ขอเท้าความเรื่องให้ฟังอาจยาวหน่อยแต่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น คือปัญหาที่รอการแก้ไขให้จบค่ะ
ครอบครัวดิฉัน มีพี่น้องสามคน คุณพ่อและคุณแม่มีอาชีพทำไร่ ทำสวน
มาค่อนชีวิตของท่านค่ะ ดิฉันเป็นลูกคนโตที่สามารถเรียนจบรับปริญามีรูปมาติดข้างฝาให้ท่านภาคภูมิใจได้เป็นคนแรก ดิฉันมีน้องชาย และ น้องสาว น้องชายเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแอบครอปตอนปี 2 พ่อแม่มารู้ว่าแอบดรอปเพราะหลอกว่าให้ไปรับปริญาจบแล้ว พ่อกับแม่จะชวนญาติๆไปก็ไม่ให้ชวนมาสารภาพวินาทีสุดท้ายค่ะ เราและพ่อแม่ได้แต่อึ้ง
น้องสาวเรียนปีสุดท้ายแต่ก็ไม่ไหวดรอป ท่านไม่ดุเพราะว่าส่งเรียนแล้วไม่สนใจก็ช่วยไม่ได้ อีกอย่างน้องสองคนก็ขัดสนเรื่องเงินบ้างที่บางทีพ่อแม่และดิฉันสมทบให้ไม่ทัน
งานแต่งดิฉันก็ทำให้พ่อกับแม่ได้ยิ้มหน้าบานอีกครั้งเพราะแขก
เหรื่อมาร่วมงานมากมาย หลังจากนั้นดิฉันได้ย้ายมาอยู่บ้านสามีทำ
อาชีพค้าขายมีเงินส่งให้พ่อกับแม่ทำไร่ ทำสวนได้ทุกปีค่ะ
น้องสาวและน้องชายช่วยกันค้าขายอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง ก็แยกย้ายกัน
เพราะน้องสาวมีครอบครัว น้องชายก็มีสาวมาติดพันและได้ไปทำงานกับ
รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังไปได้ดีค่ะ เพราะน้องชายอัทยาศัยดี พูดจานิ่มนวล ไม่สูบบุหรี่ ดื่มบ้างนิดหน่อย ทำยอดขายแต่ละเดือนตัวเลขสวยเลยทีเดียว
แล้ววันหนึ่งน้องสาวก็แวะมาส่งข่าวว่า รุ่นพี่ให้หาเงินไปใช้หนี้เพราะตรวจสอบพบว่าน้องชายดิฉันยักยอกทรัพย์ในร้านหากไม่อยากให้เรื่องถึงโรงถึงศาลให้รีบจัดการด้วย
ดิฉันสามคนพี่น้องกลับบ้านไปหาพ่อกับ แม่ค่ะ แน่นอนว่าน้องชายดิฉันหนีออกจากร้านรุ่นพี่แล้วปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรกันดีเพราะแม่ดิฉันหัวโบราณ ไม่อยากให้ลูกชายต้องเดินเข้าซังเต ขอร้องให้ดิฉันช่วยน้องซักครั้ง ถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้มันจะไปทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาเงินไปให้เค้าก่อนซักก้อนจ่ายบ้างดีกว่าไม่จ่ายเลยที่เหลือค่อยขอผ่อนผันเอา แล้วจะเอาเงินสี่แสนกว่าบาทที่ไหนดีละ
(ทำไมเยอะจังเลยเอาไปทำอะไรนะส่งบ้านให้พ่อแม่ก็ใช่)
รุ่นพี่ไปหาเส้นทางการโอนเงินได้แต่เค้ายังไม่บอกค่ะจะเก็บไว้รอ
ดำเนินคดีอย่างเดียวหากเราไม่หาเงินชำระหนี้ ช่วงแรกเค้าโทรมากดดันมาก ส่วนพ่อกับแม่ดิฉันเห็นแต่รอยเปื้อนน้ำตาแทนรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วค่ะ
ดิฉันถามพ่อว่า มีใบที่ ใบไร่ใบสวน ใบไหนเอาเข้าแบงค์ได้บ้าง เงียบค่ะ มาถึงขั้นนี้ ล้วพ่อบอกว่าให้น้องชายพูดความจริงกับดิฉัน
