---------------------------------------------------
นะจังงัง ที่พังงา
3 วัน 2 คืน
---------------------------------------------------
หากเอ่ยถึงพังงา ใครๆก็คงนึกถึงทะเล สวยน้ำใส และกิจกรรมดำน้ำเป็นอันดับต้นๆ
แต่สำหรับรีวิวนี้ทุกท่านจะได้เห็นทะเลสวย น้ำใส แต่กิจกรรมดำน้ำนั้นคงต้องงดไว้ก่อน
เพราะเรามาตามหาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจังหวัดพังงากัน โดยก่อนการเดินทาง
เราก็หาอ่านรีวิวและคาดหวังไว้ว่าจะได้เก็บภาพสวยๆ ข้อมูลดีๆเหมือนรีวิวที่พี่ๆเพื่อนๆเขียนกันบ้าง
แต่!! ทุกสิ่งใช่จะเป็นดังที่เราคาดไว้เสมอไปและนี่คือการเดินทางที่พวกเราได้ไป
นะจังงังกันที่พังงา ขอให้ทุกท่านร่วมเดินทางไปด้วยกันนะครับ
ทริปนี้พวกเราเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน จากดอนเมือง-ภูเก็ต เราเลือกเที่ยวบินที่ประหยัดที่สุด จึงได้สายการบินไลอ้อนแอร์มา
เนื่องจากพวกเราไปกันหลายที่ก็เลยเลือกที่จะเช่ารถ เพื่อความสะดวก รับรถเสร็จก็แวะทานข้าว
และข้ามสะพานสารสินสู่พังงาอย่างเป็นทางการเสียที
จุดแรกที่เราแวะกันคือจุดชมวิวเสม็ดนางชี ที่ทุกท่านกล่าวขานถึงว่าวิวสวยนักหนาจะสวยสักแค่ไหน
ตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้วทางไปจุดชมวิวไม่มีไฟถนนสักดวง นี่เรามาถูกที่รึเปล่าเนี่ย
หลังจากทุลักทุเลกันมาอย่างยาวนานก็เห็นแสงไฟสว่างมาแต่ไกลเพราะที่เหลือมืดหมด ถึงสักทีนึกว่ามาผิดที่ซะแล้ว
ที่นี่จะเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชม คนไทย 30 บาทต่อคน ค่ารถ 60 บาทต่อคน
สำหรับคนที่นั่งรถขึ้นต้องเสียทั้งหมด 90 บาทครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะเดินขึ้นไปเหมือนกันแต่มันมืด
แล้วเลยต้องยอมนั่งรถขึ้นไป สำหรับค่าเช่าเต็นท์ 350 บาทต่อหลัง ค่าเช่าบ้านพัก 700 บาทต่อหลัง
โดยก่อนไปเราได้โทรสอบถามแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าห้องพักจะนอนกี่คนก็ได้ถ้ายัดไหว
พวกเราก็ตาวาวสิครับ 2 หลัง นอนหมดทุกคนไปเลย ปรากฎว่า ขึ้นไปถึงเห็นห้องก็อึ้งไปพักนึง
สภาพห้องสามารถนอนได้เต็มที่ 5 คน มีมุ้งไว้กันแมลง พัดลม 1 ตัว และปลั๊กไว้สำหรับชาร์จแบตต่างๆ
พวกเราเลยต้องเช่าเต็นท์เพิ่มอีก 2 หลังส่วนบ้านให้ผู้หญิงนอนหลังนึง ผู้ชายหลังนึง ที่เหลือเต๊นท์สิครับ
หลังจากจัดการที่นอนเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน อาบน้ำ ลืมบอกไปว่าข้างบนมีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้องครับ
เนื่องจากเราไปดึกร้านขายของเลยปิดไปแล้ว แต่พี่เจ้าของยังใจดีเหลือกาต้มน้ำไว้ให้ก็ต้มมาม่ากินมื้อดึกกันไป
กลางคืนที่นี่มืดมากจนมองไม่เห็นอะไร แต่เป็นจุดที่นักถ่ายภาพ จะมาถ่ายทางช้างเผือกกัน
ซึ่งการถ่ายทางช้างเผือกนั้นไม่ง่ายเลยเพราะต้องมีฝีมือในการถ่ายภาพและอุปกรณ์ที่ดี
ระหว่างรอห้องน้ำได้คุยกับพี่ที่ดูแล ว่าพรุ่งนี้จะไปเกาะปันหยี
แกแนะนำเรือให้ในราคาเหมา 2500 บาทเลยตกลงกันตามนั้น แยกย้ายกันเข้านอน
