*ไม่ได้ขอยืนยันสมาชิกเลยตั้งได้แค่กระทู้คำถามนะครับ*
* Part 1 - Introduction*
สวัสดีครับ ขอเท้าความก่อนเลย ตอนนี้ผมอายุ 19 ปีกำลังจะเปิดเทอมขึ้นมหาลัยครับ ก่อนหน้านี้ช่วงม.4-ม.5ลงไปเป็นคนที่หน้าใสมากๆ ใช้อะไรก็ไม่แพ้ บีบสิว แคะ แกะ เกา สิวเอง รอยก็หายไปในไม่ถึงสัปดาห์ แต่ไม่เคยใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีสารอันตรายนะครับ ใช้พวกแบรนด์ใน Boots กับ Watsons มาตลอด จนมาช่วงปลายปี 2015 ผมก็ได้ไปแพ้สครับยี่ห้อหนึ่งเข้าให้ มีตุ่มๆ ผื่นแพ้ขึ้นเต็มหน้าไปหมด แต่พอทานยาแก้แพ้อาการก็กลับมาเป็นปกติในเวลาไม่ถึง 10 วัน แล้วชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปในช่วงเดือนมีนาคม 2016 เมื่อผมสังเกตว่ามีสิวเยอะขึ้นผิดปกติ ทั้งๆที่ใช้ของเหมือนเดิมทุกอย่าง Benzacก็ดูจะเอาไม่อยู่ บีบจนเป็นรอยไปหมด จนตัดสินใจหาข้อมูลก็พบว่ายาชื่อ Differin สามารถรักสาสิวได้ ด้วยความเป็นเด็ก และไม่มีความรู้ที่เพียงพอ ก็ตรงดิ่งไปซื้อมาทาเลย โดยไม่ได้เตรียมใจถึงตอนขับสิวที่หลายๆคนบอกกันเลย เพียงเพราะคิดว่าตัวเองจะรับได้ แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ กลับรับไม่ได้ครับ สิวหนอง สิวอักเสบ มาเต็มไปหมดจากการขับสิวของ Differin ตัวเองก็ไปบีบแคะแกะเกาจนเป็นแผล เป็นรอยดำ ที่อยู่ๆก็หายยากขึ้นมา ในที่สุดก็ทำใจไม่ได้ หยุดใช้ไป ก็หน้าเละไปเลยครับ ไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก ผิวอ่อนแอ ใช้อะไรก็แพ้ ตัวที่เคยใช้ก็แพ้ Benzac จากที่ทาทิ้งไว้ได้นานๆก็แดง แสบ ใช้ไม่ได้อีกเลย เป็นุกข์มากๆทุกครั้งเมื่อมีคนทัก กระจกยังไม่อยากจะส่อง ช้ำที่สุดคือการที่ๆบ้านบอกว่าหน้าดีๆอยู่แล้วก็ไปทำให้มันเสียทำไม ปวดใจมากๆครับ อยากบอกว่าเราพยายามแล้ว เราไม่รู้จริงๆ เรายังเด็ก เลยใช้อะไรไม่ทันคิดไปหน่อย จนเวลาผ่านเลยไปทุกอย่างก็ดีขึ้น กลับมาใช้ Benzac ได้จนสิวเริ่มหายไปหมดในเดือนธันวาคม ปี 2017 เหลือแต่รอยแดงรอยดำจากสิวที่ยังเต็มหน้าอยู่ จนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทำงานเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ตัดสินใจเข้าคลินิกแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิทเพื่อทำการรักษารอยด้วยการยิง IPL กับ ทำ Treatment ก็ดีครับ หน้าใสขึ้น แต่ช่วยได้นิดนึง นิดเดียวจริงๆ แต่ไม่มีการขายคอร์สบ้าบอเหมือนหลายๆที่ๆเคยอ่านมา เลยไม่ได้อะไรมาก แต่อยู่มาวันนึง Benzac ที่กลับมาใช้จู่ๆก็เกิดอาการผิวไหม้ แสบ แดง ลอก(หน้าเบิร์นนั่นแหละครับ) อาจจะเพราะการใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไปด้วย