เรื่องราวของการเดินทางในนามิเบียของผม
ก่อนจะเล่าเรื่องการเดินทางของผม ขออนุญาตแบ่งปันข้อมูลบางส่วนในแบบฉบับของผม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเติมจากท่านอื่นๆ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผมเองก็ได้รับข้อมูลจากครอบครัวบูลแพลนเน็ต แห่งนี้เหมือนกัน
ข้อมูลพอสังเขปดังนี้
แลกเงิน
ใช้เงิน South African Rand ; ZAR ของแอฟริกาใต้ แลกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าดังๆ เรทดีๆ ไปได้เลยครับ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 2.5 THB : 1 ZAR
ข้อดีคือสามารถใช้ได้ทุกที่ในนามิเบีย ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากัน และถ้าเหลือสามารถมาแลกคืนที่บ้านเราได้แตกหากเป็นเงินของนามิเบีย ไม่มีที่แลกในไทยนะครับ
SimCard
ที่สนามบิน พอผ่านตรวจคนเข้ามือมาจะมีบูทของ MTC อยู่ก่อนทางออก ก็ซื้อซิมอินเตอร์เน็ต ได้เลยครับ ผมเลือกมา 1.5 GB แต่ราคา 40 NT เอาไว้พอได้ดู GPS เล่น popular social network ต่างๆ และไว้โทรหา ม้าเร็วของบริษัทรถเช่า เผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยที่สัญญาณจะมีแค่ 3G ในเมืองหลัก และหางไกลออกไปลดเป็น Edge และสุดท้ายหายไปกับทะเลทราย แต่ไม่ต้องกังวลครับ แผนที่แบบ offline ก็สามารถใช้ได้ดี ไม่มีหลง
รถเช่า
การเลือกเช่ารถ หากต้องการขับตามถนนลูกลัง 4WD pickup truck หรือ off-road น่าจะเหมาะ หรือ จะ auto ฟรือ manual ก็ขึ้นกับความถนัดของแต่ละคน รถเช่าของ local agency มีมากมายหลายเจ้า แรกเลยที่เดียวผมก็ติดต่อไปสองสามเจ้า แต่ละเจ้าก็มีเงื่อนไขที่ไม่ตรงใจผมเท่าไร อาทิ ขับแบบระบุระยะทางหากเช่าน้อยวัน หรือไม่มีเกียร์ออโต้ หรือคนอื่นเช่าเต็ม ผม seek อยู่หลายวัน สุดท้ายมีเมล์เจ้าหนึ่งช่วยเหลือดีมากครับ เธอแนะนำให้ผมติดต่อไปยัง mail กลาง ของเคลือข่ายบริษัทรถเช้าในนามิเบีย แถมบอกข้อมูลว่า ไม่ต้องกังวล เมล์กลางที่ให้มา แค่โพสความต้องการเราครั้งเดียว จะ link ไปยังเอเจนซี่ต่างๆ เราแค่รอการติดต่อกลับ และยื่นข้อเสนอมาเอง เธอยังการันตีถึงปลอดภัย ไว้ใจได้ เนื่องจากทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยองค์กรอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ สุดท้าย หลังจากนั้นไม่น่าน mail ต่างๆ ก็ติดต่อผมมาไม่ขาดสาย ผมตัดสินใจเปรียบเทียบกับรีวิว ในทั้ง ทริปแอดไวเวอร์ และความรวดเร็วของการตอบเมล์ ผมจึงปรงใจเลือก Toyota Hilux 4x4 double cabin fully automatic จาก Africa 4x4 Rentals แบบไม่มี camping equipment (เนื่องจากผมพักที่โรงแรมหรือรีสอร์ท ตลอดทั้งทริป เสียดายไม่ได้สัมผัสบรรยาการแบบ camp site) และในวันที่รับรถ มีเจ้าหน้าที่มารับที่สนามบิน ไปยังบริษัทที่ไม่ไกลจากสนามบิน และโชคดีเป็นของผม วันรับรถ ผมได้รถใหม่ เครมว่ายังไม่ได้ออกทริปใด ทำให้ตลอดทริปไม่มีปัญหาเรื่องยางและปัญหาใดๆ จากการขับขี่ครั้งนี้เลย แต่ทางบริษัทก็มีสำรองยางให้สองเส้น แบบใหม่เอี่ยม พร้อมอธิบายแบบละเอียดยิบ ไฮลักตัวนี้ทำให้ผมขับสบาย ทำความเร็วได้ดังตั้งใจ เรื่องถังน้ำมัน ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเป็นแบบ double tanks เหมือนกัน วิ่งไปสองสามร้อยกิโล เข็มมาตรวัดน้ำมันยังแสดง full tank อยู่เลย ทำให้ ไม่วิตกเรื่องน้ำมันหมด เนื่องจากปั๊มน้ำมันจะมีเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งผมก็สั่งเติมแบบเต็มถัง ไว้เผื่อความสบายใจ เมื่อมาตรวัดตกลงกว่าฟูลแท๊คในส่วนเรื่องการบริการของ จนท ผมให้คะแนนเต็ม เช่นเดียวกับสภาพรถ แนะนำเพิ่มคือใครที่กลัวร้อน อย่าลืมติดม้านบังแดดแบบบ้านเราไปด้วย ได้ใช้ประโชน์อย่างแน่นอน เพราะรถเขาไม่ติดฟิมล์เหมือนบ้านเรานะครับ
