เรื่องสั้นวันพุธ (25 เม.ย. 61) : ปลายทาง

เรื่องสั้น..........................ปลายทาง
โดย...........ลิอ่อง


    เสียงเครื่องเล่นวีซีดีรายการตลกจากคณะหมอลำยอดนิยมดังก้องรถโดยสารประจำทางสีส้มกลางเก่ากลางใหม่ ปนไปกับเสียงหัวเราะของผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัด หญิงสาวร่างเล็กสวมเสื้อสีขาว กางเกงสีน้ำตาล เกือบจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สนใจภาพบนจอนั้น เธอนั่งนิ่งอยู่ที่เบาะติดทางเดินค่อนไปทางท้ายรถ และเหม่อมองไปนอกหน้าต่างด้วยดวงตาโศกสร้อย ต่อเมื่อกระเป๋ารถเดินมาถึง เธอจึงหยิบเงินส่งให้

    รถชะลอความเร็วเมื่อถึงสี่แยกใหญ่ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าตัวจังหวัด “กระโทก…กระโทก” คนขับตะโกน ผู้โดยสารสี่ห้าคนลุกขึ้น  ทยอยกันออกมาตามทางเดิน แม่เฒ่าคนหนึ่งจูงเด็กชายฝาแฝดอายุราวสองขวบเนื้อตัวมอมแมม เดินรั้งท้ายเตรียมลงประตูหลัง คนหนึ่งตั้งท่าร้องไห้เพราะเพิ่งตื่นนอน นางจึงก้มลงไปอุ้มขึ้นมา ทำให้อีกคนรบเร้าบ้าง ขณะที่กระเป๋ารถร้องเตือน “เร็วๆ หน่อย แม่ใหญ่”

    แม่เฒ่าค่อยเคลื่อนผ่านทางเดินแคบๆ นั้นไปอย่างยากเย็น หลังของเด็กน้อยที่อยู่บนสะเอวของนางเบียดมาถูกใบหน้าของหญิงสาวเสื้อขาว เจ้าหนูหันขวับ ตาแป๋วนั้นจ้องเธออย่างไร้เดียงสา เสียงกระเป๋ารถพูดคุยกับแม่เฒ่าก่อนจะลง ได้ความว่านางจะไปรับยาที่โรงพยาบาล แต่ไม่มีคนดูหลาน จึงต้องพามาด้วย

    หญิงสาวเสื้อขาวลอบถอนใจ น้ำตารื้นขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว ภาพลูกชายวัยหกขวบ และลูกสาวที่ยังไม่เต็มสามขวบซ้อนขึ้นมาแจ่มชัด

    “แม่ เย็นนี้กินข้าวบ้านไหม”

        ลูกชายเดินเข้ามาหาก่อนที่เธอจะออกจากบ้านเมื่อเช้านี้ เธอลูบหัวเขา บอกว่าอาจต้องทำงานต่อตอนค่ำ

        “นายกินก่อนเถอะ” เธอเมินประตูห้องนอนที่เปิดอ้า พ่อของเขายังไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนกลับมายามดึกด้วยสภาพเมามาย กลิ่นแอลกอฮอล์ปะปนกับอาหารบางอย่างชวนให้นึกรังเกียจ ทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับได้อีกจนใกล้รุ่ง
    
        “ผัวเอ็งมันรักเหล้ามากกว่าเมีย”

         แม่เคยพูดกับเธอในวันที่พาลูกๆ เข้าไปเยี่ยมในบ้านกลางทุ่งคราวหลังสุด เธอสิ้นคำโต้ตอบ ที่แต่งงานอยู่กินกันก็เพราะเธอเลือกเขาเองตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ

         “ถ้าเชื่อแม่แต่แรก เอ็งก็ไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าอย่างนี้หรอก เดือนเอ๋ย”

      เธอมองไร่มันสำปะหลังริมทางอย่างแปลบใจ ปู่กับย่าของเด็กๆ มีไร่เกือบยี่สิบไร่นาอีกผืนใหญ่ แต่ลูกชายคนเล็กคือคู่ชีวิตของเธอกลับไม่สนใจแบ่งเบาภาระพ่อแม่เท่าที่ควรจะเป็น รถบรรทุกเล็กที่ปู่ซื้อไว้ เขาใช้มันแทบนับครั้งได้ราวกับประชดประชันตัวเองที่มีอาชีพต่างไปจากพี่ชายอีกสองคน
      
