เราเป็น oversea purchase บริษัทนำเข้าสินค้าผลไม้อบแห้งและส่งออก เท่าที่เราประสานงานมาหลายๆอย่าง จากที่ดิวมาทั้ง 2 รูปแบบ เราให้เทคะแนน frieght forwarder มากกว่า ถ้าในรูปแบบบริษัทและเอกสาร ใบขน การเคลียร์สินค้า การประสานงานและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า frieght forwarder จะชำนาญและรวดเร็วกว่า เพราะ shipping agent แม้ว่าจะมีตู้เป็นของตัวเองก็จริง แต่อ้างอิงจากประสบการณ์เราแล้ว ค่อนข้างไม่โอเคกับการประสานงานและการแก้ไขปัญหาเท่าไหร่ ติดต่อยากมาก และฟีดแบคช้ากว่า เพราะรูปแบบการทำงานส่วนใหญ่จะดูแลภาพรวม ไม่มีเซลส์ดูแลเป็นเคสๆเหมือน frieght forwarder

ถ้าสินค้าลงแบบ LCL (ไม่เต็มตู้) เราว่าเช่าตู้เองมันเปลืองกว่า ส่วนในเรื่องของราคา เราว่าแล้วแต่การต่อรอง และจำนวนสินค้าด้วย ทางบริษัทเรามีสลับเปลี่ยนมาหลายที่ มีเจ้าที่เป็น Vendor ทำงานร่วมกันมานานละคือ SmartFrieght ช่วงแรกที่เข้ามาทำงานไม่ค่อยรู้อะไร ถามงานรุ่นพี่ในแผนกเขาก็บ่ายเบี่ยงไม่ค่อยอธิบายลงลึก สอนผ่านๆ เลยอาศัยหาอ่าน ไม่ก็โทรไปคุยตรงกับเจ้าหน้าที่เลย จับต้นชนปลายเอาเอง ส่วนที่ยากตอนนั้นจะต้องคำนวณปริมาตร ขนาดตู้คอนเทนเนอร์และคิดภาษีนำเข้าอีก แต่ทาง SmartFrieght มีตัว Smart tools ในเว็บให้ เหมือนเป็นโปรแกรมคำนวนอัตโนมัติ บอกตรงๆว่าช่วยได้เยอะ ผิดพลาดน้อยลง ส่วนเรื่องซัพพอร์ทปัญหา อย่างล่าสุด มีเคสปัญหาค้นตู้ หรือเอกสารผิดพลาดหน้างาน เค้าจะแก้ไขให้เร็วดีมาก งานเลยไม่ค่อยสะดุดเท่าไหร่ค่ะ

ถ้าคุณทำนำเข้า-ส่งออกมากๆ คุณจะพบว่าราคาไม่สำคัญเท่ากับการบริการ ไหนจะปัญหาศุลกากรอีก ส่วนการจ้างฟรีแลนซ์ถูกๆ ก็แล้วแต่สะดวก แต่เรามองว่าจะได้การดีลงานระยะสั้นเคสบายเคส ไม่เหมาะกับดีลงานระยะยาว คุณเจอปัญหาอะไรจะไม่มีใครช่วยหนุนหลัง เผลอๆเสียค่าเคลียร์สินค้าแพงกว่าค่าชิปปิ้งอีก