เถอะ ที่ดินแปลง A ซึ่งเป็นชื่อของพ่อ น้องชาย
ได้ขอร้องพ่อ ด้วยเหตยกเมฆ ยกภูเขา ยกแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลมาอ้างขอยืมพ่อให้เอาไปขายฝาก
กับนายหน้าที่ดินค่ะ ร้อยละ 5 ต่อเดือนทำสัญญาขายฝากกำหนด 2 ปี (*ช๊อค 1)
ด้วยความเป็นลูกเป็นพ่อดิฉันเข้าใจค่ะ แต่พ่อเสียท่าไม่ประเมินความรับผิดชอบของลูกชายเลยว่าจะมีความสามารถชำระหนี้ได้มั้ย แม่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าพ่อลูกแอบทำกันค่ะ แม่ก็รู้พร้อมกับดิฉันค่ะ ดิฉันเริ่มโกรธน้องและไม่พอใจอย่างมากอยากตำหนิพ่อค่ะที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย ดิฉันทราบเรื่องเหลือเวลาแค่ 6 เดือนก็ครบกำหนดการไถ่ถอนค่ะ ยอด หกแสนบาทรวมดอกเบี้ยที่ค้าง เฉพาะดอกเบี้ย 2 ปี เกินครึ่งของเงินต้นค่ะ
เพราะน้องชายดิฉันชำระดอกแค่เดือนเดียวตั้งแต่ขายฝากไปค่ะ
ดิฉันเลิกสนใจเรื่องน้องชายที่มีปัญหากับรุ่นพี่และบอกแม่ว่า หนูไม่ยุ่งด้วยแล้วค่ะ ให้ช่วยเหลือตัวเองเถอะ
หลายอาทิตย์ต่อมาดิฉันกลับบ้านด้วยความสงสัย
ปนระแวงระหว่างทำกับข้าวในครัวกับแม่เลยถามแม่ว่า โฉนดที่บ้าน
(แปลง D)อยู่กับใคร แม่บอกก็อยู่ที่ ธกส.งัยเอาไว้จะสิบปีแล้ว ห๊ะ...!!!อะไรนะไว้ตั้งแต่พวกเองเรียนหนังสือ ขาดส่งดอกตั้งหลายปี แต่พ่อทำเรื่องผ่อนผันไว้
แล้วแปลง B กับ C ละ แม่ตอบไม่รู้ไปถามพ่อซิพ่อเก็บไว้
พ่อๆ เอกสารที่ดิน แปลง B กับ C อยู่ที่ใคร ไม่รู้ไปถามแม่ซิแม่เก็บไว้ อ้าว...!!เอางัยหว่า เรียกน้องชายมาถามค่ะ ประโยคเดิมว่าเห็นเอกสารใบที่ดินแปลง B กับ C มั้ย...เข่าแทบทรุด ไล่บี้น้องชายจนสารภาพน้องชายดิฉันแอบขโมยเอาไปจำนำไว้กับร้อยละ 10 ต่อเดือนค่ะ จ่ายดอกเดือนละ 15,000 ( ช๊อค 2*) ตอนนั้นอย่าเรียกว่าใช้มือกุมขมับเลย งานนี้ใช้ทั้งมือทั้งเท้ากุมขมับเลยละค่ะ
หลังจากเกิดเรื่องน้องชายเงียบหายตัวไปอยู่กับแฟน จัดการแต่ธุระของตัวเอง ส่วนน้องสาวดิฉันบอกให้หาทางช่วยพี่หน่อยเถอะคำตอบคือ น้องสาวไม่มีเงินค่ะ
ดิฉันนำเรื่องไปปรึกษา สามีค่ะ งานนี้สามีฟังจบแล้วเงียบ เพราะจะหาเงินที่ไหนตั้งมากมายไปจัดการธุระนี้ได้ละแล้วบรรยากาศความเงียบเหมือนป่าช้าในบ้านก็เกิดขึ้น ดิฉันทั้งเศร้า ทั้งเครียด ทั้งสงสารพ่อกับแม่ หาทางออกไม่เจอ ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แม้แน่น้อย เหมือนตัวเองยืนอยู่บนปากเหวแค่ใช้นิ้วก้อยผลักก็ตกไปตายไม่เห็นซาก สามีพิจารณาแล้วคงเห็นว่าถ้าช่วยผลดีมีมากกว่าผลเสีย อย่างน้อยก็ต่อชีวิต
