้ จะมีพวกนินทา ประจบ วันๆไม่ทำอะไร แต่ประจบดีก็คือทำงานดีค่ะ ชีวิตก็วนลูปอยู่แบบนี้ จน อายุ 25 กว่าๆ เราได้งานอีกที่หนึ่งเป็นพิธีกรเหมือนกัน รายได้เดือนละ 45,000 บาท ช่วงนั้นสนุกกับงาน ให้เงินพ่อแ่ม่ได้บ้าง เช่าห้องเอง เพื่อนที่ทำงานก็ดีค่ะ เพราะเรามีหน้ากากแล้ว หลังจากทำงานมาหลายที่ ก็นะคะ ต้องมีไว้กันสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกาย 555 ก็เริ่มเที่ยวบ้าง ตาบอดกลางคืนไม่ใช่อุปสรรคค่ะ ให้เพื่อนพาไป บางวันเลิกงานดึกๆ แต่คอนโดเราอยู่ใกล้ที่ทำงาน เพื่อนก็จะไปส่งค่ะ เพราะว่ามันเป็นทางผ่านอยู่แล้ว ช่วงนั้นเรารู้สึกดีมาก งานดี เพื่อนดี ทำงานไปครบหนึ่งปี อ่อ ตอนนั้นเราเลิกกับแฟนไปแล้วนะคะ ก็มีคนคุยๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก สนุกกับงาน กับเพื่อนค่ะ เลยไม่ได้แคร์อะไรมากมาย แล้ววันนึงเรื่องมันก็เกิดค่ะ ในใจคิดเลยนะคะว่าอุส่าห์อยู่ได้เงียบๆดีๆแล้วแท้ๆ ต้องบอกอีกเรื่องว่าการที่ตัดสินใจมาเขียนเรื่องนี้ใช่เวลาทำใจกว่าห้าปีค่ะ เพราะพูดตรงๆว่าอยากให้คนที่ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงเค้าได้สำนึกบ้างว่า บาปที่คุณทำลงไป มันทำคนคนนึงเกือบตายค่ะ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครจริงๆค่ะ
กลับเข้าเรื่องนะคะ คือวันหนึ่ง มีพี่พิธีกรที่ทำงานด้วยกัน เป็นผู้ชายอายุประมาณสามสิบต้นๆค่ะ เค้าแต่งงานมากประมาณสองปีถ้าเราจำไม่ผิดค่ะ แต่เราไม่ได้ใสใจอะไรมากนัก พูดจริงๆค่ะไม่ได้ใส่ใจเลย เพราะไม่ใช่สไตล์ที่เราชอบ แต่พี่เค้าเป็นคนนิสัยดีค่ะ เรานับถือเค้าเพราะเค้าสอนงานเยอะ ใจดีให้คำปรึกษาเราค่ะ วันนึงเค้ามาคุยกับเราว่าอยากเปิดโรงเรียนสอนพิธีกรเด็กค่ะ เราก็สนใจ เพราะเสาร์ อาทิตย์ บางอาทิตย์เราก็ทำงานพิเศษคือสอนพิธีกรเด็กค่ะ เราทำงานเยอะ เราสนุกกับการหาเงินและใช้เงินมาก ซึ่งบอกเลยนะคะว่าถ้าคุณมีโอกาสเก็บเงิน จงเก็บให้มากกว่าใช้ค่ะ ชีวิตคุณจะได้ไม่พังเหมือนเรา กลับมาต่อค่ะ เรากับพี่เค้าเลยคุยกับบ่อยขึ้น เพราะไม่อยากให้บริษัทรู้ว่าจะทำอีกงาน พี่เค้าเลยจะนัดเราไปคุยเรื่องงานกันหลังเลิกงานประจำค่ะ เราก็อ่ะไปๆ ถึงขั้นไปดูที่ดูทางไว้เลยค่ะ แต่ปัญหาคือวันนึงพี่เค้าบอกเราว่า เค้าชอบเรา แล้วเค้าหย่ากับภรรยา เมื่อสองวันที่ผ่านมา(เรื่องวันอาจจะคลาดเคลื่อนเพราะเราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้มากขออภัยค่ะ) ขอโอกาสให้เค้าจีบเราได้ไหม? เท่านั้นเรา ในใจเราตอนนั้นคือ "ละ" ขออภัยที่ใช้คำหยาบแต่คิดแบบนี้จริงๆนะคะ
เนื่องจากว่า พี่เค้าเป็นที่ทำงานด้วย และ เป็นรุ่นพี่ที่ดีกับเรามากๆ เราไม่ได้คิดอะไรกับเค้า ถึงแม้เค้าจะหย่าแล้วก็ตามค่ะ เราเลยเกรงใจไม่รู้จะทำยังไง พูดตรงๆค่ะไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ เพราะถ้าปฏิเสธไป แต่ต้องทำงานร่วมกันอยู่ นึกออกกันไหมคะว่า มันคงกระอักกระอ่วนมาก เราเลยแบบ ลองคุยกันก็ได้ แต่เราก็โฟกัสกันตรงที่จะเปิดโรงเรียนกันมากกว่า เราคุยกับพี่เค้าไปสักพักที่จะเปิดโรงเรียนกันเป็นความลับ แต่เรื่องที่พี่เค้าหย่ามันไม่เป็นความลับค่ะ แล้วเรากำลังบอกว่า มีพิธีกรในช่องคนนึง เค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของภรรยาพี่เค้าค่ะ เรื่องมันเลยยาวววว เลยค่ะที่นี้ เราในหัวคือคิออยากจะเปิดธุรกิจกัน แต่พี่เค้าก็เดินหน้าเต็มที่ค่ะเหมือนเค้ารู้ว่าโสดแล้วทำอะไรก็ได้ เค้าก็เริ่มรุกหนักขึ้น เปลี่ยนตัวเองเป็นแบบที่เราชอบ ทั้งการแต่งตัว การพูดจา ซื้อดอกไม้ให้เรา ซื้อของให้เรา ตอนนั้นเราไม่รู้จะทำยังไง คือเราคงไม่ดีเองที่ไม่พูดออกไป แต่ใครไม่อยู่ตรงที่เราอยู่คงไม่รู้ว่ามันกระอักกระอ่วนแค่ไหน แล้ววันนึงเรื่องก็เกิดค่ะ เรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำงานและคนรอบข้างเราเปลี่ยนไป!
ขอแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อค่ะ