----------------------------------------------
จังงังอย่างเป็นทางการ
----------------------------------------------
หลังจากแสงอาทิตย์สะท้อนปุยเมฆ เข้าตาเป็นอันต้องลุกจากที่นอนและรูดซิปออกจากเต๊นท์เป็นอันต้องเช็คตัวเองว่าตื่นแล้วหรือยัง
เนื่องจากวิวที่เหมือนในหนัง อาทิตย์แสงทองสะท้อนผืนน้ำในอ่าวพังงากับภูเขาที่เรียงกันอย่างลงตัว
ถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลากว่าจะได้ลงจากจุดชมวิวก็ 9.00 น. ถึงพื้นโดยสวัสดิภาพสถานีต่อไปท่าเรือบ้านหินร่มไม่ไกลจากจุดชมวิว
เพื่อไปกินข้าวและขึ้นเรือสู่เกาะปันหยี รอบๆท่าเรือบ้านหินร่ม ที่บ้านหินร่มมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านด้วยนะ
หลังจากอิ่มเอมกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่เป้าหมายถัดไปเกาะปันหยีๆๆๆ นั่นเอง
ระหว่างทางก็เห็นวิถีชีวิตของชาวประมง และวิวต่างๆอีกมากมาย
แวะพักกันซักหน่อยที่เกาะทะลุเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย
ด้วยความซนจึงปีนขึ้นไปดูวิวที่มุมสูงปรากฎว่าต้นไม้ปิดซะมิด อดถ่ายภาพกันไปตามระเบียบ
แวะเพียงแปปเดียวไปต่อกันเลย
.................................
ถึงแล้วเกาะตาหยี ที่มีชื่อนี้เพราะว่าแดดร้อนมากถ้าเราถ่ายรูปมาตาจะหยี ไม่ใช่ !
เกาะปันหยี คำว่า “ปันหยี” แปลว่า “ธง” มาจากสัญลักษณ์นัดหมายของชาวอินโดนิเซีย
ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ รู้ว่าที่นี่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเรือน
ชาวบ้านบนเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ตลอดจนร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหารอีกมากมาย
ออกจะผิดหวังนิดหน่อยเพราะคิดว่าจะมีความเป็นเอกลักษณ์ประจำเกาะมากกว่านี้ แต่ก็ทดแทนด้วยความใจดีของชาวปันหยีไม่เป็นไรเราให้อภัยได้
เพื่อนลองขอทำโรตี ทำเสียไปอันนึงพี่เค้าก็ไม่คิดตัง ที่เหลือทอดขายเพื่อนไหม้บ้างเกรียมบ้างกินๆกันไป
เติมพลังเรียบร้อยแล้วเดินต่อไปที่มัสยิดประจำเกาะ
คุยกับพี่สิทธิถึงความเป็นมาของเกาะ ความเป็นอยู่ปัจจุบัน ยิ่งคุยก็ยิ่งเพลินจนพี่เขาต้องไปละหมาดเป็นอันต้องลากันไป
ใครว่างก็ลองแวะไปคุยได้นะครับพี่เขาคุยสนุกมาก
ก่อนกลับถ่ายรูปเป็นที่ระทึกซักหน่อย เผื่อวันหลังกลับไปคุยด้วยด้วย ฮา
บรรยากาศรอบๆมัสยิด เด็กเล่นตีไก่ชน ข้างมัสยิดเป็นบ้านอยู่อาศัย
เดินทอดน่องกันจนกรอบได้ที่แล้วก็ได้เวลาลาจากเกาะปันหยี แล้ววันหลังจะมาเยือนใหม่
ออกจากเกาะปันหยีแวะตามเกาะต่างๆ จนหมดแรงและกลับสู่ฝั่งอย่างปลอดภัย
นาฬิกาบอกเวลาบ่าย2 ออกเดินทางเข้าเมืองทันทีเพราะกลัวว่าจะมืดเสียก่อนเข็ดกับไฟทางเสม็ดนางชีแล้ว
เนื่องจากทางคดเคี้ยวขึ้นเขา แวะพักสักหน่อยที่ Tree Cups Phang Nga Coffee ร้านกาแฟใต้ต้นไม้ใหญ่ กับทางที่เหมือนเข้าป่าอีกเช่นเคย
ออกเดินทางกันต่อสู่ที่พักของเรา ตะกั่วป่าสเตชั่นโฮเตล ที่อ.ตะกั่วป่า ติดสถานีขนส่ง กว่าจะถึงก็ฟ้ามืดเช็คอิน
หาอะไรกิน นั่งพูดคุยกันเล็กน้อยก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
