ในระยะยาวใช้บริษัทสายเรือโดยตรง/Freight forwarder/Shipping อันไหนจำเป็น คุ้มค่าประหยัดต้นทุนได้มากกว่ากันคะ

สินค้าที่จะส่งออกคืออาหาร ทั้งอาหารแห้ง กุนเชียง และผลไม้อบแห้งด้วย
เคยอ่ายบทสัมภาษณ์ของเจ้าของธุรกิจผลไม้แปรรูปท่านนึงที่ประสบความสำเร็จในระยะหนึ่งแล้ว เค้าบอกว่าให้หาFreight ที่ตรงกับสินค้าที่เราจะส่งไป เค้าจะแนะนำได้ และจะถูกกว่า เหมือนว่าถ้าส่งเฟอร์นิเจอร์ ก็ควรหาบริษัทfreightส่งเฟอร์นิเจอร์โดยตรง จะดีกว่า และถูกกว่าด้วยอันนี้ถูกต้องมั้ยคะ ? แล้วเวลาโทรไปถามบริษัทฯก็ถามเค้าได้เลยหรอคะว่า ของเค้าเน้นหรือชำนาญส่งสินค้าประเภทไหน ถามแบบนี้ได้เลยรึเปล่าคะ? หรือว่าเราจะมีวิธีอื่นในการดูเช่น เรทราคาหากถูกกว่าเจ้าอื่นๆก็แสดงว่าเจ้านี้ส่งของประเภทนี้ๆมากกว่า ราคาเลยถูกกว่าเพราะเค้ามีความชำนาญ ? ควรจะดูยังไงดีคะ

อีกเรื่องนึงคือระหว่างใช้ freight forwarder กับ ติดต่อบริษัทสายเรือตรง ที่เราหาเจอตอนนี้และน่าเชื่อถือที่สุดคือ cosco ของจีน เราอยากรู้ว่าถ้าเราติดต่อชิปปิ้ง เวลาเค้าตีราคามา เค้าก็จะ+ในส่วนของ freight ไปเลยรึเปล่าคะ เพราะวันนี้ที่เราโทรไปถามหลายๆบริษัทเค้าถามว่าให้เค้าหา freight กับบริษัทสายเรือตรงให้มั้ย เค้าก็มี เราก็เลยงงว่าในเมื่อเราใช้ชิปปิ้งอยู่แล้วเราจะเป็นต้องใช้เฟรดกับบริษัทสายเรือตรงอีกหรอคะ 2อย่างหลังนี้มันจำเป็นรึเปล่าคะ ? เรารู้ว่าถ้าเราใช้เฟรดก็มีหน้าที่ทำแค่ออก invoiceกับpacking list ให้เค้าที่เหลือเค้าทำให้หมด มีค่าเอกสารนู่นนี่นิดหน่อย แต่เรากำลังนึกถึงว่าถ้าเราติดต่อกับบริษัทสายเรือตรง มันน่าจะประหยัดกว่ารึเปล่าคะ เพราะเฟรดก็ต้องไปหาเรือให้เราอีกที ตัวเราเองไม่ได้ซีเรียสกับกับการทำเอกสาร ถ้ามันมองเห็นราคาที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดเจนนะคะ หรือว่าเราควรจะหาบริษัทชิปปิ้ง ที่มีเรือเป็นของตัวเอง และไม่ต้องใช้เฟรดคะ ? ควรจะเอายังไงดี - - ถามใครก็มีแต่บอกว่าเฟรดมันจำเป็น เพราะเค้าทำทุกอย่างให้เรา เราแค่ออกเอกสารให้เค้า2อย่างแค่นั้น แต่เราไม่เห็นใครพูดเรื่องความประหยัดที่มองเห็นเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างเลยค่ะ เลยไม่ค่อยเข้าใจความคุ้มค่าของมัน มองเห็นแต่ในเรื่องความสะดวกที่เฟรดมี และติดต่อกับบริษัทสายเรือโดยตรงบางคนบอกว่าควบคุมยาก ของถ้ามีปัญหา ตามยาก ไม่เหมือนใช้เฟรดที่เค้าจัดการให้หมด