          “ku มันหมาหัวเน่า ไม่เหมือนไอ้พวกมีเงินเดือนกิน”

          แล้วเขาก็ขลุกอยู่กับเหล้ายา ไก่ชน และออกหาปูปลาบ้างตามแต่ใจนึก ปล่อยให้เธอทำงานเข้ากะในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งห่างจากบ้านร่วมห้าสิบกิโล ลูกชายและลูกสาวที่เกิดมาจึงแทบจะกินนอนอยู่กับปู่ย่า และไม่ร้องหาแม่เลย

           รถชะลอความเร็วอีกครั้งเพื่อจอดรับผู้โดยสารข้างทาง เหลืออีกสิบกิโลก็จะถึงตัวเมืองแล้ว
    
           “จะคอยตรงร้านข้าวแกงข้างบอขอสอใหม่นะ”

           ผู้ชายอีกคนที่เข้ามาในชีวิตอย่างไม่นึกฝันกระซิบบอกเธอเย็นวานนี้ เขาเป็นม่าย เมียตาย ไม่มีลูก แล้วก็มาสนใจเธอไปทุกย่างก้าวตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่แผนกเดียวกันในโรงงานแห่งนั้นเมื่อสามสี่เดือนก่อน โดยเฉพาะเมื่อรู้เรื่องครอบครัวของเธอ
    
           “ไปเช่าห้องหางานอยู่ในกรุงเทพฯเถอะ เดือนยังสาว แล้วก็ทำงานเก่ง” ผู้ชายคนที่สองที่บอกรักเธอเอ่ยเว้าวอน ขณะเสียงตะคอกซึ่งเธอไม่อาจลืมก็หวนกลับมาก้องในหู
    
            “ไม่อยากได้ผัวขี้เมาก้อไปหาเอาใหม่ซี้—ไป๊”

        คำประชดยามมึนเมาจากผู้ชายที่เธอเคยมอบชีวิตให้ด้วยความรักช่างทิ่มแทงใจและฝังลึกจนรู้สึกปวดหน่วงในอก สำนึกของความเป็นเมียและแม่ที่คลอนแคลนอยู่แล้ว เหลือเพียงเลือนราง เมื่อเขาใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ใบหน้าของเธอคราวที่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกหลายวันก่อน

        หญิงสาวเม้มริมฝีปากอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ก้มลงมองแฟ้มพลาสติกบนตัก สักพักจึงเปิดออก นิ้วมือเล็กๆ พลิกเอกสารแต่ละแผ่นกลับไปกลับมาจนทั่ว เธอนิ่วหน้า แล้วก็ต้องใจหายเมื่อสังเกตเห็นรอยแตกตรงตะเข็บแฟ้มด้านล่างว่า มันกว้างพอที่เอกสารบางอย่างจะหลุดลอดออกไปได้
    
            หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาอีกครั้ง เธอทำทีปัดผมทัดหูเพื่อปาดมันออกพร้อมกับกลืนก้อนสะอื้น ขณะที่รถกำลังบ่ายหน้าเข้าไปยังอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ของจังหวัด อันเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้าย


         แดดเหลืองละมุนยามบ่ายแก่ๆ สาดต้องร่างหญิงวัยหกสิบผมสีเทาที่กำลังเก็บผ้าจากราวเชือกไนลอนใส่ลงในตะกร้าพลาสติกสีสด มือเหี่ยวย่นของนางที่หยาบกร้านด้วยการงานและแดดลมเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า “อย่าทำงานหนักนะป้า” นางแว่วได้ยินเสียงคุณหมออนามัยที่เตือนทุกครั้งเมื่อไปตรวจติดตามอาการภายในของตัว

             ชุดนักเรียนของหลานๆ ชุดโรงงานของลูกสะใภ้ และกางเกงยีนกับเสื้อแขนยาวของลูกชายสุมรวมกันอยู่ในตะกร้า นางกระเดียดมันเดินจากลานบ้านออกไปทางบ้านลูกชายซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศเหนือราวร้อยเมตร

