แผ่นดีวีดีหรือบลูเรย์คอลเลคชั่นของคุณ คุณหยิบเรื่องไหนมากดูบ่อยที่สุดครับ ขอแนวแอ็คชั่นกับทริลเลอร์

โดยส่วนตัวผมเก็บดีวีดีลิขสิทธิ์ไว้ เป็นคอล
เลคชั่น ในฐานะนักดูหนัง และ ชอบดูหนังมากๆเวลาว่าง ที่ถามว่าหยิบเรื่องไหนมาดูบ่อย ขอเป็นแนวแอ็คชั่นกับแนวทริลเลอร์ ระทึกขวัญ เพราะ ผมกับคนในครอบครัวชอบดูหนังสองแนวนี้มากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งฮฮลลีวู้ด หรือ เอเชีย ก็ดี แต่ถ้าแอ็คชั่นมันๆ เนื้อเรื่องกับบท โดนๆ ต้องยกให้ฝั่งฮฮลลีวู้ด คือ ทำดีมากๆ

เลยอยากทราบว่าเพื่อนๆคอหนัง ที่เก็บสะสมดีวีดี หรือ แผ่นบลูเรย์ ในฐานะคอหนังเหมือนกัน จะเลือกดูแนวแอ็คชั่นกับทริลเลอร์ เหมือนกันไหม ในแต่ละเรื่อง

โดยส่วนตัวเวลาผมไปเดินห้างสรรพสินค้า ผมจะอุดหนุน ร้านขายหนังประจำคือ ร้าน บูมเมอแรง แผ่นหนังราคาสูงหน่อย แต่คุณภาพที่ดีมาก ขนาดซื้อหนังเก่าๆมาดู ผลิตแผ่นมานานละ ยังดูได้หลายรอบมาก แผ่นไม่เสีย และ พนักงานต้อนรับดีระดับนึง สอบถามและพูดคุยเรื่องหนังได้ ( คือ บางร้านผมเข้าไปสอบถามว่า หนังเรื่องนี้ยังมีแผ่นดีวีดีไหมครับ บอกชื่อหนัง หรือ ชื่อดารานำไป พนักงาน ทำหน้า งง และบอกไม่รู้จัก ให้เราเดินหาเอง คือ ตูเซ็งมากๆ ตรงนี้) ต้องให้เครดิตร้านบูมเมอแรง มา ณ ที่นี้ครับ

มาลุยกันเลยคอหนัง
เริ่มจากแนวแอ็คชั่นฝั่งฮฮลลีวู้ด ที่ผมหยิบมาดูบ่อยที่สุด คือ มีหลายเรื่องมาก ดังนี้

1) หนังตระกูล The Bourne ทั้งห้าภาค (Identity, Supremacy, Ultimatum, Legacy, Jason Bourne) ผมชอบไอเดียหนัง,บท,ความดราม่าปนทริลเลอร์ให้คนดูชวนลุ้นไปกับพระเอก ฉากแอ็คชั่นที่โคตรจะสมจริง ไม่โม้มาก การแสดงของ Matt Damon ในบท Jason Bourne ที่แสดงได้ดีมากทีเดียว ดูเป็นคนจริงจัง หน้าเครียด ดูฉลาด บู๊มือเปล่าได้ยอดเยี่ยม และ ภาค Legacy โดยส่วนตัวผมว่าเป็นภาคต่อ ที่เล่าเรื่องคู่ขนานเหตุการณ์ภาค Ultimatum ได้ดีเยี่ยม ถึงหนังจะกล่าวถึงเรื่องบอร์นเล็กน้อย แต่พี่ Jeremy Renner ในบทสายลับ Outcome นามว่า Aaron Cross กับนางเอก Rachel Weiz ในบทคุณหมอ ดร.ชิลลิงค์ ก็แสดงดีมากสมกับบทบาทที่ได้รับ ทั้งการแสดงสีหน้าท่าทาง และ ฉากแอ็คชั่นที่ไม่มาก แต่โดนใจไม่แพ้บอร์นสามภาคแรกเลยครับ

