ล่องใต้ ณ ปันหยี กับคนหล่อๆ 5 คน

สวัสดีทุกๆคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้นะครับ วันนี้พวกผมจะมารีวิวการไปเที่ยวเกาะปันหยีของพวกเรากัน เนื่องจากพวกเราเป็นนักศึกษาและได้ลงเรียนในรายวิชา GEN441 ซึ่งชื่อเต็มๆของวิชานี้คือ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เป็นวิชาๆนึงของพระจอมเกล้าสักที่นึง ซึ่งการเรียนในช่วงท้ายจะเป็นการให้นักศึกษาจับกลุ่มและไป Backpack Trip กัน กลุ่มของพวกผมประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คนรวมตัวผมแล้ว มีสมาชิกดังนี้
 
คนหน้าสุดฝั่งซ้ายผมเองชื่อทอย คนขวาชื่อขาม ต่อมาแถวกลางฝั่งซ้ายชื่อเอิร์ธและขวาชื่อเสครับ และบักตัวท้าย เราจะเรียกเขาว่าบังขามนะครับเพราะทริปนี้มีขาม 2 คนเลยต้องหาชื่อที่ไม่ซ้ำ 555 ซึ่งในรูปนี้เป็นตอนที่เรากำลังออกเดินทางจากกรุงเทพไปจังหวัดพังงา เวลาตี 3  แล้วทำไมเราถึงเลือกไป เกาะปันหยี จังหวัดพังงาหล่ะ นั่นก็เพราะว่า พวกเราอยากล่องใต้ แค่นั้นเลยครับ พวกเราทั้ง 5 คนเคยไปแต่ภูเขาเป็นส่วนใหญ่ แถมทะเลที่ไปก็มีแค่โซน ชลบุรี ระยอง หรือหัวหิน พวกเรายังไม่เคยไปปักษ์ใต้กันเลย เลยตัดสินใจที่จะไปภาคใต้กัน แล้วภาคใต้นี้มีชุมชนไหนที่เป็นชุมชนเด่นๆที่มีชื่อเสียง ซึ่งหนึ่งในนั้นพวกเราได้นึกถึงเกาะปันหยีเป็นที่แรกๆ และได้หาดูรีวิวจากเว็บหรือ Youtube หลังจากดูรีวิวเสร็จพวกเราก็ตัดสินใจที่จะไปที่นี่กันเลย 555 พวกเราได้เดินทางในวันที่ 20 เมษายน เวลา ตี 3 โดยไปรถยนต์ส่วนตัว แต่ในที่นี้ผมอยากแนะนำคนที่เข้ามาอ่านแล้วมีความสนใจที่จะไป ให้นั่งเครื่องบินไปหรือไปรถทัวร์จะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยและไม่เหนื่อยด้วย พวกผมเอารถไปเพราะเวลาอยากจะแวะที่ไหนพวกผมก็สามารถแวะได้แต่ต้องแอบแลกมาด้วยค่าน้ำมันที่โคตรโหดหน่อยๆ เดะมาบอกว่าเท่าไหร่ 555 TT ถ้ารัฐดีน้ำมันคงไม่แพงแน่ๆ555 เอาหล่ะๆนอกเรื่องพอแล้ว พวกเราเดินทางตี 3 ซึ่งขามเป็นคนขับและจะไปแวะกินข้าวเช้ากันที่ครัวคุณสาหร่าย จังหวัดชุมพร
 
ซึ่งไปถึงที่ครัวคุณสาหร่ายเวลา 9.00 เราใช้เวลากินอยู่พักนึง ก็ได้เดินทางต่อ ซึ่งหลังจากนี้ผมจะเปลี่ยนกับขามเป็นคนขับ เราวิ่งบนถนนเพชรเกษมยาวๆเลย มีช่วงที่พวกเราแวะเข้าห้องน้ำอยู่ที่นึงที่จังหวัดชุมพร ผมได้เข้าไปทำธุระในห้องน้ำแต่ดันลืมว่าตัวเองวางกระเป๋าไว้ด้วยในห้องน้ำแล้วผมขับออกมาได้พักนึงแล้ว ผมนี่รีบยูเทิร์นกลับอย่างไว และใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเพราะด้านในมีแต่ของสำคัญทั้งนั้น ได้แต่นั่งคิดพร้อมกังวลไปด้วยว่า กูจะเอากระเป๋าลงไปทำไมวะ555 พอไปถึงปั๊มก็รีบวิ่งไปในห้องน้ำ แต่เหมือนพระมาโปรดเพราะมีสามีภรรยาคู่นึงได้ตะโกนเรียกผมอย่างดัง และถามผมว่า ลืมอะไรไว้ในห้องน้ำหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่า ใช่ครับลืมกระเป๋าไว้ และเขาได้เก็บกระเป๋าของผมไว้ให้พร้อมจอดรอผมด้วย555 ผมตอนนั้นน้ำตาแทบไหลเพราะไม่นึกว่าจะเจอคนที่ดีขนาดนี้ หลังจากได้ของคืนและขอบคุณเขาเสร็จ เราก็ได้เดินทางต่อ ผมขับจนถึง แยกกม.18 จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนหมายเลข 401 ไปจนถึงแยกอ.พนม ตอนนี้ตรงนี้ก็กำลังสร้างวงเวียน เราเลี้ยวซ้ายที่แยกนี้และยิงยาวไปจนถึงจังหวัดพังงาเลยและได้แวะถ่ายรูปที่ป้ายสักหน่อยเพื่อเช็คอิน555
 