             เกือบเจ็ดปีแล้วที่นางช่วยทำงานบ้านและเลี้ยงลูกให้ไอ้นายน้อยของนาง แต่มันก็ยังไม่โต และเมาได้เมาดี เพื่อที่จะต่อปากคำกับนางและพ่อของมันรวมทั้งเมียของมันด้วย นางหยุดบ้วนน้ำหมากตรงริมทาง และส่งยิ้มให้เพื่อนบ้านที่ถีบรถจักรยานผ่านไป นึกกังวลอยู่ก็แต่อาการปวดท้องน้อยที่หมอบอกว่ามดลูกของนางไม่ดี และควรต้องหยุดทำงานบางอย่าง  นางคิดขณะที่เปิดประตูรั้วไม้ไผ่ผลักเข้าในเขตบ้านของไอ้นาย บ้านหลังน้อยในเนื้อที่ขนาดหนึ่งงาน มีสวนผักอยู่ด้านข้าง นางสู้กู้เงินกองทุนหมู่บ้านมาทำและยกให้ไอ้นายกับเมียของมันเมื่อปีกลายนี้เอง หลังคาสีฟ้าสดถูกใจนังหลานสาวยิ่งนัก นี่ถ้าทาสีกำแพงเสียหน่อยก็คงงามกว่าอิฐฉาบปูนโล้นๆ อย่างที่เห็น

             นางวางตะกร้า หยิบลูกกุญแจจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าขึ้นมาไขที่ประตูไม้บานเดี่ยวและเปิดออก กำลังจะยกตะกร้าขึ้นจากพื้น ก็เหลือบไปเห็นรูปภาพแผ่นหนึ่งตกอยู่ที่พื้นถัดจากประตูเข้าไปในบ้าน จึงหยิบรูปนั้นขึ้นมาพร้อมกับตะกร้า แสงจากหน้าต่างด้านข้างส่องมาที่ตัวนางพอดี นางเพ่งดูรูปนั้นใกล้ๆ

              เจ้าหลานชายหัวดื้อ ใบหน้าพิมพ์เดียวกับพ่อของมัน ยืนยิ้มแฉ่งเคียงกับน้องสาวที่อยู่ในวัยซุกซนซึ่งกางแขนโอบเอวพี่ชายเอาไว้ ทั้งคู่สวมชุดชาวเขามีลวดลายปักสีสดใส น่าจะถ่ายไว้เมื่อไม่นานมานี้ และนางจำได้ว่าเคยดูรูปนี้แล้วพร้อมกับเจ้าตัวที่แข่งกันอวด

               “ไอ้ชาวเขาสองคนนี่มันลูกใครเว้ย” ปู่ของเด็กๆ เคยหยอกเย้าเมื่อเห็นรูปหลาน
            
               คงมีใครหยิบมาดูแล้วทำตก นางหยิบไปวางไว้บนหลังตู้เย็น เดี๋ยวแม่มันก็มาเก็บเองนั่นแหละ แล้วนางก็เดินออกมาข้างนอก เลี้ยวไปทางแปลงผักที่ยามนี้เหลือแต่ต้นคะน้าและผักชีแก่ๆ ทั้งผัวและเมียคงไม่มีเวลาดูแลมันอย่างที่นางเคยหวัง

               นึกถึงครอบครัวของไอ้นายแล้ว เมื่อเทียบกับสมัยของนาง มันช่างต่างกันลิบลับ เมื่อก่อนนางแทบไม่ได้ห่างจากผัวเลย ช่วยกันทำงานตลอดวัน เว้นแต่ฝ่ายหนึ่งต้องเดินทางไปทำธุระที่ไหน แต่ไอ้นายกับเมียกลับได้พบกันเพียงชั่วคืน พอเช้าขึ้นมาก็แยกกันไปเสียแล้ว ช่วงที่เมียของมันเปลี่ยนกะเข้างานกลางคืนและได้นอนพักอยู่กับบ้านยามกลางวันบ้าง ก็ไม่ค่อยเห็นมันพูดคุยกันสักเท่าไร มาทุ่มเถียงกันก็ตอนไอ้นายเมามาย

               นางถอนใจ เหลียวดูตะวันที่อ่อนแสงลงเรื่อยๆ วันนี้ไอ้นายเข้าไร่ มันบอกว่าตอนเย็นจะไปรับลูกเอง นางทรุดตัวลงนั่งยองๆ ดึงหญ้าที่ขึ้นแซมต้นผักออกทีละต้นสองต้นด้วยเรี่ยวแรงที่มี ถ้ามีโอกาส นางจะมาช่วยฟื้นดินให้ลูกอีกสักหน แล้วตาที่เริ่มฝ้าฟางนั้นก็แลเห็นผักรุ่นใหม่งอกสะพรั่งขึ้นมาแทน จนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
    

(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่