2) Taken 1-2
ชอบป๋าเลียม นีสันในภาพยนตร์แอ็คชั่นชุดนี้มากๆครับ โดยเฉพาะสองภาคแรก คือ ภาคสามก็สนุก ดูแล้วต้องคิดตามพระเอก คอยสืบหาคนฆ่าเมียเก่าของแก แต่ ความลุ้นเอาใจช่วยและฉากแอ็คชั่นมันสู้สองภาคแรกไม่ได้ ภาคแรกเป็นหนังแอ็คชั่นเกรดบีฟอร์มกลางๆ ผกก.และทีมงานเป็นคนฝรั่งเศส โลเคชั่นแทบทั้งเรื่องอยู่ในเมืองปารีส แอ็คชั่นดูดิบๆ โดนใจ บทดีมากๆ แอบซึ้งเรื่องราวพระเอกกับลูกสาว มันไม่ได้ดูเอามันสะใจอย่างเดียว เนื้อเรื่องกับบทมันดีด้วย การแสดงของป๋าเลียม นีสัน การแสดงท่าทางกิริยาต่างๆ ที่ดูรักและห่วงลูกจริงๆ ฉากคุยโทรศัพท์กับตัวร้ายที่ตราตรึงใจผมมากๆ หนังมีโม้บ้างไม่มาก และ ชอบการแกะรอยจากจุดเล็กๆจนพระเอกแกสาวไปถึงตัวใหญ่ได้ แสดงกึ๋นและความสามารถจากงานสายลับในอดีตของแก ซึ่งตรงนี้ผมชอบมาก ไม่ใช่ พอลูกสาวถูกจับ แล้วพระเอกเป็นลุงแก่ๆปลดเกษียนคนนึงจะตรงดิ่งจากอเมริกาไปปารีส แล้วจะฆ่าพวกตัวร้ายได้ทันที มันไม่ใช่ หนังสมจริง ตรงถึงพระเอกจะเก่งจะฉลาดแค่ไหน พอไปต่างถิ่นต่างแดน ไร้คนช่วย ต้องเริ่มสืบจากต้นตอเล็กๆก่อน พอมาภาคสอง บทกับเนื้อเรื่อง สู้ภาคแรกไม่ได้ แต่โทนหนัง บรรยากาศ ยังคงความเป็นทริลเลอร์ได้ดีพอๆกับภาคแรก พวกตัวร้ายดูแค้นพระเอกมากๆ แต่ละคนดูหน้าตาโหด จิตๆทั้งนั้น แต่ก็แพ้ความเก๋าของพระเอกเช่นเคย โผล่มาล่อเป้าให้พระเอกสอย และ ชอบสุดๆภาคนี้ ตรง ลูกสาวของพระเอก คิม ดูมีประโยชน์และไม่ได้เอาแต่ร้องไห้เรียกพ่อแบบภาคแรก เป็นตัวละครเด่นที่คอยช่วยพระเอกเลย ชอบมากๆ ฉากแอ็คชั่นยังดีและโชว์ความเทพของป๋าเลียม นีสันดีไม่แพ้ภาคแรก

3) Jack Reacher ภาคแรก
หนังเรื่องนี้ เน้นแนวสืบสวน-สอบสวน ทริลเลอร์ แอ็คชั่นนิดๆ อารมณ์หนังเหมือนอ่านเชอร์ล็อค โฮมส์ ไม่ก็ดูซีรีย์ CSI หนังถึงแม้แอ็คชั่นน้อย แต่ประเด็นการสืบสวนเข้มข้นและให้เราเดาทางผิดตลอด พระเอก รีชเชอร์ จากในหนังประวัติการทหารเก๋ามาก พอมาสืบสวนสอบสวนก็มีความคิดที่ฉลาดแต่ไม่เว่อร์แบบฉลาดรู้ทันผู้ร้ายเสมอ ฉากต่อสู้ดูดิบๆได้ใจคอแอ็คชั่นแบบสมจริงสมจัง ถึงแม้ในหนังสือ Jack Reacher ตอน One Shot จะทำไว้ได้ดีและรายละเอียดดีกว่าในหนัง แต่การแสดงของพี่ ทอม ครูซ กับการกำกับของ คริสโตเฟอร์ แม็คไควอารี่ ก็ทำได้ดีระดับนึงในรีชเชอร์ฉบับบภาพยนตร์ ใครชอบแนวสืบสวนสอบสวนเข้มข้นเดาทางยากๆปนแอ็คชั่นดิบๆ ในยุคนี้ ต้องยกให้เรื่องนี้เลยครับ

