คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 54
อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารในตอนที่ดื่ม หรือดื่มต่อเนื่องนานๆ แต่ไม่กัดกระเพาะโดยตรง
ก๊าซที่ใช้อัดลงไปในน้ำอัดลมคือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ก๊าซคาร์บอนไดในอากาศน้อยกว่าปริมาณที่ใช้ในน้ำอัดลมมากหลายร้อยเท่า
ดังนั้นเขาเลยต้องใช้ความดันสูงในการอัด CO2 ลงไปในน้ำหวาน
ความสามารถในการละลายน้ำของ CO2 น้อยกว่า O2 ถึง 20 เท่า ! ณ สภาพบนพื้นโลกปกติ*
[*หมายเหตุ ความสามารถในการละลาย CO2 จริงๆ แล้วจะสูงกว่า O2 ถ้าหากมีความดัน(ประมาณ) เท่ากัน]
จากกราฟจะเห็นว่าความสามารถในการละลายน้ำของ CO2 อยู่ที่ประมาณ 0.01 mmol/L เท่านั้น (37๐C)
โดยที่โค้กจะมีการอัด CO2 ลงไปถึง 140 mmol/L ดังนั้นเมื่อโค้กเทออกจากขวดและเข้าสู่กระเพาอาหาร
ก็จะมีการแยกตัวของ CO2 จำนวนมาก ออกมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งระหว่างการดื่ม และการเรอ
นอกจากนั้น CO2 พอละลายในน้ำแล้ว หากมีการรวมกันเป็น H2CO3 ก็ยังจะมีการแตกตัวเป็น HCO3- และ CO32-
ซึ่งเราก็ทราบกันนี้ว่านี้คือระบบ Carbonate bufferring system ดีๆ นี่เอง โดยจะอยู่ที่ pH 8
ซึ่งร่างกายของเราก็ใช้ระบบนี้ในการรักษา pH ของเลือด
โดยที่เลือดของเรามี CO2 ละลายถึง 23.3 mmol/L ในหลอดเลือดดำ
ส่วนหลอดเลือดแดงมี CO2 อยู่ 21.5 mmol/L
เพิ่มเติมว่า หากใครเคยเทโค้กตอนอยู่บนเครื่องบิน เราจะพบว่าโค้กจะมีฟองออกมาเยอะกว่าปกติ โดยเฉพาะ Diet Coke
ก็เป็นเพราะว่าบนเครื่องบินมีความดันต่ำกว่าบนบก ทำให้ CO2 แทรกตัวออกมาเยอะมาก และเกิดเป็นโฟมเยอะมาก
ก๊าซที่ใช้อัดลงไปในน้ำอัดลมคือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
ก๊าซคาร์บอนไดในอากาศน้อยกว่าปริมาณที่ใช้ในน้ำอัดลมมากหลายร้อยเท่า
ดังนั้นเขาเลยต้องใช้ความดันสูงในการอัด CO2 ลงไปในน้ำหวาน
ความสามารถในการละลายน้ำของ CO2 น้อยกว่า O2 ถึง 20 เท่า ! ณ สภาพบนพื้นโลกปกติ*
[*หมายเหตุ ความสามารถในการละลาย CO2 จริงๆ แล้วจะสูงกว่า O2 ถ้าหากมีความดัน(ประมาณ) เท่ากัน]
จากกราฟจะเห็นว่าความสามารถในการละลายน้ำของ CO2 อยู่ที่ประมาณ 0.01 mmol/L เท่านั้น (37๐C)
โดยที่โค้กจะมีการอัด CO2 ลงไปถึง 140 mmol/L ดังนั้นเมื่อโค้กเทออกจากขวดและเข้าสู่กระเพาอาหาร
ก็จะมีการแยกตัวของ CO2 จำนวนมาก ออกมาในรูปแบบต่างๆ ทั้งระหว่างการดื่ม และการเรอ
นอกจากนั้น CO2 พอละลายในน้ำแล้ว หากมีการรวมกันเป็น H2CO3 ก็ยังจะมีการแตกตัวเป็น HCO3- และ CO32-
ซึ่งเราก็ทราบกันนี้ว่านี้คือระบบ Carbonate bufferring system ดีๆ นี่เอง โดยจะอยู่ที่ pH 8
ซึ่งร่างกายของเราก็ใช้ระบบนี้ในการรักษา pH ของเลือด