คนแก่ได้อีกหลายปีโข เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องพ่อกับแม่นอนผวาทุกคืน
สภาพร่างกายและจิตใจคนแก่คงไม่ต้องพูดถึงว่าทรมานแค่ไหน
ไหนลูกชายจะเดินเข้าซังเต ไหนที่ดินจะถูกเจ้าหนี้ยึด ถ้าไม่ไถ่เท่ากับ
ไม่เหลือสมบัติเลยค่ะ
เราจึงเริ่มลำดับความสำคัญว่าใบไหนเจ้าหนีจะยึดก่อน ทำหน้าทีตัดตอน ติดต่อกับเจ้าหนี้โดยตรงว่าดิฉันทราบเรื่องน้องชาย และขอจัดการธุระ
แทนน้องชายเอง (โอ้ย...น้องเธอนะนัดจะโอนวันนี้ วันนั้น ผลัดวันประกันพรุ่ง บลาๆๆๆๆ แหมเอาใหญ่เลยนะ...เจ้าหนี้)
ดิฉันยอมเสียดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ร้อยละ 10 1 เดือนค่ะ ครบกำหนดดิฉันนำเงิน (หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)ที่ได้จากการขายทรัพย์สินส่วนตัวเป็นทองรูปพรรณของดิฉันเองไปไถ่ถอน แปลง (B+C) ออกมาดูซักครั้ง
หน้าตามันเป็นเยี่ยงไร เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยจะสนใจทรัพย์สินพ่อกับแม่เลย
ส่วนแปลง (A)ต้องหาเงินอีก หกแสนบาทโอ้ย..จะไปเอาที่ไหนละงานนี้ พ่อแม่ และดิฉันไปขอยืมญาติพี่น้องทั้งฝั่งสองฝั่งของพ่อและแม่คำตอบคือ ไม่มีค่ะ เริ่มจะทำใจไม่อยากหาเงินมาไถ่แล้วแต่พ่อก็เสียดายเพราะเป็นสมบัติที่ย่าซื้อให้ก่อนตายแปลง(A)นี้เป็นชื่อพ่อค่ะ เห็นหน้าพ่อแล้วสงสารจับใจค่ะ
ดิฉันขายรถได้เงินมา หกหมื่นบาท เพื่อใช้วิ่งทำธุระหาแหล่งเงินค่ะโดยไปขอยืมใบบ้านของสามีและใช้แปลง (B)ของพ่อมายื่นกู้ร่วมกับพ่อที่ ธกส.ค่ะ
โดยต้องเคลียรและชำระหนี้ดอกเบี้ยคงค้างใบบ้านที่ติดธกส.ทั้งหมดก่อน เพื่อดึงพ่อเข้าระบบและจะปรับฐานลูกค้าให้ ใบบ้านคือแปลง( D)ค่ะ
ระหว่างทำเรื่องเดินทางบ่อยเพราะยื่นกู้ต่างสาขาสามีเป็นธุระให้จนสำเร็จ รอประมาณสามเดือนธกส.อนุมัตให้เงินครึ่งหนึ่งของราคาประเมิน
ได้เงินมา สองแสนสี่หมื่นค่ะ สามีดิฉันนึกขึ้นได้ ว่าดิฉันทำประกันไว้กับแบงค์ดอกบัว ชำระครบตามจำนวนปีที่ระบุแล้วเปลือแค่รอเวลาให้ทำเรื่องเวนคืนก่อนได้เงินมา หนึ่งแสนสามหมื่นค่ะ
ก็ยังไม่พออยู่ดี ระหว่างช่วงหาเงินให้พ่อเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ว่าพอจะลดดอกให้บ้างได้มั้ย ทั้งไปตัวคนเดียว ทั้งชวนคนค้ำประกันไปช่วยพูดถึงสามรอบก็ไม่เป็นผลสำเร็จค่ะ สรุปต้องหาเงินให้ครบซินะ ฮือๆๆ
บากหน้าเข้าไปหาญาติพ่ออีกรอบขอขายที่ติดกันให้สามแสนเอามั้ย ที่สวยแต่เป็นสปก.เค้าบอกถ้าจะซื้อให้ราคาแค่สองแสน คิดดูแล้วขาดทุนเพราะที่หลายแปลงไม่คุ้ม ดิฉันจึงเสนอว่างั้นหนูขอเอาใบที่จำนองไว้ญาติพ่อตกลงแต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ สองหมื่นให้กำหนด 4 ปี ถ้าถึงกำหนดไม่มีเงินไถ่เค้าจะยึดเรายอมค่ะ เพราะต้องหาเงินให้ครบไปไถ่แปลงA ให้จงได้
น้องชายคงไม่ต้องพูดถึงเงียบหายเข้ากลีบเมฆค่ะส่วนน้องสาวดิฉันไล่บี้ให้หาเงินมาช่วยหกหมื่นบาทเพราะได้ความว่าแบ่งเอาเงินจากน้องชายไปใช้ค่ะ
สรุปหาเงินไปไถ่ถอนที่ได้พร้อมกับจะครบกำหนดพอดีใจตุ้มๆต่อมๆ
กลัวเจ้าหนี้โยกเยกเพระเค้าแอบมาดูที่ดิฉันแล้วว่าไถ่ไม่ทันก็สุดคุ้มไม่มี
เสียค่ะดิฉันตกลงให้เค้าช่วยค่าโอน ทำเรื่องโอนที่สนง.ที่ดินจึงรู้ว่าเค้าเป็นคนกว้างขวางหากินโดยยึดอาชีพนี้ค่ะมีเงินทำห้องพักหลายแห่ง
พ่อให้โอนเป็นชื่อดิฉันค่ะ เพราะท่านตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าที่ดินแปลงนี้หากไม่มีเรื่องแบบนี้จะยกใหลูกสาวคนโต และแปลงๆต่อไปก็ให้เป็นของน้องชายและน้องสาวตามลำดับค่ะ
เรื่องลงเอยเหมือนจะจบลงด้วยดี เหมือนใครหลายคนบอกว่า ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอแต่คงไม่ใช่สำหรับดิฉันค่ะ ตัวดิฉันเองก็ไม่ใช่คนก่อเรื่อง แต่ต้องมารับภาระทุกอย่างเรื่องในบ้านค่ะ พยายามคุยกับน้องให้ช่วยหาทาง
ออกให้หน่อย เพราะตอนนี้สมบัติของพ่อแม่ทุกแปลงนำเข้าระบบให้หมดแล้วให้ช่วยกันใช้หนี้หน่อยอย่างน้อยให้เข้าไปคุยกับสามีดิฉันว่าควรจะจัด
การกันอย่างไงได้บ้างเงียบค่ะ ไม่เคยติดต่อ ไม่เคยถาม เราได้แต่บ่นกับพ่อและแม่เพราะยังเครียดที่สิ้นปีต้องหาเงินมาจ่ายดอกค่ะ ไหนจะหาทุนทำไร่ และเงินที่ได้จากไร่เอามาจ่ายหนี้
ตอนนี้น้องสาวดิฉันเกิดอาการคิดถึงบ้าน บอกอยากกลับมาอยู่บ้านกับแม่ค่ะ โดยจะพาสามีมาอยู่ด้วยค้าขายเล็กๆน้อยๆโดยบอกผ่านๆดิฉันค่ะ
เหตุผลไม่อยากอยู่บ้านแม่สามี และกำลังทำเรื่องยื่นกู้เงินจาก ธกส.โดยเอาที่ดินของฝ่ายสามีมาทำเรื่องยื่นกู้ แต่ใช้ชื่อน้องสาวดิฉันยื่นกู้ค่ะตอนแรกแม่กับพ่อดิฉันให้จดทะเบียนสมรสให้บอกไม่อยากจดเพราะมีหนี้สินเยอะ แต่พอจะใช้ชื่อน้องดิฉันยื่นกู้มาจดแบบไม่ต้องบอกเลยค่ะน้องสาวดิฉันบอกว่า ยื่นกู้แค่ชื่อแต่สามีน้องสาวใช้หลักทรัพย์สามีค้ำประกันค่ะ
และบอกว่าจะปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่หลังบ้านแม่ค่ะ ดิฉันค้านพ่อกับแม่ค่ะ ว่าน้องสาวจะมาอยู่กับแม่ก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ว่าในเมื่อปัญหามันยังคาราคาซังอยู่จะเข้ามาอยู่ช่วงนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เรารู้ปัญหากันไว้ดีกว่าแก้ไม่ดีเหรอแม่ พ่อกับแม่เห็นด้วยค่ะแต่น้องสาวบอกว่า บ้านก็บ้านแม่ทำไมน้องสาวก็ลูกทำไมมาอยู่ไม่ได้พอเงินกู้น้องที่ทำเรื่องไว้ออกประมาณสามแสน น้องเลยไปปลูกบ้านอยู่ที่ดินของสามีน้องค่ะ
.........มีต่อค่ะ....
ขอความอนุเคราะห์ท่านผู้รู้ นักกฏหมาย ทนายความ โปรดช่วยชี้ทางออกของปัญหานี้ด้วยเถิดค่ะ
ครอบครัวดิฉัน มีพี่น้องสามคน คุณพ่อและคุณแม่มีอาชีพทำไร่ ทำสวน
มาค่อนชีวิตของท่านค่ะ ดิฉันเป็นลูกคนโตที่สามารถเรียนจบรับปริญามีรูปมาติดข้างฝาให้ท่านภาคภูมิใจได้เป็นคนแรก ดิฉันมีน้องชาย และ น้องสาว น้องชายเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแอบครอปตอนปี 2 พ่อแม่มารู้ว่าแอบดรอปเพราะหลอกว่าให้ไปรับปริญาจบแล้ว พ่อกับแม่จะชวนญาติๆไปก็ไม่ให้ชวนมาสารภาพวินาทีสุดท้ายค่ะ เราและพ่อแม่ได้แต่อึ้ง
น้องสาวเรียนปีสุดท้ายแต่ก็ไม่ไหวดรอป ท่านไม่ดุเพราะว่าส่งเรียนแล้วไม่สนใจก็ช่วยไม่ได้ อีกอย่างน้องสองคนก็ขัดสนเรื่องเงินบ้างที่บางทีพ่อแม่และดิฉันสมทบให้ไม่ทัน
งานแต่งดิฉันก็ทำให้พ่อกับแม่ได้ยิ้มหน้าบานอีกครั้งเพราะแขก
เหรื่อมาร่วมงานมากมาย หลังจากนั้นดิฉันได้ย้ายมาอยู่บ้านสามีทำ
อาชีพค้าขายมีเงินส่งให้พ่อกับแม่ทำไร่ ทำสวนได้ทุกปีค่ะ
น้องสาวและน้องชายช่วยกันค้าขายอยู่ด้วยกันพักหนึ่ง ก็แยกย้ายกัน
เพราะน้องสาวมีครอบครัว น้องชายก็มีสาวมาติดพันและได้ไปทำงานกับ
รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังไปได้ดีค่ะ เพราะน้องชายอัทยาศัยดี พูดจานิ่มนวล ไม่สูบบุหรี่ ดื่มบ้างนิดหน่อย ทำยอดขายแต่ละเดือนตัวเลขสวยเลยทีเดียว
แล้ววันหนึ่งน้องสาวก็แวะมาส่งข่าวว่า รุ่นพี่ให้หาเงินไปใช้หนี้เพราะตรวจสอบพบว่าน้องชายดิฉันยักยอกทรัพย์ในร้านหากไม่อยากให้เรื่องถึงโรงถึงศาลให้รีบจัดการด้วย
ดิฉันสามคนพี่น้องกลับบ้านไปหาพ่อกับ แม่ค่ะ แน่นอนว่าน้องชายดิฉันหนีออกจากร้านรุ่นพี่แล้วปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรกันดีเพราะแม่ดิฉันหัวโบราณ ไม่อยากให้ลูกชายต้องเดินเข้าซังเต ขอร้องให้ดิฉันช่วยน้องซักครั้ง ถ้าผ่านเรื่องนี้ไปได้มันจะไปทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้าอย่างนั้นเราต้องหาเงินไปให้เค้าก่อนซักก้อนจ่ายบ้างดีกว่าไม่จ่ายเลยที่เหลือค่อยขอผ่อนผันเอา แล้วจะเอาเงินสี่แสนกว่าบาทที่ไหนดีละ
(ทำไมเยอะจังเลยเอาไปทำอะไรนะส่งบ้านให้พ่อแม่ก็ใช่)
รุ่นพี่ไปหาเส้นทางการโอนเงินได้แต่เค้ายังไม่บอกค่ะจะเก็บไว้รอ
ดำเนินคดีอย่างเดียวหากเราไม่หาเงินชำระหนี้ ช่วงแรกเค้าโทรมากดดันมาก ส่วนพ่อกับแม่ดิฉันเห็นแต่รอยเปื้อนน้ำตาแทนรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วค่ะ
ดิฉันถามพ่อว่า มีใบที่ ใบไร่ใบสวน ใบไหนเอาเข้าแบงค์ได้บ้าง เงียบค่ะ มาถึงขั้นนี้ ล้วพ่อบอกว่าให้น้องชายพูดความจริงกับดิฉัน
เถอะ ที่ดินแปลง A ซึ่งเป็นชื่อของพ่อ น้องชาย
ได้ขอร้องพ่อ ด้วยเหตยกเมฆ ยกภูเขา ยกแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลมาอ้างขอยืมพ่อให้เอาไปขายฝาก
กับนายหน้าที่ดินค่ะ ร้อยละ 5 ต่อเดือนทำสัญญาขายฝากกำหนด 2 ปี (*ช๊อค 1)
ด้วยความเป็นลูกเป็นพ่อดิฉันเข้าใจค่ะ แต่พ่อเสียท่าไม่ประเมินความรับผิดชอบของลูกชายเลยว่าจะมีความสามารถชำระหนี้ได้มั้ย แม่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าพ่อลูกแอบทำกันค่ะ แม่ก็รู้พร้อมกับดิฉันค่ะ ดิฉันเริ่มโกรธน้องและไม่พอใจอย่างมากอยากตำหนิพ่อค่ะที่ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลย ดิฉันทราบเรื่องเหลือเวลาแค่ 6 เดือนก็ครบกำหนดการไถ่ถอนค่ะ ยอด หกแสนบาทรวมดอกเบี้ยที่ค้าง เฉพาะดอกเบี้ย 2 ปี เกินครึ่งของเงินต้นค่ะ
เพราะน้องชายดิฉันชำระดอกแค่เดือนเดียวตั้งแต่ขายฝากไปค่ะ
ดิฉันเลิกสนใจเรื่องน้องชายที่มีปัญหากับรุ่นพี่และบอกแม่ว่า หนูไม่ยุ่งด้วยแล้วค่ะ ให้ช่วยเหลือตัวเองเถอะ
หลายอาทิตย์ต่อมาดิฉันกลับบ้านด้วยความสงสัย
ปนระแวงระหว่างทำกับข้าวในครัวกับแม่เลยถามแม่ว่า โฉนดที่บ้าน
(แปลง D)อยู่กับใคร แม่บอกก็อยู่ที่ ธกส.งัยเอาไว้จะสิบปีแล้ว ห๊ะ...!!!อะไรนะไว้ตั้งแต่พวกเองเรียนหนังสือ ขาดส่งดอกตั้งหลายปี แต่พ่อทำเรื่องผ่อนผันไว้
แล้วแปลง B กับ C ละ แม่ตอบไม่รู้ไปถามพ่อซิพ่อเก็บไว้
พ่อๆ เอกสารที่ดิน แปลง B กับ C อยู่ที่ใคร ไม่รู้ไปถามแม่ซิแม่เก็บไว้ อ้าว...!!เอางัยหว่า เรียกน้องชายมาถามค่ะ ประโยคเดิมว่าเห็นเอกสารใบที่ดินแปลง B กับ C มั้ย...เข่าแทบทรุด ไล่บี้น้องชายจนสารภาพน้องชายดิฉันแอบขโมยเอาไปจำนำไว้กับร้อยละ 10 ต่อเดือนค่ะ จ่ายดอกเดือนละ 15,000 ( ช๊อค 2*) ตอนนั้นอย่าเรียกว่าใช้มือกุมขมับเลย งานนี้ใช้ทั้งมือทั้งเท้ากุมขมับเลยละค่ะ
หลังจากเกิดเรื่องน้องชายเงียบหายตัวไปอยู่กับแฟน จัดการแต่ธุระของตัวเอง ส่วนน้องสาวดิฉันบอกให้หาทางช่วยพี่หน่อยเถอะคำตอบคือ น้องสาวไม่มีเงินค่ะ
ดิฉันนำเรื่องไปปรึกษา สามีค่ะ งานนี้สามีฟังจบแล้วเงียบ เพราะจะหาเงินที่ไหนตั้งมากมายไปจัดการธุระนี้ได้ละแล้วบรรยากาศความเงียบเหมือนป่าช้าในบ้านก็เกิดขึ้น ดิฉันทั้งเศร้า ทั้งเครียด ทั้งสงสารพ่อกับแม่ หาทางออกไม่เจอ ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แม้แน่น้อย เหมือนตัวเองยืนอยู่บนปากเหวแค่ใช้นิ้วก้อยผลักก็ตกไปตายไม่เห็นซาก สามีพิจารณาแล้วคงเห็นว่าถ้าช่วยผลดีมีมากกว่าผลเสีย อย่างน้อยก็ต่อชีวิต
คนแก่ได้อีกหลายปีโข เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องพ่อกับแม่นอนผวาทุกคืน
สภาพร่างกายและจิตใจคนแก่คงไม่ต้องพูดถึงว่าทรมานแค่ไหน
ไหนลูกชายจะเดินเข้าซังเต ไหนที่ดินจะถูกเจ้าหนี้ยึด ถ้าไม่ไถ่เท่ากับ
ไม่เหลือสมบัติเลยค่ะ
เราจึงเริ่มลำดับความสำคัญว่าใบไหนเจ้าหนีจะยึดก่อน ทำหน้าทีตัดตอน ติดต่อกับเจ้าหนี้โดยตรงว่าดิฉันทราบเรื่องน้องชาย และขอจัดการธุระ
แทนน้องชายเอง (โอ้ย...น้องเธอนะนัดจะโอนวันนี้ วันนั้น ผลัดวันประกันพรุ่ง บลาๆๆๆๆ แหมเอาใหญ่เลยนะ...เจ้าหนี้)
ดิฉันยอมเสียดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ร้อยละ 10 1 เดือนค่ะ ครบกำหนดดิฉันนำเงิน (หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน)ที่ได้จากการขายทรัพย์สินส่วนตัวเป็นทองรูปพรรณของดิฉันเองไปไถ่ถอน แปลง (B+C) ออกมาดูซักครั้ง
หน้าตามันเป็นเยี่ยงไร เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยจะสนใจทรัพย์สินพ่อกับแม่เลย
ส่วนแปลง (A)ต้องหาเงินอีก หกแสนบาทโอ้ย..จะไปเอาที่ไหนละงานนี้ พ่อแม่ และดิฉันไปขอยืมญาติพี่น้องทั้งฝั่งสองฝั่งของพ่อและแม่คำตอบคือ ไม่มีค่ะ เริ่มจะทำใจไม่อยากหาเงินมาไถ่แล้วแต่พ่อก็เสียดายเพราะเป็นสมบัติที่ย่าซื้อให้ก่อนตายแปลง(A)นี้เป็นชื่อพ่อค่ะ เห็นหน้าพ่อแล้วสงสารจับใจค่ะ
ดิฉันขายรถได้เงินมา หกหมื่นบาท เพื่อใช้วิ่งทำธุระหาแหล่งเงินค่ะโดยไปขอยืมใบบ้านของสามีและใช้แปลง (B)ของพ่อมายื่นกู้ร่วมกับพ่อที่ ธกส.ค่ะ
โดยต้องเคลียรและชำระหนี้ดอกเบี้ยคงค้างใบบ้านที่ติดธกส.ทั้งหมดก่อน เพื่อดึงพ่อเข้าระบบและจะปรับฐานลูกค้าให้ ใบบ้านคือแปลง( D)ค่ะ
ระหว่างทำเรื่องเดินทางบ่อยเพราะยื่นกู้ต่างสาขาสามีเป็นธุระให้จนสำเร็จ รอประมาณสามเดือนธกส.อนุมัตให้เงินครึ่งหนึ่งของราคาประเมิน
ได้เงินมา สองแสนสี่หมื่นค่ะ สามีดิฉันนึกขึ้นได้ ว่าดิฉันทำประกันไว้กับแบงค์ดอกบัว ชำระครบตามจำนวนปีที่ระบุแล้วเปลือแค่รอเวลาให้ทำเรื่องเวนคืนก่อนได้เงินมา หนึ่งแสนสามหมื่นค่ะ
ก็ยังไม่พออยู่ดี ระหว่างช่วงหาเงินให้พ่อเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ว่าพอจะลดดอกให้บ้างได้มั้ย ทั้งไปตัวคนเดียว ทั้งชวนคนค้ำประกันไปช่วยพูดถึงสามรอบก็ไม่เป็นผลสำเร็จค่ะ สรุปต้องหาเงินให้ครบซินะ ฮือๆๆ
บากหน้าเข้าไปหาญาติพ่ออีกรอบขอขายที่ติดกันให้สามแสนเอามั้ย ที่สวยแต่เป็นสปก.เค้าบอกถ้าจะซื้อให้ราคาแค่สองแสน คิดดูแล้วขาดทุนเพราะที่หลายแปลงไม่คุ้ม ดิฉันจึงเสนอว่างั้นหนูขอเอาใบที่จำนองไว้ญาติพ่อตกลงแต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ สองหมื่นให้กำหนด 4 ปี ถ้าถึงกำหนดไม่มีเงินไถ่เค้าจะยึดเรายอมค่ะ เพราะต้องหาเงินให้ครบไปไถ่แปลงA ให้จงได้
น้องชายคงไม่ต้องพูดถึงเงียบหายเข้ากลีบเมฆค่ะส่วนน้องสาวดิฉันไล่บี้ให้หาเงินมาช่วยหกหมื่นบาทเพราะได้ความว่าแบ่งเอาเงินจากน้องชายไปใช้ค่ะ
สรุปหาเงินไปไถ่ถอนที่ได้พร้อมกับจะครบกำหนดพอดีใจตุ้มๆต่อมๆ
กลัวเจ้าหนี้โยกเยกเพระเค้าแอบมาดูที่ดิฉันแล้วว่าไถ่ไม่ทันก็สุดคุ้มไม่มี
เสียค่ะดิฉันตกลงให้เค้าช่วยค่าโอน ทำเรื่องโอนที่สนง.ที่ดินจึงรู้ว่าเค้าเป็นคนกว้างขวางหากินโดยยึดอาชีพนี้ค่ะมีเงินทำห้องพักหลายแห่ง
พ่อให้โอนเป็นชื่อดิฉันค่ะ เพราะท่านตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าที่ดินแปลงนี้หากไม่มีเรื่องแบบนี้จะยกใหลูกสาวคนโต และแปลงๆต่อไปก็ให้เป็นของน้องชายและน้องสาวตามลำดับค่ะ
เรื่องลงเอยเหมือนจะจบลงด้วยดี เหมือนใครหลายคนบอกว่า ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอแต่คงไม่ใช่สำหรับดิฉันค่ะ ตัวดิฉันเองก็ไม่ใช่คนก่อเรื่อง แต่ต้องมารับภาระทุกอย่างเรื่องในบ้านค่ะ พยายามคุยกับน้องให้ช่วยหาทาง
ออกให้หน่อย เพราะตอนนี้สมบัติของพ่อแม่ทุกแปลงนำเข้าระบบให้หมดแล้วให้ช่วยกันใช้หนี้หน่อยอย่างน้อยให้เข้าไปคุยกับสามีดิฉันว่าควรจะจัด
การกันอย่างไงได้บ้างเงียบค่ะ ไม่เคยติดต่อ ไม่เคยถาม เราได้แต่บ่นกับพ่อและแม่เพราะยังเครียดที่สิ้นปีต้องหาเงินมาจ่ายดอกค่ะ ไหนจะหาทุนทำไร่ และเงินที่ได้จากไร่เอามาจ่ายหนี้
ตอนนี้น้องสาวดิฉันเกิดอาการคิดถึงบ้าน บอกอยากกลับมาอยู่บ้านกับแม่ค่ะ โดยจะพาสามีมาอยู่ด้วยค้าขายเล็กๆน้อยๆโดยบอกผ่านๆดิฉันค่ะ
เหตุผลไม่อยากอยู่บ้านแม่สามี และกำลังทำเรื่องยื่นกู้เงินจาก ธกส.โดยเอาที่ดินของฝ่ายสามีมาทำเรื่องยื่นกู้ แต่ใช้ชื่อน้องสาวดิฉันยื่นกู้ค่ะตอนแรกแม่กับพ่อดิฉันให้จดทะเบียนสมรสให้บอกไม่อยากจดเพราะมีหนี้สินเยอะ แต่พอจะใช้ชื่อน้องดิฉันยื่นกู้มาจดแบบไม่ต้องบอกเลยค่ะน้องสาวดิฉันบอกว่า ยื่นกู้แค่ชื่อแต่สามีน้องสาวใช้หลักทรัพย์สามีค้ำประกันค่ะ
และบอกว่าจะปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่หลังบ้านแม่ค่ะ ดิฉันค้านพ่อกับแม่ค่ะ ว่าน้องสาวจะมาอยู่กับแม่ก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่ว่าในเมื่อปัญหามันยังคาราคาซังอยู่จะเข้ามาอยู่ช่วงนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เรารู้ปัญหากันไว้ดีกว่าแก้ไม่ดีเหรอแม่ พ่อกับแม่เห็นด้วยค่ะแต่น้องสาวบอกว่า บ้านก็บ้านแม่ทำไมน้องสาวก็ลูกทำไมมาอยู่ไม่ได้พอเงินกู้น้องที่ทำเรื่องไว้ออกประมาณสามแสน น้องเลยไปปลูกบ้านอยู่ที่ดินของสามีน้องค่ะ
.........มีต่อค่ะ....