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เข้าไปในตัวเมืองพังงาเพื่อที่จะซื้อของใช้ที่จำเป็น หลังจากนั้นเราก็ไปถึงที่ท่าเรือท่าด่าน และได้โทรบอกที่พักให้มารับพวกเรา
หลังจากที่เรือมาแล้วเราก็ได้นั่งเรือไปที่เกาะปันหยีพร้อมกับชมวิวข้างทางไปด้วย
 
และเราก็มาถึงเกาะปันหยีกันแล้ว และที่นี่คือเกาะปันหยี จังหวัดพังงาครับ แน่นอนการมาที่นี่ก็มีกฎของชาวบ้านเกาะปันหยีด้วยนะครับ นั่นก็คือการห้ามนำ
3ส เข้ามาในเกาะ 1.สุนัข 2.สุกร 3.สุรา 3ส. นี้ห้ามนำเข้ามาในเกาะเด็ดขาด เพราะเป็นมติของชุมชนชาวปันหยีที่นับถือศาสนาอิสลามนั่นเองครับ
 
หลังจากที่เรามาถึงเกาะเราก็ได้ไปเช็คอินที่พักกันก่อน ถ้าไม่เช็คอินก็ไม่นอนอ่ะดิ555 ที่พักที่นี่มีชื่อว่า เจมส์บอนด์ 007 แพ่มม!!! 
ที่นี่มีชื่อว่า เจมส์บอนด์ บังกะโลว นั่นเองงงงงงง
 
สำหรับราคาห้องพักเราได้เช่าห้องพักเป็น 2 ห้อง ซึ่งเป็นห้องพัดลมหมดเลย ห้องที่อยู่3คน ราคาจะตกที่ประมาณ 1500 บาท และห้อง 2 คน 1200 บาท เรานอนกัน 2 คืน ราคารวมทั้งหมดจะอยู่ที่ 5400 บาท ซึ่งพอเราหารรวมกันเสร็จก็จะตกคนละ 1080 บาท ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้วด้วยนะ หลังจากที่เราพักผ่อนกันเสร็จพวกเราก็ได้เดินดูชุมชนโดยจุดหมายเราอันดับแรกเลยคือ สนามฟุตบอลลอยน้ำที่โด่งดังไปทั่วโลก มาถึงก็ได้ถ่ายเช็คอินกันหน่อย555
 
ถ้ามาปันหยีแล้วไม่มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงนะครับ 555 ตอนเรามาถึงก็ได้เห็นเด็กๆในชุมชนได้เตะบอลเล่นกัน พวกเรากำลังจะลงไปเล่นแล้ว แต่ยังก่อนกลัว
จะเล่นโหดเกินไป 555 หยอกๆ เพราะถึงเวลากินข้าวเราเลยต้องไปกินข้าวก่อน ซึ่งร้านที่จะไปก็คือ เรือนแพจ๊ะจ๋าซีฟู้ด นั่นเอง
 
พอเรามาถึงเจ้าของร้านได้เดินมาบอกเราว่าจ่ายคนละ 200 เขาจะเตรียมอาหารมาให้เป็นชุดเลย เราก็ตกลงกันจ่ายคนละ 200 และนี่คือหน้าตาอาหารของพวกเราครับ
 
เอาจริงๆอาหารเยอะมากๆเลย มีต้มยำทะเล ปลาราดพริก ผัดผงกระหรี่ทะเล ผัดพริกไก่ ไข่เจียวและผัดผักครับ แน่นอนที่จะไม่มีเมนูหมูนะครับ เพราะเป็นชุมชนของชาวมุสลิมนะครับอย่าลืม เอาจริงๆพวกผมกินกันไม่หมดด้วย เพราะเยอะมากๆขนาดมี 5 คน ยังกินไม่หมดเลย 555 หลังจากที่เราได้กินอิ่มแล้วก็นั่งมองพระอาทิตย์ตกกันสักหน่อย เพราะสวยมากจริงๆครับ อยากให้ทุกคนได้เห็นจริงๆ มันสวยมากๆ
  
หลังจากที่พวกเรากินข้าวและดื่มด่ำกับบรรยากาศเสร็จก็ได้เดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้พวกเราจะทำการออกเรือไปตามหาวันพีซกัน ต้องพักผ่อนกันก่อนออกเรือด้วย 555
ตอนกลางคืนมีถ่ายรูปสักหน่อยตอนเดินออกมาหาไรกิน555 คุณจะสังเกตว่าน้ำขึ้นสูงมาก ถ้าเป็นตอนเช้าเนี่ย น้ำจะลงจนเห็นพื้นดินด้านล่างเลยหล่ะ
 
และแล้วก็มาถึงวันที่ 21 เมษายน พวกเราตื่นเช้ามาด้วยความเหนื่อย เพราะเมื่อวานเดินทางกันยาวนานเอาส้ะเมื่อยกันไปหมด 555 หลังจากตื่นเช้ามาก็มากินข้าวเช้ากันก่อนเลย นี่คืออาหารเช้าที่ทางที่พักได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเรา ก็จะเป็นข้าวต้มไก่ ขนมปังปิ้ง มีโอวันตินร้อนๆให้กินด้วยนะ
 
หลังจากทานข้าวเช้าเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทางไปตามล่าวันพีซกัน ซึ่งเราได้จ้างเรือของทางที่พัก ราคาเหมาเต็มวัน 3000 บาท ตกคนละประมาณ 600 บาท ซึ่งทางที่พักจะพาเราไปเที่ยวระแวกนั้นหมดเลย อาทิเช่น เขาตะปู เขาทะลุ เขาพิงกัน รวมไปถึงถ้ำลอดด้วย และเราก็ได้ออกเรือกันตอน 10.00
 
ที่แรกที่พวกเรามาถึงเลยก็คือ ถ้ำลอดนั่นเอง

ทางด้านขวาเราจะเห็นเป็นถ้ำลอด เพื่อลอดไปอีกฝั่งนึง แต่ไปได้เฉพาะเรือแคนูนะ เรือหางยาวจะเข้าไปไม่ได้ จะสังเกตเห็นคนต่างชาติพายเรือไปที่นั่นมากเลย และด้านหลังของถ้ำลอดจะเป็นร่องแคบให้เราเข้าไปซึ่งให้บรรยากาศเหมือนยุคดึกดำบรรพ์เลยทีเดียวเชียว
 
หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางไปกันที่ เขาตะปู แน่นอนเขานี้ดังมากๆ เพราะชื่อที่ต่างชาติรู้จักกันดีคือ Jamesbond Island เพราะในปี 2517 ได้มีการถ่ายหนังเรื่อง เจมส์บอนด์ 007 กันที่เขาตะปูนั่นเองครับ รูปด้านล่างคือรูปส่วนหนึ่งจากหนังเจมส์บอนด์นั่นเองครับ

ที่นี่มีค่าเข้าชมเกาะด้วยนะ คนละ 60 บาทครับ จ่ายเงินสดอย่างเดียวครับไม่มีโอนนะ คนที่มาเตรียมเงินสดมากันให้พร้อมด้วยน้า
  
หลังจากที่เราเข้าไปแล้วก็จะเจอเขาตะปูยืนเด่นเป็นสง่ารายล้อมไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมาย และที่นี้มีของฝากอย่างสร้อยไข่มุกหรือกำไลไข่มุกให้พวกเราได้ซื้อไปเป็นของฝากด้วยนะ
  
เขาต่อไปที่เราจะไปก็คือเขาพิงกันซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเขาตะปูเลย ที่นี่จะมีความแปลกตาคือเหมือนเขามันพิงกันอยู่นั่นเอง จนดูน่าอัศจรรย์มาก สันนิษฐานว่าในอดีตกาล คาดว่าจะเป็นภูเขาลูกเดียวกัน แต่ได้ถูกฟ้าผ่าหรือสายฟ้าฟาดอย่างปราณีตจนแยกภูเขาดังกล่าวออกเป็นสองลูก ที่แนบชิดติดกันหรือพิงกันหรืออาจเกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ภูเขาดังกล่าว เกิดรอยร้าวหรือปริแยกเป็นสองส่วน ที่มีลักษณะคล้ายถูกของมีคมตัดเป็นเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา แต่ยัง ไม่ได้ถูกแยกออกจากกันกลับถูกปล่อยให้ยังคงแนบชิดติดกัน จนถูกเรียกว่า เขาพิงกัน
  
ต่อไปคือเกาะสุดท้ายที่เราจะไปกันนั่นก็คือ เกาะทะลุ นั่นเองครับ หลังจากที่เรือจอดที่ท่าของเกาะเราจะต้องเดินขึ้นไปยังเขาทะลุซึ่งจะมีลักษณะเป็นถ้ำทะลุไปอีกฝั่งนึงเลยครับ ทางขึ้นต้องบอกว่าชันมากและเหนื่อยมาก
  
หลังจากที่ขึ้นมาถึงก็จะมีถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่บนเกาะนี้ ซึ่งภายในมีเสียงค้างคาวด้วย และนี่คือภายในถ้ำครับ
  
ภายในถ้ำมีความกว้างมาก แต่มีพวกมือบอนเยอะมากที่ได้มาเที่ยวที่นี่และได้เขียนชื่อของตัวเองเขียนไว้ตามหินในถ้ำ ใครที่มาที่นี่ไม่ควรทำอย่างยิ่งนะครับ ในรูปภาพด้านหลังจะมีทางเดินเข้าไปซึ่งจะทะลุมองเห็นอีกฝั่งของเกาะนึงเลยครับ ที่นี่เป็นเกาะหินปูนขนาดไม่ใหญ่มากนัก บริเวณด้านเหนือของเกาะ มีถ้ำลอดขนาดเล็กยาวประมาณ 10 เมตร และมีซอกหลืบอยู่หลายแห่งกรุ๊ปทัวร์นิยมพาลูกทัวร์มาพายเรือแคนูลอดถ้ำและพายไปชมป่าชายเลนรอบๆเกาะนี้ เป็นเขาหินปูนฃ เรือลอดผ่านได้ตลอดเวลา ภายในมีหินย้อยสวยงามเป็นถ้ำหินงอก หิน ย้อย ที่กำเนิดจากแรงกัดเซาะของคลื่น ทะลุทะลวง จนเป็นโพลง และมีแอ่งน้ำตกขนาดเล็กเป็น ชั้น ๆ อยู่ในถ้ำด้วย 
    
ซึ่งถ้ามองลงไปจะรู้ว่ามันสูงกว่าที่เห็นในรูปมากๆ ต้องระวังกันด้วยนะครับตรงส่วนนี้ ถ้าไม่ระวังอาจจะลื่นตกลงไปได้
หลังจากที่เราล่องเรือเสร็จก็ได้เวลากลับเกาะปันหยีเพื่อไปทานข้าวกันเราไปถึงเกาะปันหยีกันประมาณบ่าย 3 และได้เดินเท้าไปที่ครัวไม้ไผ่กันซึ่งเป็นร้านอาหารตามสั่งเจ้าดังของเกาะปันหยีเลยครับ ราคาตกอยู่ประมาณจานละ 80 บาท
  
หลังจากที่เรากินข้าวเสร็จก็ได้ไปเดินทัวร์รอบเกาะกัน จะเห็นว่าวิถีชุมชนที่นี่คือประมงและการพานักท่องเที่ยวเที่ยวและทำธุรกิจค้าขายกันนะครับ
เราได้เดินมากันที่มัสยิดเกาะปันหยีครับ ซึ่งเป็นสถานที่ทำกิจกรรมทางศาสนาของชาวมุสลิมบนเกาะปันหยีครับ ซึ่งพวกผมกำลังจะเข้าไปแต่มีชาวบ้านได้ห้ามไว้ว่าห้ามเข้าไป ซึ่งเป็นเพราะคนที่จะเข้าไปได้ต้องนับถือศาสนาอิสลามนะครับ ใกล้ๆกับมัสยิดจะมีกุโบร์อยู่ ซึ่งแปลว่า สุสานนั่นเองครับจะอยู่ติดกับผาหินสูงๆของเกาะปันหยีนั่นเองครับ
[img]https://f.ptcdn.info/607/080/000/run4fl2c6ovj9oVJiSivi-o.png[/i
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่