เวลาเราไปเที่ยวชลบุรี เรามักจะนึกถึงหาดบางแสน พัทยา หรือ วรนภา แต่อีกหาดที่ใกล้ชิดทะเล และสวยไม่แพ้กันอย่าง นาเกลือ เรามักจะไม่ค่อยได้คิดถึงกันมากนัก วันนี้มีโอกาสได้มาพักที่โรงแรม การ์เด้นท์ ซีวิว รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ใกล้กันกับตลาดนาเกลือเลยทีเดียวโรงแรม การ์เด้นท์ ซีวิว รีสอร์ท เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีอายุยาวนานพอสมควร แต่ก็ได้รับการดูแลรักษา และตกแต่งใหม่ (Renovate) อยู่เสมอ เหมือนห้องพักที่เราจะเข้าพักในวันนี้ ก็เป็นห้องที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ นั่นคือ ห้อง แกรนด์ ชาเล่ย์เมื่อทำการ Check in และได้ห้องเรียบร้อยแล้ว เราต้องเดินลงไปยังชายหาด และส่วนของสระว่ายน้ำโรงแรม ที่บอกว่า "เดินลง" นั่นก็เพราะบริเวณล๊อบบี้ และตึกใหญ่ของโรงแรมเหมือนตั้งอยู่บนเนินเขาหน้าหาด ทำให้ดูเด่นเป็นสง่ามาก สระว่ายน้ำเป็นสระขนาดใหญ่ ๆ มาก แทบจะเรียกว่า "ทะเลเทียม" ได้เลย จึงเป็นที่นิยมของแขกที่มาเข้าพัก และเด็ก ๆ จากทั่วโลก (ที่มาเข้าพักกับผู้ปกครอง) มีการจัดวางก้อนหิน เป็นหาดหิน เป็นน้ำตก แบ่งส่วนของสระเด็ก และสระผู้ใหญ่ไว้ชัดเจน มีเก้าอี้นั่งริมสระน้ำ ไว้ค่อยบริการรวมทั้งร่มชายหาดสีสันสดใส ถัดลงไปจากสระว่ายน้ำใหญ่เป็นชายหาด แม้นทรายจะไม่ได้ไปเป็นสีขาวใส แต่ก็สะอาดสะอ้าน น้ำทะเลสีฟ้าสวย ๆ ล้อคลื่นอยู่รายรอบ มองไปด้านขวามือ จะได้เห็นวิวของ "ปราสาทสัจจธรรม" ตั้งเดินอยู่บนแหลมอีกด้านหนึ่งส่วนทางด้านขวาของชายหาด ส่วนหนึ่งของโรงแรม เป็นแหลมซึ่งมีศาลาแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เป็นที่ตั้งของ "บริการนวดแผนโบราณ" ของทางโรงแรมสวนที่เราเห็นด้านหน้านั้น เป็นสวนขนาดใหญ่ และให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าในพื้นที่เศรษฐกิจ ที่ดินติดทะเลมีมูลค่ามากกว่าทอง จะมีพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเป็น "ปอด" ขนาดใหญ่แบบนี้เอาไว้อีก ด้านหน้าหันรับกับวิวทะเล ทำเป็นชายหาดหินเทียม เหมาะเป็นอย่างมากกับการมานั่งกินลม เพลิน ๆ หรือชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าเดินเลาะหาดออกไปอีกด้านหนึ่งของแหลม เราจะเจอกับสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านเล็ก ๆ สีแดงสด เด่น อยู่ท่ามกลางสวนป่าสีเขียวสว่างไสว นั่นก็คือ "ศาลเจ้าพ่อโพธิทอง" เจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมฯ เล่าให้เราฟังว่า "ศาลเจ้าพ่อโพธิทอง" ได้รับความเคารพนับถือจากชาวเรือย่านนี้มาก เรียกว่า ก่อนออกทะเล ต้องหันกลับมากราบไหว้ ศาลเจ้าพ่อโพธิทองเพื่อขอพรในการประกอบอาชีพ ไม่ว่าจะการหาปลา หรือโชคในด้านการเดินเรือ ไม่ให้เจอพายุ ไม่ให้เจอลมแรง ไม่ให้ล่ม นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่และแขกที่มาเข้าพัก ได้โชคได้ลาภจากการขอพรกับเจ้าพ่อเป็นจำนวนมาก ดูได้จากข้าวของที่นำมาถวายอยู่อย่างไม่ขาดสาย ภายในศาลเจ้าพ่อโพธิทองมีฟันปลาฉนากขนาดใหญ่  ฟันปลาฉนากขนาดใหญ่นั้น ถือเป็นเครื่องรางของขลังสิ่งเคารพสูงสุดของศาลเจ้าริมทะเล สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ในงานพิธีกรรม ของชาวเลแต่โบราณ ปัจจุบันปลาชนิดนี้น่าจะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยแล้วถัดไปจากศาลเจ้าพ่อโพธิทอง เราจะได้พบสถูปและรูปปั้นท่อนบนของเจ้าของที่ดินดั้งเดิม นั่นคือ หม่อมหลวง ต้อย ชุมสาย อดีตตากล้องนู๊ดรุ่นบุกเบิกของไทย และท่านยังเป็นนักเขียนชื่อดัง นามปากกา ขุนอารี และน้อย อภิรุม ผู้เขียนหนังสือ เรื่อง ทุ่งพลายงาม  ซี่งประวัติและผลงานของท่านน่าสนใจมาก และจะนำมาเล่าให้ฟังในอีกเอนทรี่หนึ่ง แยกต่างหาก ท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนในคณะสุภาพบุรุษ ศิลปินช่างภาพ เป็นผู้บุกเบิกวงการถ่ายภาพนู้ดของไทย เมื่อราวทศวรรษ 2480 และยังเคยเป็นอาจารย์ ผู้แนะนำ รงค์ วงษ์สวรรค์ เข้าสู่แวดวงนักหนังสือพิมพ์อีกด่วยเราถือโอกาสขอเข้าชมห้อง Deluxe ซึ่งคุณแม่บ้านก็ใจดีมาก เปิดห้องให้เราชมพร้อมแนะนำในเรื่องการเลือกห้องพักประเภทต่าง ๆลักษณะห้องแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้วยการยกพื้นต่างระบบ นั่นคือส่วนของห้องนอน และห้องนั่งเล่น ที่สามารถมองไปจนสุดสายตาติดผนังได้แบบไม่ต้องมีฝากั้นแต่อย่างใดส่วนของห้องนั่งเล่น ที่มีระเบียงกั้นด้วยกระจกบานใหญ่ สามารถมองเห็นวิวสวน และทะเลด้านนอกจะเห็นได้ว่า โรงแรม การ์เดนท์ ซีวิว รีสอร์ท แห่งนี้ นอกจากจะอยู่ในทำเลที่ดี ติดทะเล และมีความเป็นส่วนตัวแล้ว ยังมีสวนสวย ๆ ขนาดใหญ่ ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ในที่ดินทำเลทองขนาดนี้ และยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติบุคคลของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ให้ได้ศึกษาชีวิตและผลงานของท่านเป็นความรู้อีกด้วยคราวนี้ลองไปดูห้องที่เราจะพักกันคืนนี้ดูบ้างค่ะ เราเดินตัดสวนสวยอันร่มรื่นมายังส่วนที่เป็นห้องพัก จะเห็นได้ว่า ทางโรงแรมจัดห้องพักเอาไว้ต่างหาก