ตอนนี้เราได้ราคาสำหรับส่งมะพร้าวไปสิงคโปร์ ราคาที่เอเจ้นนึงให้มา ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าเป้นทั้งคนออกของ+เฟด+ชิปปิ้งแอร์ เรือ และดูแลเรื่องศุลกากร เค้าคิดเรา ส่งทางแอร์โลละ26 บาท ค่ะ 297โล ราคานี้เป็นยังไงคะ ? ราคาที่ถูก น่าใช้ สมเหตุสมผลคือราคาเท่าไหร่ ?
ถ้าใครมีเบอร์cosco หรือบริษัทอื่นๆแนะนำหน่อยนะคะ วันนี้โทรไปไม่มีคนรับเลยค่ะ เลยคิดว่าเบอร์ที่มีไม่น่าจะใช่แล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ผมแนะนำในฐานะคนทำธุรกิจส่งออก ระยะแรกคุณอาจจะคำนึงถึงต้นทุนและราคาเป็นหลัก ซึ่งผมเข้าใจช่วงผมทำแรกๆก็มีมายเซ็ทประมาณนี้ พอผมลองดีลงานดูทั้ง Shipping Agent และ Frieght Forwarder ผมก็พบว่า ปัญหาจุกจิกเล็กน้อยมันตามมาเป็นพรวน ทั้งศุลกากร ปัญหาพิกัดสินค้า ระยะการปล่อยตู้ ฯ ซึ่งชิปปิ้งเอเจนท์ไม่ไวพอที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้ตามต้องการ ไหนจะเรื่องเอกสารสารพัดอย่าง B/L Form ส่งออก-นำเข้า ใบขน packing list invoice ถ้าใช้บริการ Frieght Forwarder เค้าจะรีเช็คให้ทุกอย่างและอุดรอยรั่วให้เราตั้งแต่ก่อนส่งออก-นำเข้า ยิ่งถ้าคุณเจอ Frieght Forwarder ถูกใจ บริการดี แก้ปัญหาหน้างานให้ได้จริง ระยะยาวจะเป็นประโยชน์และคลายความกังวลให้คุณได้มาก หลังจากนั้นราคาถูกและการต่อรองจะตามมาเอง ผมยกตัวอย่าง เช่น ผมทุกวันนี้ใช้บริการเจ้า SmartFreight จากคิวละหลายบาท พอใช้กันไปยาวๆ ราคาก็ถูกและบริการก็ดี เพราะเค้าชำนาญกับสินค้าเรา และคุ้นเคยกับปัญหาที่สินค้าเราต้องเจอได้ ไม่ต้องมานั่งลุ้นหน้างานว่าจะเจอปัญหาอะไรไหม ส่วนอีกอันที่ชอบคือในเว็บจะมีตัว smart tools เป็นเครื่องมือในการคำนวณปริมาตร น้ำหนัก ทางเรือทางแอร์และก็พวกภาษีนำเข้า ให้ใช้ฟรี ไม่ต้องคำนวณมือเอง ผมไว้ใช้เป็นตัวตรวจสอบอีกขั้นนึง เพราะขนาดทำมาหลายๆปี ความผิดพลาดมันก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน ยิ่งถ้ามีพนักงานจัดซื้อต่างประเทศ ส่งเว็บนี้ให้จบเลย สอนตามสเต็ปในเว็บ ไม่ต้องเหนื่อยอธิบายเยอะเลยครับ

ดังนั้นผมมองว่า ถ้าเราชัดเจนเรื่อง incoterms กับคู่ค้าได้แล้ว เรื่องอื่นๆก็จะง่ายเอง หน้าที่ของเราคือนับเงินครับ ส่วนปัญหาจุกจิกที่เราสามารถผลักภาระให้คนอื่นดูแลได้ ก็ควรทำ มันไม่ได้แพงกว่ากันมากหรอก ถ้าเทียบกับความคุ้มค่าที่ได้รับ เอาเวลาไปโฟกัสที่กลยุทธ์และตลาดของสินค้าเราจะดีกว่า นั่นแหละคีย์หลักที่เราควรทุ่มเทเวลากับมัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่