เลยทำให้ผิวไหม้ขึ้นมา (แต่ก็งงนิดหน่อยตรงที่ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นไหม้เลย แต่เราก็ไม่ได้โทษทางคลินิคนะครับ เพราะตอนทำอยู่มันก็ไม่ได้แพ้อะไร) ก็ต้องหยุดใช้ Benzac ไปเพราะหน้าไม่ไหวแล้ว แสบ แดง ลอกมากๆ พอหยุดทาปุ๊บ ใช่ครับ สิวกลับมาทันที ก็มีไปให้ที่คลินิคกดออกบ้าง แต่ทำยังไงเราก็ใช้ Benzac ไม่ได้อยู่ดี ทาทีไรหน้าแดงมากๆทุกที ผนวกกับที่พี่สาวบอกว่าอยากไปหาหมอสิวที่ศิริราช จะไปหาด้วยกันไหม เราเลยตัดสินใจว่า เอาวะ หักดิบจากที่นี่ไปเลย ไปให้หมอผิวหนังที่โรงพยาบาลรักษาเลยแล้วกัน ก็เลยตัดสินใจหยุดหาคลินิคนั้นไปเลยครับ แล้วก็เริ่มหาข้อมูลในการเข้ารักษาสิวที่โรงพยาบาล.....
*Part 2 - เข้ารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์*
เมื่อตัดสินใจได้ ผมก็เริ่มค้นหาข้อมูลครับ ตอนนั้นก็มีในใจสองที่คือที่ศิริราชกับที่จุฬา เพราะว่าเดินทางสะดวก และค่อนข้างใกล้บ้านครับ แต่ที่ตัดสินใจเสี่ยงดวงไปจุฬาเลยเพราะทราบมาว่าที่ศิริราชรอนานมากๆ คิวเลเซอร์บางทีอาจจะเป็นเดือนด้วย(ที่จุฬาก็รอนาน แต่เลเซอร์เห็นว่าสามารถทำได้เลยวันนั้น) และที่ จุฬา ก็ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่พอดี เลยตัดสินใจในวันที่ 29 มีนาคมครับว่าวันรุ่งขึ้นจะไปหาหมอที่นี่...
30/03/2018
ผมไปถึงโรงพยาบาลเวลา 5.30 ครับ ตามที่อ่านไปจากในเน็ทว่าควรไปถึงแต่เช้า เพื่อจะได้คิวเร็วขึ้น แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจมากเพราะมีคนมารอเยอะมากกกกกกกก ทั้งผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ วันนั้นผมไปคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้าน ถึงมาเค้าจะอยากมาเป็นเพื่อนแต่ผมเกรงใจครับ มันเช้าไป เมื่อถึงแล้วผมก็เดินไปตรงที่เค้าเข้าคิวกันเพื่อรอกดบัตรคิวที่ตู้ Kiosk สีเหลืองๆที่มีสองตู้ติดกันอยู่ข้างๆตึกภปร.ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ อ้อ ห้ามลืมนำบัตรประชาชนตัวจริงไปนะครับ ต้องใช้ ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ๆตู้ว่ามาทำบัตรผู้ป่วยใหม่ รักษาสิวและเลเซอร์ครับ เจ้าหน้าที่ก็จะกดบัตรคิวไปแผนกผิวหนังให้ครับ ในบัตรคิวจะมีเขียนอยู่ว่าให้ไปรอที่โซนเคาเตอร์ไหนจากนั้นเราก็รอจนเจ้าหน้าที่ประกาศให้เข้าไปในตึกได้ครับ พอตรงนี้ผมตกใจมาก พอประกาศปุ๊ปทุกคนก็กรูกันเข้าไปครับ แย่งกันขึ้นลิฟท์บ้าง บันไดเลื่อนบ้าง แต่ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่เลยครับ จัดการแถว จัดการคิวได้ดีจริงๆ จากนั้นเราก็รอๆๆๆๆจนถึงประมาณ 7.00 น.ครับ เจ้าหน้าที่จะทยอยมาประจำเคาเตอร์ ก่อนหน้านี้เราก็ควรกรอกประวัติในบัตรเขียวสำหรับผู้ป่วยใหม่ที่อยู่ตรงเสาให้เรียบร้อยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา เสร็จแล้วก็จะทยอยเรียกคิวครับ การเรียกคิวของที่นี่จะผ่านจอโทรทัศน์ และ มีเสียงเรียกแบบ automatic ครับ ต้องคอยดูจอและฟังเสียงให้ดีนะครับ เพราะไม่มีพยาบาลมาคอยยืนเรียก พอถึงคิวของเราก็เดินไปที่เคาเตอร์ที่แจ้งบนจอครับ ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทำบัตรว่ามารักษาอะไร พร้อมยื่นใบเขียวและบัตรประชาชนครับ เราก็บอกไปว่ามารักษาสิวและเลเซอร์รอยสิว เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราถอยหลังไปนิดหน่อยเพื่อถ่ายรูปออกบัตรครับ เมื่อได้บัตรแล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็บอกผมว่าให้ขึ้นไปที่ชั้น 14 ตึกภปร. แผนกผิวหนังได้เลยครับ ขอชื่นชมพี่เจ้าหน้าที่คนนี้นะครับว่าใจดีมากๆๆๆๆๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามอะไรก็ตอบ ไม่มีท่าทีรำคาญใดๆเลย ประทับใจมากๆครับ เมื่อผมขึ้นลิฟท์มายังชั้น 14 เสร็จ ก็จะเจอกับพี่เจ้าหน้าที่อีกคนประจำตู้ Kiosk อยู่ ตรงนี้เราก็กดบัตรคิวอีกรอบครับ ใช้บัตรประชาชนแสกน หรือบัตรโรงพยาบาลที่เราได้มาก็ได้ครับ แต่กรณีที่เราไม่ได้นำมาก็สามารถพิมเลขบัตรแทนได้ครับ หลังจากกดบัตรคิวเสร็จก็ไปวัดความดันที่เครื่องข้างๆ และจดใส่กระดาษที่เค้ามีไว้ให้ครับ หลังจากนั้นก็นั่งรอคุณพยาบาลประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆครับ รอจนพี่พยาบาลประกาศเสร็จก็ทยอยไปวางบัตรคิวกันได้ครับ หลังจากนั้นประมาณ 8.00 - 9.00 น.ก็จะเห็นคุณหมอเริ่มทยอยเดินมาเซ็นชื่อเข้าห้องตรวจกันครับ หลังจากนั้นก็นั่งรอพี่พยาบาลเรียกครับ เมื่อพี่พยาบาลเรียกชื่อเรา พี่พยาบาลก็จะแจ้งว่า ตรวจกับหมอคนนี้ ห้องนี้ นั่งรอที่โซนนี้ครับ ดูในใบที่พี่พยาบาลยื่นมาก็ได้ครับเผื่อลืม เสร็จแล้วเราก็ไปนั่งรอตามโซนครับ ตรงนี้ก็จะเรียกคิวแบบใช้จอทีวีกับเสียงautoอีกครับ ต้องคอยดูและฟัง พอถึงคิวปุ๊ปก็เข้าห้องตรวจนั้นๆได้เลย
ในที่สุดก็ได้พบคุณหมอครับ คุณหมอเป็นผู้หญิง เป็นกันเองมากๆๆ ถามอะไรก็ตอบ ไม่รำคาญหรือชักสีหน้าใดๆ เราก็เล่าเป็นเสต็ปๆไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณหมอก็วินิจฉัยมา ว่าจริงๆแล้วมันอาจเป็นที่ฮอร์โมนที่เพิ่งมา สิวๆพวกนี้อาจเป็นสิวฮอร์โมน ที่เราต้องเรียนรู้และยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติ การรักษาต้องใช้เวลา และทายาอย่างสม่ำเสมอ ผมก็บอกว่าอยากรักษาพวกรอยอะไรงี้ด้วย คุณหมอก็แนะนำ V beam มาครับ 25 shot จะอยู่ที่ประมาณ 1000 บาท คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวค่อยยิงก็ได้ ไม่รีบ ผมก็โอเคครับ คุณหมอก็สั่งจ่ายยามาเป็น