4) The Equalizer
หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ ปนดราม่า หนักๆเข้มข้น ตามสไตล์ฉบับหนังของนักแสดงผิวสี Denzel Washington และผกก.คู่บุญของแก Antonie Fuqua จากเรื่อง Training Day หนังเรื่องนี้เป็นหนังโชว์สกิลเทพของลุงปลดเกษียนอีกเรื่องที่บทและเนื้อเรื่องดีไม่แพ้ Taken พระเอกเป็นอดีตสายลับซีไอเอเหมือนป๋าเลียม และ มีความนิ่ง เก๋า เเก่แต่เท่ ไม่แพ้กัน หนังมาบู๊หนักๆตอนกลางเรื่องเป็นต้นไป ช่วงแรกมันเน้นดราม่าเรื่องชีวิตของพระเอก กับ เด็กสาวโสเภณีรัสเซีย ซึ่งหลายคนบอกเบื่อ แต่ผมกลับตรงข้ามนะ หนังมันปูเนื้อเรื่องไว้ดีมาก แสดงถึงความเดียวดาย ของตัวเอก บทการสนทนาระหว่างพระเอกกับเด็กสาวดูดีและแอบซึ้งอยู่บ้าง หนังมันมีเหตุผล ว่าทำไมพระเอกถึงต้องเข้าไปช่วยเด็กสาวคนนึงที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน ฉากแอ็คชั่นดิบๆ โดนใจ พระเอกไม่เก่งเว่อร์ เน้นความรวดเร็ว การวิเคราะห์อาวุธของศูตร สู้แบบคนแก่แต่เรี่ยวแรงยังเยอะอยู่ ตอนจบพีคสุดๆ พระเอกเทพขนาดล่อพวกตัวร้ายติดอาวุธ มาเก็บเงียบๆทีละราย ในโฮมมาร์กด้วยอุปกรณ์ข้าวของในนั้น โดนไม่แตะปืนหรืออุปกรณ์ไฮเทคเลย เป็นซีนโดนกึ๋นและความเก๋าของพระเอกไว้มาก ตัวร้ายหลักของเรื่องก็แสดงดี มือขวาเจ้าพ่อรัสเซีย ที่ตามมาจัดการพระเอก ดูหน้าตาเหี้ยม ไร้ปราณี ไม่สนความเป็นความตายของใคร แต่ตอนท้ายก็ตายโหดสมกับความเลวของมันจริงๆ นักแสดงหญิง ที่เล่นเป็นโสเภณีก็แสดงดีมาก โคลอี้ ดูเหมือนโสเภณีจริงๆ ดวงตาดูเศร้า ไม่ยากทำแต่ถูกบังคับ โดยรวมโดนสุดๆเลยครับเรื่องนี้

5) The Mechanic ภาคแรก
เป็นหนังของพี่โล้น Jason Statham ที่ดีเรื่องนึงเลยครับ ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้จะบู๊เยอะ โชว์ลีลาเตะต่อยกับสกิลปืนเยอะๆ ให้ไปดู Transporter แทน เพราะเรื่องนี้ แอ็คชั่นไม่มาก มีกลางๆ แต่เนื่อเรื่องกับบทดีมากๆ หนังมีความซับซ้อนของเนื้อเรื่อง โชว์การหลักแหลมไปมาในโลกนักฆ่า ดราม่าเยอะเรื่องพระเอกกับลูกชายเพื่อนของแกที่แกฆ่า ฉากแอ็คชั่นโหดระดับนึง เลือดสาด เรื่องนี้ ยังโชว์การฆ่าคนที่หลากหลายรูปแบบ แบบอุบัติเหตุของพระเอก เป็นนักฆ่าที่มากไปด้วนมันสมองอีกคนนึง แต่หนังก็ยังมีฉากที่พี่โล้นเจสันโชว์สกิลเตะต่อยยิงปืนบ้างเล็กน้อย แต่มันเน้นประเด็นดราม่ามากกว่า

6) The Accountant
ดูจากโปสเตอร์หนังคงนึกว่าหนังคงบู๊สนั่น แต่กลับกัน ฉากบู๊มีเพียงสามฉากสั้นๆ ไม่มาก แต่ดิบได้ใจผมสุดๆ หนังเนื้อเรื่องดีมาก บทก็ดี การสนทนาของตัวละครในเรื่องมันเชื่อมโยงผูกมาถึงเรื่องพระเอกกันหมด เนื้อเรื่องแปลกดี พระเอกเป็นนักบัญชีหนุ่มดูธรรมดา แต่เบื้องหลังคือยอดนักฆ่า แถมตอนเด็กๆยังเป็นโรคออทิสซึมอีก ชอบการเล่าเรื่องในหนัง จะกลับไปกลับมา เล่าเรื่องราวของพระเอกในปัจจุบัน ขนานคู่กับ เรื่องของจนท.การคลังที่คอยสืบหาพระเอก กับเรื่องพระเอกตอนเด็ก ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงกลานมาเป็นอัจฉริยะคณิตศาสตร์ยอดนักฆ่าได้ หนังเล่าเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ ชวนให้คนดูคิดตามตลอดทั้งเรื่อง คิวบู๊ของตัวเอกในเรื่อง ที่แสดงโดย Ben Affleck ก็ดูดี มีชั้นเชิง การใช้อาวุธต่างๆของพระเอกดูเซียนจริงๆ ดูใจ แถมตอนจบเป็นอะไรที่พีคมาก ที่พระเอกลุยเดี่ยวถล่มบ้านตัวร้ายแล้วมาเจอน้องชายตัวเอง อึ้งกันทั้งคู่ พีคมากๆ