ไม่ได้รบกวนความสวยงาม และความสงบของสวนริมทะเลแต่อย่างใด ห้องพักแบบ แกรนด์ ชาเล่ย์ของเราเป็นห้องพักแบบบังกะโล หลังเดี่ยว ๆ อยู่ใกล้กับ "สระจากุซซี่" อีกสระหนึ่งที่อยู่ภายใน ซึ่งสระนี้เปิดให้บริการ ชั่วโมง ผิดกับสระใหญ่ ที่ปิดให้บริการเวลา 19.00 น. ตรงเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการห้องพักแบบ แกรนด์ ชาเล่ย์ ที่เราเข้าพักเป็นห้องพักขนาดใหญ่ จนเราไม่อยากเรียกว่า "ห้อง" อยากเรียกว่า "หลัง" มากกว่า เพราะถึงแม้นจะวางเตียงใหญ่แบบเตียงเดี่ยวแค่หลังเดียว ซึ่งทำให้ห้องดูกว้างขวางเป็นอย่างมาก จนเราคิดว่า วางอีกเตียงได้อย่างสบาย ๆ สัดส่วนของห้องถูกแบ่งออกด้วยการวางพื้นต่างระดับ ให้ส่วนของโซฟา อยู่ด้านล่าง ่และเตียงนอนอยู่ด้านบน ทำให้สบายสายตา โดยที่ไม่ต้องใช้ฉากหรือฝากั้นให้เกะกะสายตาห้องมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลึกเข้าไปด้านในจนสุด เป็นโต๊ะสำหรับทำงาน มีการตั้งวางกระจกขนาดใหญ่ ใช้นั่งทำงานหรือนั่งแต่งหน้าได้อย่างสบาย ๆ ด้านขวามือ เป็นตู้เสื้อผ้าแบบบิวอินที่มีทั้งเสื้อคลุม ผ้าขนหนู รองเท้าแตะสำหรับเดินด้านนอก และร่มขนาดใหญ่ไว้ให้บริการห้องถูกตกแต่งด้วยโทนเทา-ขาว หลังคากรุด้วยแผ่นไม้กระดานที่วางคานแบบกระดูกงูของลำเรือ เฟอร์นิเจอร์ อาทิ โต๊ะหัวเตียง โคมไฟ เป็นการออกแบบด้วยการใช้เฟอร์นิเจอร์ในลักษณะเครื่องเรือนที่อยู่ตามเรือเดินทะเล โทนสีขาว และสีเทา โดยเฉพาะม่านยาวภายในห้อง ทำให้ห้องดูสว่างไสว คลาสิก เรียบง่าย แต่หรูหราห้องอาบน้ำ และห้องน้ำ ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนของห้องอาบน้ำอยู่ด้านซ้ายมือ ก่อส่วนพักให้สะดวกสบายในการอาบน้ำ หรือนั่งอาบน้ำ ตรงกลางเป็นส่วนของอ่างล้างหน้า ล้างมือ และด้านขวามือเป็นส่วนของห้องน้ำ ทั้งหมดถูกแยกสัดส่วนออกจากกัน จึงไม่ปะปนกันแต่อย่างใดด้านหน้าของห้องเป็นระเบียงกว้าง สามารถมองผ่านหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ ที่มีผ้าม่านยาว หน้าค่อยเปิดหรือ ปิดบังไว้ และมีรั่วต้นไม้ที่ถูกปลูกไว้อย่างสวยงามลงตัวอาหารเช้าของโรงแรมจะเริ่มให้บริการตั้งแต่ เวลา 6.00 น. จนถึง 10.00 น. ซึ่งแขกส่วนใหญ่ของที่นี่น่าจะเป็นชาวรัสเซีย ทำให้ทางโรงแรมจัดอาหารไว้บริการหลากหลาย บนห้องอาหารที่ตั้งรับกับชายทะเล สามารถมองเห็นวิวชายหาด และทะเลออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา เสร็จจากมื้อเช้าขอตัวไปนอนพักผ่อนริมหาดให้ข้าวเรียงเม็ดก่อนออกไปเที่ยวก่อนนะคะ ขอบคุณค่ะ