1. Bp gel 2.5 5 กรัม 1 หลอด 25 บาท
2. Robaz gel แต้มสิวอักเสบ 1 หลอด 385 บาท
3. Chula soap สบู่เหลวล้างหน้า 45 บาท ถ้าจำไม่ผิด
คุณหมอก็ให้ทำนัดเลย เราเลยบอกว่าขอไวที่สุดเลย จริงๆอยากมาสัปดาห์หน้าด้วยซ้ำ แต่คุณหมอบอกว่ามันเร็วไป อยากให้มีเวลาใช้ยาก่อน ดูว่าผลเป็นยังไง คุณหมอเลยนัดมาอีกทีวันที่ 10 เมษายนครับ
เมื่อออกจากห้องตรวจก็เดินไปที่อีกเคาเตอร์เพื่อรอรับใบนัดครับ พี่พยาบาลก็แจ้งว่าให้ไปชำระเงินค่ายา ที่เคาเตอร์การเงิน ถึงตรงนี้เราก็ไปนั่งรอครับ รอจนกว่าจะมีเลขของเราขึ้นบนจอทีวีตรงเสาที่มีสัญลักษณ์รูปดาวครับ พอมีเลขขึ้นก็เดินไปชำระเงิน แล้วลงไปรับยาครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 525 บาทครับ มีค่ายาข้างต้นที่แจ้งไป + ค่าบริการทางพยาบาล 50 บาท + ค่าบริการอื่นๆ 20 บาทครับ เสร็จแล้วเราก็เดินลงไปรับยาที่ชั้น 13 ครับ เมื่อรับยาเสร็จก็กลับบ้านได้ครับ
มีต่อในคอมเมนท์นะครับ
แชร์ประสบการณ์พบแพทย์ผิวหนัง รักษาสิว + เลเซอร์ ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (ในเวลาราชการ) ขอชื่นชมแพทย์และเจ้าหน้าที่จริงๆ
* Part 1 - Introduction*
สวัสดีครับ ขอเท้าความก่อนเลย ตอนนี้ผมอายุ 19 ปีกำลังจะเปิดเทอมขึ้นมหาลัยครับ ก่อนหน้านี้ช่วงม.4-ม.5ลงไปเป็นคนที่หน้าใสมากๆ ใช้อะไรก็ไม่แพ้ บีบสิว แคะ แกะ เกา สิวเอง รอยก็หายไปในไม่ถึงสัปดาห์ แต่ไม่เคยใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีสารอันตรายนะครับ ใช้พวกแบรนด์ใน Boots กับ Watsons มาตลอด จนมาช่วงปลายปี 2015 ผมก็ได้ไปแพ้สครับยี่ห้อหนึ่งเข้าให้ มีตุ่มๆ ผื่นแพ้ขึ้นเต็มหน้าไปหมด แต่พอทานยาแก้แพ้อาการก็กลับมาเป็นปกติในเวลาไม่ถึง 10 วัน แล้วชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปในช่วงเดือนมีนาคม 2016 เมื่อผมสังเกตว่ามีสิวเยอะขึ้นผิดปกติ ทั้งๆที่ใช้ของเหมือนเดิมทุกอย่าง Benzacก็ดูจะเอาไม่อยู่ บีบจนเป็นรอยไปหมด จนตัดสินใจหาข้อมูลก็พบว่ายาชื่อ Differin สามารถรักสาสิวได้ ด้วยความเป็นเด็ก และไม่มีความรู้ที่เพียงพอ ก็ตรงดิ่งไปซื้อมาทาเลย โดยไม่ได้เตรียมใจถึงตอนขับสิวที่หลายๆคนบอกกันเลย เพียงเพราะคิดว่าตัวเองจะรับได้ แต่พอถึงเวลานั้นจริงๆ กลับรับไม่ได้ครับ สิวหนอง สิวอักเสบ มาเต็มไปหมดจากการขับสิวของ Differin ตัวเองก็ไปบีบแคะแกะเกาจนเป็นแผล เป็นรอยดำ ที่อยู่ๆก็หายยากขึ้นมา ในที่สุดก็ทำใจไม่ได้ หยุดใช้ไป ก็หน้าเละไปเลยครับ ไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก ผิวอ่อนแอ ใช้อะไรก็แพ้ ตัวที่เคยใช้ก็แพ้ Benzac จากที่ทาทิ้งไว้ได้นานๆก็แดง แสบ ใช้ไม่ได้อีกเลย เป็นุกข์มากๆทุกครั้งเมื่อมีคนทัก กระจกยังไม่อยากจะส่อง ช้ำที่สุดคือการที่ๆบ้านบอกว่าหน้าดีๆอยู่แล้วก็ไปทำให้มันเสียทำไม ปวดใจมากๆครับ อยากบอกว่าเราพยายามแล้ว เราไม่รู้จริงๆ เรายังเด็ก เลยใช้อะไรไม่ทันคิดไปหน่อย จนเวลาผ่านเลยไปทุกอย่างก็ดีขึ้น กลับมาใช้ Benzac ได้จนสิวเริ่มหายไปหมดในเดือนธันวาคม ปี 2017 เหลือแต่รอยแดงรอยดำจากสิวที่ยังเต็มหน้าอยู่ จนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทำงานเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ตัดสินใจเข้าคลินิกแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิทเพื่อทำการรักษารอยด้วยการยิง IPL กับ ทำ Treatment ก็ดีครับ หน้าใสขึ้น แต่ช่วยได้นิดนึง นิดเดียวจริงๆ แต่ไม่มีการขายคอร์สบ้าบอเหมือนหลายๆที่ๆเคยอ่านมา เลยไม่ได้อะไรมาก แต่อยู่มาวันนึง Benzac ที่กลับมาใช้จู่ๆก็เกิดอาการผิวไหม้ แสบ แดง ลอก(หน้าเบิร์นนั่นแหละครับ) อาจจะเพราะการใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไปด้วย เลยทำให้ผิวไหม้ขึ้นมา (แต่ก็งงนิดหน่อยตรงที่ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นไหม้เลย แต่เราก็ไม่ได้โทษทางคลินิคนะครับ เพราะตอนทำอยู่มันก็ไม่ได้แพ้อะไร) ก็ต้องหยุดใช้ Benzac ไปเพราะหน้าไม่ไหวแล้ว แสบ แดง ลอกมากๆ พอหยุดทาปุ๊บ ใช่ครับ สิวกลับมาทันที ก็มีไปให้ที่คลินิคกดออกบ้าง แต่ทำยังไงเราก็ใช้ Benzac ไม่ได้อยู่ดี ทาทีไรหน้าแดงมากๆทุกที ผนวกกับที่พี่สาวบอกว่าอยากไปหาหมอสิวที่ศิริราช จะไปหาด้วยกันไหม เราเลยตัดสินใจว่า เอาวะ หักดิบจากที่นี่ไปเลย ไปให้หมอผิวหนังที่โรงพยาบาลรักษาเลยแล้วกัน ก็เลยตัดสินใจหยุดหาคลินิคนั้นไปเลยครับ แล้วก็เริ่มหาข้อมูลในการเข้ารักษาสิวที่โรงพยาบาล.....
*Part 2 - เข้ารักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์*
เมื่อตัดสินใจได้ ผมก็เริ่มค้นหาข้อมูลครับ ตอนนั้นก็มีในใจสองที่คือที่ศิริราชกับที่จุฬา เพราะว่าเดินทางสะดวก และค่อนข้างใกล้บ้านครับ แต่ที่ตัดสินใจเสี่ยงดวงไปจุฬาเลยเพราะทราบมาว่าที่ศิริราชรอนานมากๆ คิวเลเซอร์บางทีอาจจะเป็นเดือนด้วย(ที่จุฬาก็รอนาน แต่เลเซอร์เห็นว่าสามารถทำได้เลยวันนั้น) และที่ จุฬา ก็ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่พอดี เลยตัดสินใจในวันที่ 29 มีนาคมครับว่าวันรุ่งขึ้นจะไปหาหมอที่นี่...
30/03/2018
ผมไปถึงโรงพยาบาลเวลา 5.30 ครับ ตามที่อ่านไปจากในเน็ทว่าควรไปถึงแต่เช้า เพื่อจะได้คิวเร็วขึ้น แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจมากเพราะมีคนมารอเยอะมากกกกกกกก ทั้งผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ วันนั้นผมไปคนเดียวเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้าน ถึงมาเค้าจะอยากมาเป็นเพื่อนแต่ผมเกรงใจครับ มันเช้าไป เมื่อถึงแล้วผมก็เดินไปตรงที่เค้าเข้าคิวกันเพื่อรอกดบัตรคิวที่ตู้ Kiosk สีเหลืองๆที่มีสองตู้ติดกันอยู่ข้างๆตึกภปร.ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ อ้อ ห้ามลืมนำบัตรประชาชนตัวจริงไปนะครับ ต้องใช้ ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ๆตู้ว่ามาทำบัตรผู้ป่วยใหม่ รักษาสิวและเลเซอร์ครับ เจ้าหน้าที่ก็จะกดบัตรคิวไปแผนกผิวหนังให้ครับ ในบัตรคิวจะมีเขียนอยู่ว่าให้ไปรอที่โซนเคาเตอร์ไหนจากนั้นเราก็รอจนเจ้าหน้าที่ประกาศให้เข้าไปในตึกได้ครับ พอตรงนี้ผมตกใจมาก พอประกาศปุ๊ปทุกคนก็กรูกันเข้าไปครับ แย่งกันขึ้นลิฟท์บ้าง บันไดเลื่อนบ้าง แต่ขอชื่นชมเจ้าหน้าที่เลยครับ จัดการแถว จัดการคิวได้ดีจริงๆ จากนั้นเราก็รอๆๆๆๆจนถึงประมาณ 7.00 น.ครับ เจ้าหน้าที่จะทยอยมาประจำเคาเตอร์ ก่อนหน้านี้เราก็ควรกรอกประวัติในบัตรเขียวสำหรับผู้ป่วยใหม่ที่อยู่ตรงเสาให้เรียบร้อยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา เสร็จแล้วก็จะทยอยเรียกคิวครับ การเรียกคิวของที่นี่จะผ่านจอโทรทัศน์ และ มีเสียงเรียกแบบ automatic ครับ ต้องคอยดูจอและฟังเสียงให้ดีนะครับ เพราะไม่มีพยาบาลมาคอยยืนเรียก พอถึงคิวของเราก็เดินไปที่เคาเตอร์ที่แจ้งบนจอครับ ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ทำบัตรว่ามารักษาอะไร พร้อมยื่นใบเขียวและบัตรประชาชนครับ เราก็บอกไปว่ามารักษาสิวและเลเซอร์รอยสิว เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราถอยหลังไปนิดหน่อยเพื่อถ่ายรูปออกบัตรครับ เมื่อได้บัตรแล้วพี่เจ้าหน้าที่ก็บอกผมว่าให้ขึ้นไปที่ชั้น 14 ตึกภปร. แผนกผิวหนังได้เลยครับ ขอชื่นชมพี่เจ้าหน้าที่คนนี้นะครับว่าใจดีมากๆๆๆๆๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ถามอะไรก็ตอบ ไม่มีท่าทีรำคาญใดๆเลย ประทับใจมากๆครับ เมื่อผมขึ้นลิฟท์มายังชั้น 14 เสร็จ ก็จะเจอกับพี่เจ้าหน้าที่อีกคนประจำตู้ Kiosk อยู่ ตรงนี้เราก็กดบัตรคิวอีกรอบครับ ใช้บัตรประชาชนแสกน หรือบัตรโรงพยาบาลที่เราได้มาก็ได้ครับ แต่กรณีที่เราไม่ได้นำมาก็สามารถพิมเลขบัตรแทนได้ครับ หลังจากกดบัตรคิวเสร็จก็ไปวัดความดันที่เครื่องข้างๆ และจดใส่กระดาษที่เค้ามีไว้ให้ครับ หลังจากนั้นก็นั่งรอคุณพยาบาลประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆครับ รอจนพี่พยาบาลประกาศเสร็จก็ทยอยไปวางบัตรคิวกันได้ครับ หลังจากนั้นประมาณ 8.00 - 9.00 น.ก็จะเห็นคุณหมอเริ่มทยอยเดินมาเซ็นชื่อเข้าห้องตรวจกันครับ หลังจากนั้นก็นั่งรอพี่พยาบาลเรียกครับ เมื่อพี่พยาบาลเรียกชื่อเรา พี่พยาบาลก็จะแจ้งว่า ตรวจกับหมอคนนี้ ห้องนี้ นั่งรอที่โซนนี้ครับ ดูในใบที่พี่พยาบาลยื่นมาก็ได้ครับเผื่อลืม เสร็จแล้วเราก็ไปนั่งรอตามโซนครับ ตรงนี้ก็จะเรียกคิวแบบใช้จอทีวีกับเสียงautoอีกครับ ต้องคอยดูและฟัง พอถึงคิวปุ๊ปก็เข้าห้องตรวจนั้นๆได้เลย
ในที่สุดก็ได้พบคุณหมอครับ คุณหมอเป็นผู้หญิง เป็นกันเองมากๆๆ ถามอะไรก็ตอบ ไม่รำคาญหรือชักสีหน้าใดๆ เราก็เล่าเป็นเสต็ปๆไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณหมอก็วินิจฉัยมา ว่าจริงๆแล้วมันอาจเป็นที่ฮอร์โมนที่เพิ่งมา สิวๆพวกนี้อาจเป็นสิวฮอร์โมน ที่เราต้องเรียนรู้และยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติ การรักษาต้องใช้เวลา และทายาอย่างสม่ำเสมอ ผมก็บอกว่าอยากรักษาพวกรอยอะไรงี้ด้วย คุณหมอก็แนะนำ V beam มาครับ 25 shot จะอยู่ที่ประมาณ 1000 บาท คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวค่อยยิงก็ได้ ไม่รีบ ผมก็โอเคครับ คุณหมอก็สั่งจ่ายยามาเป็น
1. Bp gel 2.5 5 กรัม 1 หลอด 25 บาท
2. Robaz gel แต้มสิวอักเสบ 1 หลอด 385 บาท
3. Chula soap สบู่เหลวล้างหน้า 45 บาท ถ้าจำไม่ผิด
คุณหมอก็ให้ทำนัดเลย เราเลยบอกว่าขอไวที่สุดเลย จริงๆอยากมาสัปดาห์หน้าด้วยซ้ำ แต่คุณหมอบอกว่ามันเร็วไป อยากให้มีเวลาใช้ยาก่อน ดูว่าผลเป็นยังไง คุณหมอเลยนัดมาอีกทีวันที่ 10 เมษายนครับ
เมื่อออกจากห้องตรวจก็เดินไปที่อีกเคาเตอร์เพื่อรอรับใบนัดครับ พี่พยาบาลก็แจ้งว่าให้ไปชำระเงินค่ายา ที่เคาเตอร์การเงิน ถึงตรงนี้เราก็ไปนั่งรอครับ รอจนกว่าจะมีเลขของเราขึ้นบนจอทีวีตรงเสาที่มีสัญลักษณ์รูปดาวครับ พอมีเลขขึ้นก็เดินไปชำระเงิน แล้วลงไปรับยาครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 525 บาทครับ มีค่ายาข้างต้นที่แจ้งไป + ค่าบริการทางพยาบาล 50 บาท + ค่าบริการอื่นๆ 20 บาทครับ เสร็จแล้วเราก็เดินลงไปรับยาที่ชั้น 13 ครับ เมื่อรับยาเสร็จก็กลับบ้านได้ครับ
มีต่อในคอมเมนท์นะครับ