7) Casino Royale & Skyfall
เป็นหนังสองภาคต่อที่ดีที่สุดของหนัง เจมส์ บอนด์ ยุคแดเนียล เคร็ก ก็ว่าได้ ถึงพี่แกจะหน้าเหี่ยวเยอะก็ตาม 555 ภาคแรกเปิดตัวบอนด์ยุคใหม่ได้ยอดเยี่ยม ดูมีคลาส ไม่มีอีกแล้วที่จะสำอางค์ ต้องใส่สูทดูดีเสมอ ต้องมีสาวล้อมรอบ หรือ มีอุปกรณ์ไฮเทคช่วย เคร็ก คือ บอนด์ที่ตอบโจทย์ความสมจริงสมจังของผม ดูเป็นคนธรรมดา เจ็บเป็น เสียใจเป็น รักเป็น ไม่ได้ไร้จิตใจเย็นชามาก ฉากบู๊ในภาคแรกดูดิบ เถื่อน มีมาเป็นพักๆทั้งเรื่อง บอนด์เวอร์ชั่นเคร็ก เน้นการต่อสู้มือเปล่าและใช้ปืนพก ฉากวิ่งไล่ล่าตอนฉากแรกก็แสดงให้เราเห็นว่าเจมส์ บอนด์แกบ้าระห่ำ ไล่จับไม่เลิกขนาดไหน นางเอกในเรื่อง Eva Green สวยสง่ามากๆ สมแล้วที่บอนด์หลงรักยอมถูกหลอก ตัวร้ายหลักในภาคนี้ก็ดูโหด ฉลาด เลอชีฟร์ ทั้งโกงพนัน ทำเอาบอนด์อึ้งไปเลย ไหนจะวางยาบอนด์แทบตาย จับตัวนางเอกไปล่อให้บอนด์รถคว่ำ จับบอนด์แก้ผ้าไปตีไข่ อีก สุดๆเลย และเนื้อเรื่องมีความซับซ้อนอยู่ หลายตัวละครประกอบ ดูลึกลับ ชวนให้ติดตาม อย่าง มิสเตอร์ ไวท์ ที่โผล่มาแบบแปลกๆตลอดเรื่อง
ไหนจะพวกพี่ดำสองคนที่โผล่มาขู่เลอชีฟร์อีก
ซีนที่ผมชอบที่สุดในภาคนี้ คือ ฉากวิ่งไล่ล่า Parkour กันบนเครนก่อสร้าง นอกจากดนตรีประกอบจะบิ้วคนดูแล้ว การแสดงของเคร็กก็ดีและพี่แกทุ่มทุนแสดงฉากสตั้นเอง ปีนป่าย กระโดดจากที่สูง จนฟันหน้าแกหักไปสองซี่จากฉากนี้ เป็นฉากวิ่งไล่ล่าที่มันมากๆ จนไปจบด้วยดารเบิ้มสถานทูต กับ ฉากที่บอนด์ถูกวางยาเป็นซีนที่ลุ้นเอาใจช่วย พระเอกมากๆ ว่าจะรอดไหม พี่เคร็กแกเล่นเก่งจริงๆ ดูหน้ามึนๆ เมาๆ เดินโซเซ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ ชอบมากๆ
ภาคสองเราจะไม่พูดถึง มาต่อที่ Skyfall ภาคนี้แอ็คชั่นไม่ดุเดือดเท่า Casino แต่ผมชอบบทการสนทนาและความดราม่าของภาคนี้ ชอบตรงที่ว่า เจมส์ บอนด์ ก็เจ็บเป็น อ่อนแอได้ ไม่ได้ฟิตแข็งแรงตลอด เป็นภาคอำลา Judi Dence ในบท M ที่สมบรูณ์แบบที่สุด