[CR] [Review][CR] นะจังงังที่พังงา
นะจังงัง ที่พังงา
3 วัน 2 คืน
---------------------------------------------------
หากเอ่ยถึงพังงา ใครๆก็คงนึกถึงทะเล สวยน้ำใส และกิจกรรมดำน้ำเป็นอันดับต้นๆ
แต่สำหรับรีวิวนี้ทุกท่านจะได้เห็นทะเลสวย น้ำใส แต่กิจกรรมดำน้ำนั้นคงต้องงดไว้ก่อน
เพราะเรามาตามหาวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจังหวัดพังงากัน โดยก่อนการเดินทาง
เราก็หาอ่านรีวิวและคาดหวังไว้ว่าจะได้เก็บภาพสวยๆ ข้อมูลดีๆเหมือนรีวิวที่พี่ๆเพื่อนๆเขียนกันบ้าง
แต่!! ทุกสิ่งใช่จะเป็นดังที่เราคาดไว้เสมอไปและนี่คือการเดินทางที่พวกเราได้ไป
นะจังงังกันที่พังงา ขอให้ทุกท่านร่วมเดินทางไปด้วยกันนะครับ
ทริปนี้พวกเราเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน จากดอนเมือง-ภูเก็ต เราเลือกเที่ยวบินที่ประหยัดที่สุด จึงได้สายการบินไลอ้อนแอร์มา
เนื่องจากพวกเราไปกันหลายที่ก็เลยเลือกที่จะเช่ารถ เพื่อความสะดวก รับรถเสร็จก็แวะทานข้าว
และข้ามสะพานสารสินสู่พังงาอย่างเป็นทางการเสียที
จุดแรกที่เราแวะกันคือจุดชมวิวเสม็ดนางชี ที่ทุกท่านกล่าวขานถึงว่าวิวสวยนักหนาจะสวยสักแค่ไหน
ตอนนี้พระอาทิตย์ตกแล้วทางไปจุดชมวิวไม่มีไฟถนนสักดวง นี่เรามาถูกที่รึเปล่าเนี่ย
หลังจากทุลักทุเลกันมาอย่างยาวนานก็เห็นแสงไฟสว่างมาแต่ไกลเพราะที่เหลือมืดหมด ถึงสักทีนึกว่ามาผิดที่ซะแล้ว
ที่นี่จะเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชม คนไทย 30 บาทต่อคน ค่ารถ 60 บาทต่อคน
สำหรับคนที่นั่งรถขึ้นต้องเสียทั้งหมด 90 บาทครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะเดินขึ้นไปเหมือนกันแต่มันมืด
แล้วเลยต้องยอมนั่งรถขึ้นไป สำหรับค่าเช่าเต็นท์ 350 บาทต่อหลัง ค่าเช่าบ้านพัก 700 บาทต่อหลัง
โดยก่อนไปเราได้โทรสอบถามแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าห้องพักจะนอนกี่คนก็ได้ถ้ายัดไหว
พวกเราก็ตาวาวสิครับ 2 หลัง นอนหมดทุกคนไปเลย ปรากฎว่า ขึ้นไปถึงเห็นห้องก็อึ้งไปพักนึง
สภาพห้องสามารถนอนได้เต็มที่ 5 คน มีมุ้งไว้กันแมลง พัดลม 1 ตัว และปลั๊กไว้สำหรับชาร์จแบตต่างๆ
พวกเราเลยต้องเช่าเต็นท์เพิ่มอีก 2 หลังส่วนบ้านให้ผู้หญิงนอนหลังนึง ผู้ชายหลังนึง ที่เหลือเต๊นท์สิครับ
หลังจากจัดการที่นอนเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน อาบน้ำ ลืมบอกไปว่าข้างบนมีห้องอาบน้ำ 2 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้องครับ
เนื่องจากเราไปดึกร้านขายของเลยปิดไปแล้ว แต่พี่เจ้าของยังใจดีเหลือกาต้มน้ำไว้ให้ก็ต้มมาม่ากินมื้อดึกกันไป
กลางคืนที่นี่มืดมากจนมองไม่เห็นอะไร แต่เป็นจุดที่นักถ่ายภาพ จะมาถ่ายทางช้างเผือกกัน
ซึ่งการถ่ายทางช้างเผือกนั้นไม่ง่ายเลยเพราะต้องมีฝีมือในการถ่ายภาพและอุปกรณ์ที่ดี
ระหว่างรอห้องน้ำได้คุยกับพี่ที่ดูแล ว่าพรุ่งนี้จะไปเกาะปันหยี
แกแนะนำเรือให้ในราคาเหมา 2500 บาทเลยตกลงกันตามนั้น แยกย้ายกันเข้านอน