โดยที่เลือดของเรามี CO2 ละลายถึง 23.3 mmol/L ในหลอดเลือดดำ
ส่วนหลอดเลือดแดงมี CO2 อยู่ 21.5 mmol/L
เพิ่มเติมว่า หากใครเคยเทโค้กตอนอยู่บนเครื่องบิน เราจะพบว่าโค้กจะมีฟองออกมาเยอะกว่าปกติ โดยเฉพาะ Diet Coke
ก็เป็นเพราะว่าบนเครื่องบินมีความดันต่ำกว่าบนบก ทำให้ CO2 แทรกตัวออกมาเยอะมาก และเกิดเป็นโฟมเยอะมาก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
จริงค่ะ คนส่วนมากคิดว่า น้ำย่อยมีความเป็นกรดมากกว่าน้ำอัดลมตั้งเยอะ กระเพาะยังไม่เป็นไร
แต่ความเป็นจริงคือ กระเพาะมีตาข่ายชีวภาพกั้นไม่ให้น้ำย่อยเปปซินลงไปย่อยเนื้อกระเพาะได้ แต่ H2CO3 สามารถทะลุตาข่ายชีวภาพนี้ได้ เพราะโมเลกุลของคาร์บอเนตมีขนาดเล็กกว่าตาข่ายชีวภาพ
โค้กและเปปซี่ มีฟอสฟอรัสสูง เมื่อฟอสฟอรัสสูงก้ต้องใช้แคลเซียมในการจับคู่สูงไปด้วย ถ้าคุณกินแคลเซียมพอ ไม่เป็นไร แต่ถ้ากินไม่พอ แคลเซียมจะถูกดึงจากกระดูก เพื่อรักษาความสมดุล แต่ร่างกายก้ขับฟอสฟอรัสส่วนเกินอยู่แล้ว แต่ถ้ากินโค้ก เปปซี่ หนัก จะเป็นภาระกับไตอย่างมาก ร่างกายขับไม่หมด จะเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ กระดูกผุ http://webseekidney.blogspot.com/2015/11/blog-post_20.html?m=1
แต่ความเป็นจริงคือ กระเพาะมีตาข่ายชีวภาพกั้นไม่ให้น้ำย่อยเปปซินลงไปย่อยเนื้อกระเพาะได้ แต่ H2CO3 สามารถทะลุตาข่ายชีวภาพนี้ได้ เพราะโมเลกุลของคาร์บอเนตมีขนาดเล็กกว่าตาข่ายชีวภาพ
โค้กและเปปซี่ มีฟอสฟอรัสสูง เมื่อฟอสฟอรัสสูงก้ต้องใช้แคลเซียมในการจับคู่สูงไปด้วย ถ้าคุณกินแคลเซียมพอ ไม่เป็นไร แต่ถ้ากินไม่พอ แคลเซียมจะถูกดึงจากกระดูก เพื่อรักษาความสมดุล แต่ร่างกายก้ขับฟอสฟอรัสส่วนเกินอยู่แล้ว แต่ถ้ากินโค้ก เปปซี่ หนัก จะเป็นภาระกับไตอย่างมาก ร่างกายขับไม่หมด จะเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ กระดูกผุ http://webseekidney.blogspot.com/2015/11/blog-post_20.html?m=1
ความคิดเห็นที่ 2
กรดในน้ำอัดลมเกิดจากแก้สที่อัดลงไป พอแก้สหมดซึ่งแป้บเดียวก็หมด มันก็กลายเป็นแค่น้ำหวานธรรมดาๆไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนอะไรหรอก น้ำย่อยใยกระเพาะยังแรงกว่าตั้งหลายเท่า
แต่แนะนำว่าอย่ากินตอนท้องว่างจริงๆไม่ว่าจะน้ำหวานอะไรก็ตาม เพราะร่างกายจะคิดว่าเราได้กินอาหาร ไม่ใช่กินน้ำ มันจะยิ่งขับน้ำย่อยออกมาอีก
แต่แนะนำว่าอย่ากินตอนท้องว่างจริงๆไม่ว่าจะน้ำหวานอะไรก็ตาม เพราะร่างกายจะคิดว่าเราได้กินอาหาร ไม่ใช่กินน้ำ มันจะยิ่งขับน้ำย่อยออกมาอีก
ความคิดเห็นที่ 19
ถามมาจากแฟนที่เป็นโภชนากรนะครับ
กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลมสามารถทำปฏิกิริยากับเมือกและผิวหนังกระเพาะได้จริง
แต่ในระดับที่น้อยมากๆๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีผลหากไม่ได้ดื่มน้ำอัดลม
ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ๆ.. ในบางคนที่กระเพาะมีปัญหาจากกรดเกินหรือเป็นแผล
ที่เกิดจากภาวะอื่นร่วมด้วยเช่น ทานอาหารไม่เป็นเวลา มีภาวะเครียด
หรือมีโรคกรดไหลย้อนติดตัวอยู่ก่อน โดยที่โรคเหล่านี้ยังไม่แสดงอาการออกมา
การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆก็เป็นตัวปัจจัยเร่งให้อาการของโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะ
แสดงอาการออกมาได้ครับ ก็พอจะสรุปได้ว่าในบางคนที่ดื่มต่อเนื่องมาแล้วไม่เป็นไรเลย
ก็อาจเป็นได้ว่าร่างกายยังดีไม่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะจึงไม่แสดงอาการใดๆ
แต่กับบางคนที่มีภาวะแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆเป็นการกระตุ้น
ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากกว่าคนปกติ
ส่วนการจะสรุปว่าน้ำอัดลมเป็นตัวการหลักได้หรือไม่ ก็ต้องดูเป็นรายบุคคลไปครับ
แต่ที่แน่ๆถ้าดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปมีโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน
ดังนั้นก็ควรดื่มแต่พอดีๆ เอาแค่ให้สดชื่นและหายอยากก็พอ
กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลมสามารถทำปฏิกิริยากับเมือกและผิวหนังกระเพาะได้จริง
แต่ในระดับที่น้อยมากๆๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีผลหากไม่ได้ดื่มน้ำอัดลม
ต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ๆ.. ในบางคนที่กระเพาะมีปัญหาจากกรดเกินหรือเป็นแผล
ที่เกิดจากภาวะอื่นร่วมด้วยเช่น ทานอาหารไม่เป็นเวลา มีภาวะเครียด
หรือมีโรคกรดไหลย้อนติดตัวอยู่ก่อน โดยที่โรคเหล่านี้ยังไม่แสดงอาการออกมา
การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆก็เป็นตัวปัจจัยเร่งให้อาการของโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะ
แสดงอาการออกมาได้ครับ ก็พอจะสรุปได้ว่าในบางคนที่ดื่มต่อเนื่องมาแล้วไม่เป็นไรเลย
ก็อาจเป็นได้ว่าร่างกายยังดีไม่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะจึงไม่แสดงอาการใดๆ
แต่กับบางคนที่มีภาวะแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆเป็นการกระตุ้น
ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้มากกว่าคนปกติ
ส่วนการจะสรุปว่าน้ำอัดลมเป็นตัวการหลักได้หรือไม่ ก็ต้องดูเป็นรายบุคคลไปครับ
แต่ที่แน่ๆถ้าดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปมีโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน
ดังนั้นก็ควรดื่มแต่พอดีๆ เอาแค่ให้สดชื่นและหายอยากก็พอ
แสดงความคิดเห็น
"อย่ากินน้ำอัดลมเยอะ เดี๋ยวมันกัดกระเพาะ" วลีนี้เป็นจริงหรือไม่ครับ