8) Shooter - เนื้อเรื่องเยี่ยม พวกตัวร้ายดูเหี้ยมและกวนโอ๊ยดี ฉากที่พระเอกใช้
สไนเปอร์แต่ละฉาก เท่และดูอันตรายมากๆ

9) Unknown - ลึกลับ ชวนติดตาม ตกลงป๋าเลียมแกเป็นใครกันว่ะเนี่ย เมียตัวจริงยังปฎิเสธว่าไม่รู้จัก แถมถูกเหล่านักฆ่าตามล่าอีก ตอนจบพอหนังเฉลยทำเอาอึ้งเหมือนกัน กับฉากที่พระเอกโดนอิฐกระแทกแล้วความทรงจำกลับมา ฆ่าตัวร้ายตายได้ แบบ ลุงแกโคตรเก่งเลยอะ

10) The Dark Knight - เป็นหนังฮีโร่ที่โคตรจะสมจริง บทดี เนื้อเรื่องยอดเยี่ยม บทของตัวละครต่างๆมันดูมีเหตุมีผลของมัน การปูแบล็กกราวของแต่ละตัวละคร ความดราม่า ทริลเลอร์ การแสดงอันยอดเยี่ยมตราตรึงใจของ Heath Ledger ในบท Joker ที่ดูบ้าจริงๆ แต่แฝงความฉลาดเจ้าเหล่ คือ กว่าพี่แบทแมนจะปราบตัวร้ายคนนี้ได้เล่นเอาเหนื่อยแทบตาย บางตัวละครก็ไม่น่าเชื่อว่าจะตายหรือจากคนดีกลายเป็นคนร้าย หนังมันพลิกล็อคตลอด และชอบสุดๆตรงฉากขับรถไล่ล่าดูลุ้นระทึกมากๆ กับฉากเปิดเรื่องยกพวกไปปล้นแบงค์

11) Die Hard 1,3,4 - เป็นสามภาคต่อของหนังตระกูลนี้ที่ผมชอบมากๆ ทั้งเนื้อเรื่อง บทต่างๆ การแสดงดิบๆห่ามๆของ Bruce Willis ในบท John McClane ที่โดนใจสุดๆ สถานการณ์แต่ละภาคที่พระเอกต้องเจอ ตัวร้ายที่เก่งและฉลาดขึ้นทุกภาค ทำให้เราเอาใจช่วยพระเอกที่บางทีก็ไม่ทันตัวร้ายบ้าง รู้ทันบ้าง บู๊ดิบๆ โชว์ความอึดตายยาก ฉากสตั้นเสี่ยงตายต่างๆ สองผมเฉยๆนะ ห้าคือห่วยแตก

12) Mission Impossible ภาค 3-5
เป็นสามภาคต่อที่ดีมากๆ สองภาคแรกผมเฉยๆ ดูได้แต่ไม่ตราตรึงใจเท่า สามภาคหลัง ที่ฉากแอ็คชั่นสตั้นเสี่ยงตายเล่นกับความสูงและฉากขับรถไล่ล่าที่เจ้าตัวแสดงเอง ชวนให้อึ้ง ในความสามารถของพี่ ทอม ครูซ แล้ว เนื้อเรื่องก็ดีมากด้วย เป็นหนังแอ็คชั่นที่สมาชิกในทีมของพระเอกมีส่วนสำคัญในการทำภารกิจ หนังสามภาคหลัง มีการหลักเหลี่ยมกันแบบหนังสายลับ ตัวร้ายนอกจากจะโหดเดือดแล้ว ยังฉลาด หลอกล่อพวกพระเอกได้ โดยเฉพาะภาคสาม ตัวร้ายคือที่สุดของแฟรนไซส์นี่แล้ว กการแสดงของ Phillips Seymour Holffman คือ น่ากลัวน่าเกรงขามมากๆตอนใส่อารมณ์กับอีธาน ตอนขู่ แถมตอนหลังยังลอบทำร้ายอัดอีธานแทบตายอีก โดนสุดๆ

13) Collateral - ทอม ครูซ พลิกบทมาเป็นตัวร้าย มาดเท่ เหี้ยม อำมหิต เลือดเย็น สมกับความเป็นนักฆ่า เจมี่ ฟ็อกซ์ ดูเป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่คอยคิดหาวิธีสกัดแผนฆ่าของตัวร้าย แบบคนทั่วไปจะคิดได้ สถานการณ์บีบคั้นตลอดทั้งเรื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่