----------------------------------------------
จังงังอย่างเป็นทางการ
----------------------------------------------
หลังจากแสงอาทิตย์สะท้อนปุยเมฆ เข้าตาเป็นอันต้องลุกจากที่นอนและรูดซิปออกจากเต๊นท์เป็นอันต้องเช็คตัวเองว่าตื่นแล้วหรือยัง
เนื่องจากวิวที่เหมือนในหนัง อาทิตย์แสงทองสะท้อนผืนน้ำในอ่าวพังงากับภูเขาที่เรียงกันอย่างลงตัว
ถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลากว่าจะได้ลงจากจุดชมวิวก็ 9.00 น. ถึงพื้นโดยสวัสดิภาพสถานีต่อไปท่าเรือบ้านหินร่มไม่ไกลจากจุดชมวิว
เพื่อไปกินข้าวและขึ้นเรือสู่เกาะปันหยี รอบๆท่าเรือบ้านหินร่ม ที่บ้านหินร่มมีโฮมสเตย์ของชาวบ้านด้วยนะ
หลังจากอิ่มเอมกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางสู่เป้าหมายถัดไปเกาะปันหยีๆๆๆ นั่นเอง
ระหว่างทางก็เห็นวิถีชีวิตของชาวประมง และวิวต่างๆอีกมากมาย
แวะพักกันซักหน่อยที่เกาะทะลุเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย
ด้วยความซนจึงปีนขึ้นไปดูวิวที่มุมสูงปรากฎว่าต้นไม้ปิดซะมิด อดถ่ายภาพกันไปตามระเบียบ
แวะเพียงแปปเดียวไปต่อกันเลย
.................................
ถึงแล้วเกาะตาหยี ที่มีชื่อนี้เพราะว่าแดดร้อนมากถ้าเราถ่ายรูปมาตาจะหยี ไม่ใช่ !
เกาะปันหยี คำว่า “ปันหยี” แปลว่า “ธง” มาจากสัญลักษณ์นัดหมายของชาวอินโดนิเซีย
ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ รู้ว่าที่นี่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเรือน
ชาวบ้านบนเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ตลอดจนร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหารอีกมากมาย
ออกจะผิดหวังนิดหน่อยเพราะคิดว่าจะมีความเป็นเอกลักษณ์ประจำเกาะมากกว่านี้ แต่ก็ทดแทนด้วยความใจดีของชาวปันหยีไม่เป็นไรเราให้อภัยได้
เพื่อนลองขอทำโรตี ทำเสียไปอันนึงพี่เค้าก็ไม่คิดตัง ที่เหลือทอดขายเพื่อนไหม้บ้างเกรียมบ้างกินๆกันไป
เติมพลังเรียบร้อยแล้วเดินต่อไปที่มัสยิดประจำเกาะ
คุยกับพี่สิทธิถึงความเป็นมาของเกาะ ความเป็นอยู่ปัจจุบัน ยิ่งคุยก็ยิ่งเพลินจนพี่เขาต้องไปละหมาดเป็นอันต้องลากันไป
ใครว่างก็ลองแวะไปคุยได้นะครับพี่เขาคุยสนุกมาก
ก่อนกลับถ่ายรูปเป็นที่ระทึกซักหน่อย เผื่อวันหลังกลับไปคุยด้วยด้วย ฮา
บรรยากาศรอบๆมัสยิด เด็กเล่นตีไก่ชน ข้างมัสยิดเป็นบ้านอยู่อาศัย
เดินทอดน่องกันจนกรอบได้ที่แล้วก็ได้เวลาลาจากเกาะปันหยี แล้ววันหลังจะมาเยือนใหม่
ออกจากเกาะปันหยีแวะตามเกาะต่างๆ จนหมดแรงและกลับสู่ฝั่งอย่างปลอดภัย
นาฬิกาบอกเวลาบ่าย2 ออกเดินทางเข้าเมืองทันทีเพราะกลัวว่าจะมืดเสียก่อนเข็ดกับไฟทางเสม็ดนางชีแล้ว
เนื่องจากทางคดเคี้ยวขึ้นเขา แวะพักสักหน่อยที่ Tree Cups Phang Nga Coffee ร้านกาแฟใต้ต้นไม้ใหญ่ กับทางที่เหมือนเข้าป่าอีกเช่นเคย
ออกเดินทางกันต่อสู่ที่พักของเรา ตะกั่วป่าสเตชั่นโฮเตล ที่อ.ตะกั่วป่า ติดสถานีขนส่ง กว่าจะถึงก็ฟ้ามืดเช็คอิน
หาอะไรกิน นั่งพูดคุยกันเล็กน้อยก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน