ชื่อว่า มัลดีฟส์ ใครๆก็ใฝ่ฝันอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมากับตัวแบบละเอียดสุดๆ สำหรับคนที่อยากจะไป เรามี 2 ทางเลือกมาให้เลือกกันนะคะ ทางเลือกที่หนึ่งแบบสโลว์ไลฟ์ ดื่มด่ำบรรยากาศกับฟ้ากับน้ำทะเลให้เต็มที่ และแบบที่สองคือเน้นกิจกรรม เหมาะกับสายลุยโดยเฉพาะ เราเป็นคนทำอะไรก็ขอให้สุดไว้ก่อน ไม่มีมาเสียดายทีหลัง เพราะเวลาผ่านแล้วก็ผ่านเลย เราไปสายการบิน SriLankan Airlines 2 ต่อคือต่อที่ 1 ลงกรุงโคลัมโบประเทศศรีลังกาใช้เวลา 2.30 ชั่วโมง และต่อที่ 2 ลงที่มาเล่ย์ (เมืองหลวงของประเทศมัลดีฟ์) ใช้เวลา 1.20 ชั่วโมง ตอนเราไปตั๋วราคาไปกลับอยู่ที่ 17,705 บาท
2คืนแรกเราพักที่ Anantara Veli Maldives และ 3 คืนหลังที่ Water Breeze ที่เกาะ Maafushi (ที่ถูกแสนถูกกับกิจกรรมจัดเต็ม เหมาะสำหรับคนมีงบไม่มากนัก) เราขอเล่า 2 คืนแรกก่อนนะ หลังจากที่ลงเครื่องแล้วก็เดินมาที่ห้องรับรองของ Anantara ในสนามบิน
รอลงเรือเพื่อไปยังที่พัก ค่าเรือคนละ 70 us เป็นเรือสปีดโบ้ด นั่งเรือประมาณ 45 นาทีก็ถึงค่ะ (ในเรือมี wifi ให้ค่ะ) ระหว่างนั่งเรือก็ค่อนข้างตื่นเต้น เพราะเรือแล่นอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย พอถึงปุ๊บทางAnantara ก็ได้เตรียมขบวนต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยตีกลอง และระบำไว้รอ น่ารักทีเดียวค่ะ ให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากๆ พร้อม welcome drink ที่แสนจะสดชื่น คลายความเมื่อยล้าได้ไม่เลว
การเข้าพักที่นี่ต้องมีค่ามัดจำเป็นเงิน 400 us ค่ะ ห้องพักบ้านกลางน้ำจะมี 4 ระดับแต่ละระดับราคาก็ต่างกันพอสมควรค่ะ ที่พักเราอยู่ระดับที่ 3 สองคืนราคา 1,833.4 us ตกราคาคืนละประมาณ 33,000 บาท แต่ถ้าพักบนหาดราคาก็จะถูกกว่านี้ค่ะ
เราไม่ได้ตื่นเต้นกับเตียงนอน หรืออ่างอาบน้ำ ของที่พักเท่าไร สิ่งที่เราทนแทบไม่ไหวอยากออกไปเห็นใจจะขาด นั่นก็คือ ทะเลหลังห้องที่มีระเบียงยื่นลงไปในน้ำ ไม่รอไรละค่ะ ชุดว่ายน้ำอยู่ไหน จัดซะอย่าให้เสีย อยากกระโดดตู้ม!!! และแผดเสียงกรีดร้องแบบไม่รักษามารยาท เชื่อไหมคะว่า เราลงไปเล่นน้ำ เล่นไปยิ้มไปอะ เห้ยเราไม่ได้โม้ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
กลับไปใครจะว่า ดำ ไม่สนบอกเลย คนส่วนใหญ่เป็นกังวลกับผิวที่ต้องดำขึ้น แน่นอนสิ เพราะคุณมาทะเลนิ กลัวดำก็นอนอยู่บ้านค่ะ ไม่ต้องมา
เสียงคลื่นละมันสาดมันซัด พายงัดเดี๋ยวเรือก็ล่ม
ล่มไปเรียบร้อยแล้ว 5555 แต่ก็ทึ่งในความใสของน้ำทะเลที่นี่มาก
ใสเหมือนน้ำในสระเลยค่ะ
หลังจากเล่นน้ำหลังระเบียงเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาดินเนอร์ เดี๋ยวมาดูกันต่อ ว่าอาหารที่นี่เป็นอย่างไรกันบ้าง
[CR] ไปมัลดีฟส์ทั้งทีต้องครบรส ครบเครื่อง มีทั้งแบบหรูและแบบธรรมดา(ที่ไม่ธรรมดา ซะงั้น)
2คืนแรกเราพักที่ Anantara Veli Maldives และ 3 คืนหลังที่ Water Breeze ที่เกาะ Maafushi (ที่ถูกแสนถูกกับกิจกรรมจัดเต็ม เหมาะสำหรับคนมีงบไม่มากนัก) เราขอเล่า 2 คืนแรกก่อนนะ หลังจากที่ลงเครื่องแล้วก็เดินมาที่ห้องรับรองของ Anantara ในสนามบิน
รอลงเรือเพื่อไปยังที่พัก ค่าเรือคนละ 70 us เป็นเรือสปีดโบ้ด นั่งเรือประมาณ 45 นาทีก็ถึงค่ะ (ในเรือมี wifi ให้ค่ะ) ระหว่างนั่งเรือก็ค่อนข้างตื่นเต้น เพราะเรือแล่นอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย พอถึงปุ๊บทางAnantara ก็ได้เตรียมขบวนต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยตีกลอง และระบำไว้รอ น่ารักทีเดียวค่ะ ให้ความรู้สึกเป็นกันเองมากๆ พร้อม welcome drink ที่แสนจะสดชื่น คลายความเมื่อยล้าได้ไม่เลว
การเข้าพักที่นี่ต้องมีค่ามัดจำเป็นเงิน 400 us ค่ะ ห้องพักบ้านกลางน้ำจะมี 4 ระดับแต่ละระดับราคาก็ต่างกันพอสมควรค่ะ ที่พักเราอยู่ระดับที่ 3 สองคืนราคา 1,833.4 us ตกราคาคืนละประมาณ 33,000 บาท แต่ถ้าพักบนหาดราคาก็จะถูกกว่านี้ค่ะ
เราไม่ได้ตื่นเต้นกับเตียงนอน หรืออ่างอาบน้ำ ของที่พักเท่าไร สิ่งที่เราทนแทบไม่ไหวอยากออกไปเห็นใจจะขาด นั่นก็คือ ทะเลหลังห้องที่มีระเบียงยื่นลงไปในน้ำ ไม่รอไรละค่ะ ชุดว่ายน้ำอยู่ไหน จัดซะอย่าให้เสีย อยากกระโดดตู้ม!!! และแผดเสียงกรีดร้องแบบไม่รักษามารยาท เชื่อไหมคะว่า เราลงไปเล่นน้ำ เล่นไปยิ้มไปอะ เห้ยเราไม่ได้โม้ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
กลับไปใครจะว่า ดำ ไม่สนบอกเลย คนส่วนใหญ่เป็นกังวลกับผิวที่ต้องดำขึ้น แน่นอนสิ เพราะคุณมาทะเลนิ กลัวดำก็นอนอยู่บ้านค่ะ ไม่ต้องมา
เสียงคลื่นละมันสาดมันซัด พายงัดเดี๋ยวเรือก็ล่ม
ล่มไปเรียบร้อยแล้ว 5555 แต่ก็ทึ่งในความใสของน้ำทะเลที่นี่มาก
ใสเหมือนน้ำในสระเลยค่ะ
หลังจากเล่นน้ำหลังระเบียงเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาดินเนอร์ เดี๋ยวมาดูกันต่อ ว่าอาหารที่นี่เป็นอย่างไรกันบ้าง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น