สายการบิน
ผมเลือกบินกับ Egypt air เนื่องจากมีตั๋วบิสคราสราคาน่าสนใจพอดี และอีกอย่างผมสนใจที่จะแวะเที่ยวปิรามิด ด้วยเลยตัดสินใจบินหลายต่อ นั้นคือ BKK-Cairo-Johannesburg และ หาตั๋ว Johannesburg- Windhoek อีกที โดยที่ไคโรต้อง Transit 17 ชั่วโมง คือบินไปถึงเช้าหกโมง และขึ้นเครื่องอีกที ห้าทุ่ม แต่ทางสายการบินก็จะจัดที่พักให้ ซึ่งเป็นโรงแรม Le Méridien Cairo Airport ซึ่งคอมพลิเมนทารีนี้จัดให้ทุกคลาสเหมือนกันหมดครับ ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก เสียอย่างเดียวอืดอาดไปหน่อย นั้นคือ หลังจากเข้าอาคารผู้โดยสารข้าเข้า เราก็แจ้ง ที่เคาเตอร์ทรานสิท และเดินต่อไปยังหา Transfer accommodation ยื่น boarding pass และpassport ที่เหลือก็ยื่นรอ รอ และ รอ จนได้รับการเรียกซื่อไปพร้อมๆ กันกับ ผดส อื่นที่ต้องต่อเครื่องเช่นกัน จนท จะเดินไปส่ง (บางคนไม่เดินไปส่ง) จะเข้าช่องตรวจเข้าเข้ามืองแบบพิเศษ คือ เข้าจะยึด passport เราไว้ และให้ กระดาษ copy สีเหลืองที่มีซื่อเราทุกคนใน booking เดียวกัน ไว้แทน passport (แค่นี้ก็ไปเที่ยวในอียิปต์ได้อย่างสบายใจ) หลังจากนั้นก็เดินผ่านช่องแดงช่องเขียวเหมือนบ้านเรา แต่หากเจ้าหน้าที่ที่เดินไปส่งไม่ต้องผ่าน ลัดได้เลย ออกมาอาคารผู้โดยสารขาออก จะเห็นสพานเชื่อมไปยังโรงแรม ขึ้นลิฟต์ไปยัง Le Méridien Cairo Airport hotel ได้เลย จะมีจุดตรวจ X-ray ก่อนเข้า โรงแรมอีกรอบ และจนท รอเช็คอินแบบอืดอาดยืดยาด ให้ที่ทางเดินบนสพานลอยดังกล่าว และเราจะได้คูปองอาหาร ฟรีสามมื้อ พร้อม Key card เป็นอันเสร็จพิธี ที่เหลือ ผมก็รอไกลพร้อมคนขับที่ผมติดต่อไว้ามารับที่ลอบบี้ โรงแรม เพื่อไปยัง The Great Pyramid of Giza ที่เขาว่าเป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด นั้นเอง
วีซ่านามิเบีย
ข้อมูลส่วนนี้มีรายละเอียดที่ท่านอื่นๆแนะนำไว้เยอะมากแล้ว หลักๆคือคือต้องขอไปยังสถานฑูตที่อยู่ ณ กรุง กัวลาลัมเปอร์ ข้อมูลส่วนนี้และอื่นๆ ผมต้องขอขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ชาวพันทิปนี้แหละครับ อาทิเช่น คุณ TONTOXIN และ คุณ Solo Travel และที่ deeply impressed คือ เจ้าหน้าที่ สถานกงสุลสาธารณรัฐนามิเบีย ประจำประเทศไทย (ต้องขออภัยหากใช้คำหรือข้อมูลไม่ถูกต้อง) ท่านได้ให้การช่วยเหลือที่ดีมาก ทั้งแนะนำตลอดจนช่วยติดตามความคืบหน้าของวีซ่าให้จนได้มาในที่สุด
เริ่มต้นเดินทางกันเลยนะครับ
วันแรกที่เดินทางไปถึง วินด์ฮุก (Windhoek) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐนามิเบีย เนื่องจากมีผู้แนะนำว่าไม่ควรขับรถในตอนกลางคืน ผมจึงพักที่ Hilton Windhoek ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห่างจากสนามบินWindhoek International Airport.
ประมาณ 40 นาที สถาพบ้านเมืองของวิฮุกเป็บแบบเหมือนยุโรป จากที่สังเกต คนแอฟริกาใต้ จะเข้ามาประกอบธุรกิจกันเยอะในนามิเบีย ดังนั้นความเจริญจึงเป็นน้องของ Capetown กันเลยทีเดียว ความปลอดภัยถือได้ว่า ดีมาก ทั้งเจ็ดวันที่อยู่ในนามิเบียไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ดูแล้วจะน่ากลัวอะไร กลางคืนในเขตนี้ก็ดูเงียบสงบ ผู้คนขับรถมีมารยาท ส่วนใหญ่จะขับตามกฏจราจร ยกเว้นมีบางคนเท่านั้นที่คิดว่าใช้ความเร็วเกิน ปัญหารถติดที่นี้ไม่มีนะครับ ถนนในเมืองหลวงมีมาตรฐานสูงมากที่เดียว ข้อแนะนำ จะมีป้ายสัญญาณ ให้หยุดรถเมื่อถึงทางแยกต่างๆ กำกับไว้ ถึงแม้ไม่มีรถมาในทางตรงข้าม ก็ต้องจอด และบ้างครั้งต้องรอสัญญาณจากผู้ใช้ถนนร่วมท่านอื่น พยักหรือชี้ไม้ชี้มือให้ทางเราไปก่อน ดูมีระเบียบวินัยดีครับ
วันแรกผมขับรถออกจากจากวินฮุกเพื่อมุ่งหน้าลงตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเดินทางไปยังเมือง Rehoboth ตามเส้น B1 ซึ่งเป็นทางลาดยาง สามารถใช้ความเร็วตามป้านที่กำกับไว้ข้างทางเป็นระยะ ตั้งแต่ 100- 120 กม ต่อ ชม ต่อจากนี้เมืองนี้ไป จะเป็นถนนลูกลัง จนถึงเมือง Sessriem ใช้เวลา เกือบ 6 ชม. กับระยะทาง เกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่งจะมีจุดให้แวะระหว่างทางไปเรื่อยๆ และแต่ชอบ ในเส้นทางนี้ จะหารถวิ่งสวนหรือแซง น้อยมาก แต่ก็ไม่น่ากลัว ยกเว้นใครที่ไม่ชอบความอ้างว้าง สภาพแลนสเคป จะเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่สีเขียวเป็นสันเขาแห้งแล้ง และเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง แต่มีแรงดึงดูดความสนใจอย่างพิศวง ต่างจากทะเลทรายแถบอิหร่าน หรืออียิปต์ ตรงที่ จะเริ่มปรากฏสัตว์จำพวก โอริกซ์กาเซล (Oryx gazelle)
และนกกระจอกเทศ (Ostriches) ช่วยกันทำมาหากิน ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกันแบบใกล้ชิด ตามรายทางไปเรื่อยๆ
หลังจากที่ขับรถยาวนานเกือบทั้งวัน เราพักที่นี่ ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ไม่ไกลเกินจุดมุ่งหมายของเราในวันพรุ่งนี้คือขับรถแค่ห้านาทีก็ถึง Gate ของที่ทำการ Namib-Naukluft Park เพื่อไปยัง Sossusvlei และตามหาสถานที่ที่ซื่อว่า Deadvlei อันโด่งดังจนกลายเป็น Signature ของนามิเบียในสายตาของบรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
ที่พักแห่งนี้มีเครื่องครัวให้ประกอบอาหารเองแบบครบครัน อีกทั้งยังมี โอเอซิสแมนเมค เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่ไม่น้อย ไว้ให้เราคลายร้อน พร้อมกับจิบไวน์อันเลื่องชื่อของนามิเบีย ได้ฟินเวอร์ อากาศเริ่มเย็นลง จนถึงขั้นหนาวในตอนกลางคืน อุณหภูมิประมาณ 15 องศา ท้องฟ้ามือมิด ผมตั้งใจว่าคืนนี้จะต้องมาออกตามล่า ช้างเผือก ให้ได้ ตามพยากรณ์ที่ผมอ่านมาก ตีสี่เป็นเวลาที่จะเผยฝูงช้างเผือก เราจึงต้องนอนแต่หัวคำ่
และเมื่อถึงเวลานัดหมาย ก็ไม่ผิดหวัง ถึงแม้ว่าจะมีเฆษ มากไปสักนิดเนื่องจากมีฝนตกเป็นเนื่องๆ แต่ผมก็พอได้ซ้อมฝีมือที่ร่ำเรียนมาผ่านทางอากู๋ ที่กูรูหลายๆท่านได้แนะนำไว้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบทางช้างเผือก ฝีมืออาจะยังไม่เข้าขั้น ซึ่งของจริง นั้นสวยสมคำล่ำลือจริงๆ กอปกับ บรรยาการของสัตว์ป่าที่เดินเผ่นพลาน ออกหากินในเวลากลางคือ สลับกับเสียงหมาป่าห่อนไม่ไกลจากห้องพัก ทั้งหนาวทั้งเสียวไปพร้อมๆกันเลยที่เดียว
จากตัวหมู่บ้าน Sesriem ที่ประตูทางเข้านามิบ เนชั่นแนลปาร์ค เราจะต้องชำระค่าเข้าปาร์ค หรือหากเราเข้าแต่เช้า จนท เก็บตังส์ยังไม่มาทำงาน ก็ค่อยจ่ายตอนออก จะมีเจ้าหน้าที่ประตูจะบอกข้อมูลเราเอง จากุดนี้ไปอีก 65 กิโลเมตร จะเป็นถนนลาดยางตลอด ช่วงเวลาเปิดทำการคือประมาณ7 โมงเช้าถึง หนึ่งทุ่ม แล้วแต่ฤดู เช็คกับทาง official website ได้ครับ แต่หากว่าใครพักที่แคมป์ไชด์ ด้านในอุทยาน ก็สามารถเข้าไปชมได้ก่อนใคร บรรยากาศระหว่างทางทำให้เราต้องหยุดแวะทักทายบรรดาเจ้าถิ่นทั้งออริก และ Springbok ไปตลอดเส้นทาง จนถึง Sossusvlei ถนนก็จะถึงที่จอดรถ หากใครที่ใช้รคขับเคลื่อนสี่ล้อและไม่กลัวเรื่องรถติดหล่มทรายก็สามารถขับต่อไปยัง จุดที่ต้องเดินไปยัง Deadlei ได้เลย หรือหากไม่มี 4x4 driveก็ใช้บริการ Shuttle service ราคาประมาณ N$ 170 จุดท่องเที่ยวที่เป็น Highlight Sand dune 45 และแน่นอนคือ Dead-Vlei ซึ่งบริเวณที่ลงรถ จะต้องเดิน Hiking บนสันของsand dune slope ประมาณ 1 กิโลเมตร หากใครมีกำลังเหลือจะขึ้นไปบน Crazy dune ที่ถือว่าสูงที่สุดในบริเวณรอบๆ deadvlei นี้ ซึ่งจะได้วิวที่สวย คุ้มค่าแห่งความพยายาม ส่วน จขกท รึครับ เอาแค่ถึง deadvlei ก็ Hob drag แล้วละครับ ทรายของที่นี้ว่ากันว่าเป็น Silica หรือ Quartz ป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะส่งประกายสีทองแดงๆ ดังภาพ
[CR] Incredible Namibia ฉบับ A self-drive 4×4 trip กับ Driving distance: 2,284 Kms
เรื่องราวของการเดินทางในนามิเบียของผม
ก่อนจะเล่าเรื่องการเดินทางของผม ขออนุญาตแบ่งปันข้อมูลบางส่วนในแบบฉบับของผม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเติมจากท่านอื่นๆ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผมเองก็ได้รับข้อมูลจากครอบครัวบูลแพลนเน็ต แห่งนี้เหมือนกัน
ข้อมูลพอสังเขปดังนี้
แลกเงิน
ใช้เงิน South African Rand ; ZAR ของแอฟริกาใต้ แลกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าดังๆ เรทดีๆ ไปได้เลยครับ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 2.5 THB : 1 ZAR
ข้อดีคือสามารถใช้ได้ทุกที่ในนามิเบีย ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากัน และถ้าเหลือสามารถมาแลกคืนที่บ้านเราได้แตกหากเป็นเงินของนามิเบีย ไม่มีที่แลกในไทยนะครับ
SimCard
ที่สนามบิน พอผ่านตรวจคนเข้ามือมาจะมีบูทของ MTC อยู่ก่อนทางออก ก็ซื้อซิมอินเตอร์เน็ต ได้เลยครับ ผมเลือกมา 1.5 GB แต่ราคา 40 NT เอาไว้พอได้ดู GPS เล่น popular social network ต่างๆ และไว้โทรหา ม้าเร็วของบริษัทรถเช่า เผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยที่สัญญาณจะมีแค่ 3G ในเมืองหลัก และหางไกลออกไปลดเป็น Edge และสุดท้ายหายไปกับทะเลทราย แต่ไม่ต้องกังวลครับ แผนที่แบบ offline ก็สามารถใช้ได้ดี ไม่มีหลง
รถเช่า
การเลือกเช่ารถ หากต้องการขับตามถนนลูกลัง 4WD pickup truck หรือ off-road น่าจะเหมาะ หรือ จะ auto ฟรือ manual ก็ขึ้นกับความถนัดของแต่ละคน รถเช่าของ local agency มีมากมายหลายเจ้า แรกเลยที่เดียวผมก็ติดต่อไปสองสามเจ้า แต่ละเจ้าก็มีเงื่อนไขที่ไม่ตรงใจผมเท่าไร อาทิ ขับแบบระบุระยะทางหากเช่าน้อยวัน หรือไม่มีเกียร์ออโต้ หรือคนอื่นเช่าเต็ม ผม seek อยู่หลายวัน สุดท้ายมีเมล์เจ้าหนึ่งช่วยเหลือดีมากครับ เธอแนะนำให้ผมติดต่อไปยัง mail กลาง ของเคลือข่ายบริษัทรถเช้าในนามิเบีย แถมบอกข้อมูลว่า ไม่ต้องกังวล เมล์กลางที่ให้มา แค่โพสความต้องการเราครั้งเดียว จะ link ไปยังเอเจนซี่ต่างๆ เราแค่รอการติดต่อกลับ และยื่นข้อเสนอมาเอง เธอยังการันตีถึงปลอดภัย ไว้ใจได้ เนื่องจากทั้งหมดจะถูกควบคุมโดยองค์กรอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ สุดท้าย หลังจากนั้นไม่น่าน mail ต่างๆ ก็ติดต่อผมมาไม่ขาดสาย ผมตัดสินใจเปรียบเทียบกับรีวิว ในทั้ง ทริปแอดไวเวอร์ และความรวดเร็วของการตอบเมล์ ผมจึงปรงใจเลือก Toyota Hilux 4x4 double cabin fully automatic จาก Africa 4x4 Rentals แบบไม่มี camping equipment (เนื่องจากผมพักที่โรงแรมหรือรีสอร์ท ตลอดทั้งทริป เสียดายไม่ได้สัมผัสบรรยาการแบบ camp site) และในวันที่รับรถ มีเจ้าหน้าที่มารับที่สนามบิน ไปยังบริษัทที่ไม่ไกลจากสนามบิน และโชคดีเป็นของผม วันรับรถ ผมได้รถใหม่ เครมว่ายังไม่ได้ออกทริปใด ทำให้ตลอดทริปไม่มีปัญหาเรื่องยางและปัญหาใดๆ จากการขับขี่ครั้งนี้เลย แต่ทางบริษัทก็มีสำรองยางให้สองเส้น แบบใหม่เอี่ยม พร้อมอธิบายแบบละเอียดยิบ ไฮลักตัวนี้ทำให้ผมขับสบาย ทำความเร็วได้ดังตั้งใจ เรื่องถังน้ำมัน ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเป็นแบบ double tanks เหมือนกัน วิ่งไปสองสามร้อยกิโล เข็มมาตรวัดน้ำมันยังแสดง full tank อยู่เลย ทำให้ ไม่วิตกเรื่องน้ำมันหมด เนื่องจากปั๊มน้ำมันจะมีเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งผมก็สั่งเติมแบบเต็มถัง ไว้เผื่อความสบายใจ เมื่อมาตรวัดตกลงกว่าฟูลแท๊คในส่วนเรื่องการบริการของ จนท ผมให้คะแนนเต็ม เช่นเดียวกับสภาพรถ แนะนำเพิ่มคือใครที่กลัวร้อน อย่าลืมติดม้านบังแดดแบบบ้านเราไปด้วย ได้ใช้ประโชน์อย่างแน่นอน เพราะรถเขาไม่ติดฟิมล์เหมือนบ้านเรานะครับ
สายการบิน
ผมเลือกบินกับ Egypt air เนื่องจากมีตั๋วบิสคราสราคาน่าสนใจพอดี และอีกอย่างผมสนใจที่จะแวะเที่ยวปิรามิด ด้วยเลยตัดสินใจบินหลายต่อ นั้นคือ BKK-Cairo-Johannesburg และ หาตั๋ว Johannesburg- Windhoek อีกที โดยที่ไคโรต้อง Transit 17 ชั่วโมง คือบินไปถึงเช้าหกโมง และขึ้นเครื่องอีกที ห้าทุ่ม แต่ทางสายการบินก็จะจัดที่พักให้ ซึ่งเป็นโรงแรม Le Méridien Cairo Airport ซึ่งคอมพลิเมนทารีนี้จัดให้ทุกคลาสเหมือนกันหมดครับ ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก เสียอย่างเดียวอืดอาดไปหน่อย นั้นคือ หลังจากเข้าอาคารผู้โดยสารข้าเข้า เราก็แจ้ง ที่เคาเตอร์ทรานสิท และเดินต่อไปยังหา Transfer accommodation ยื่น boarding pass และpassport ที่เหลือก็ยื่นรอ รอ และ รอ จนได้รับการเรียกซื่อไปพร้อมๆ กันกับ ผดส อื่นที่ต้องต่อเครื่องเช่นกัน จนท จะเดินไปส่ง (บางคนไม่เดินไปส่ง) จะเข้าช่องตรวจเข้าเข้ามืองแบบพิเศษ คือ เข้าจะยึด passport เราไว้ และให้ กระดาษ copy สีเหลืองที่มีซื่อเราทุกคนใน booking เดียวกัน ไว้แทน passport (แค่นี้ก็ไปเที่ยวในอียิปต์ได้อย่างสบายใจ) หลังจากนั้นก็เดินผ่านช่องแดงช่องเขียวเหมือนบ้านเรา แต่หากเจ้าหน้าที่ที่เดินไปส่งไม่ต้องผ่าน ลัดได้เลย ออกมาอาคารผู้โดยสารขาออก จะเห็นสพานเชื่อมไปยังโรงแรม ขึ้นลิฟต์ไปยัง Le Méridien Cairo Airport hotel ได้เลย จะมีจุดตรวจ X-ray ก่อนเข้า โรงแรมอีกรอบ และจนท รอเช็คอินแบบอืดอาดยืดยาด ให้ที่ทางเดินบนสพานลอยดังกล่าว และเราจะได้คูปองอาหาร ฟรีสามมื้อ พร้อม Key card เป็นอันเสร็จพิธี ที่เหลือ ผมก็รอไกลพร้อมคนขับที่ผมติดต่อไว้ามารับที่ลอบบี้ โรงแรม เพื่อไปยัง The Great Pyramid of Giza ที่เขาว่าเป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด นั้นเอง
วีซ่านามิเบีย
ข้อมูลส่วนนี้มีรายละเอียดที่ท่านอื่นๆแนะนำไว้เยอะมากแล้ว หลักๆคือคือต้องขอไปยังสถานฑูตที่อยู่ ณ กรุง กัวลาลัมเปอร์ ข้อมูลส่วนนี้และอื่นๆ ผมต้องขอขอบคุณ พี่ๆ เพื่อนๆ ชาวพันทิปนี้แหละครับ อาทิเช่น คุณ TONTOXIN และ คุณ Solo Travel และที่ deeply impressed คือ เจ้าหน้าที่ สถานกงสุลสาธารณรัฐนามิเบีย ประจำประเทศไทย (ต้องขออภัยหากใช้คำหรือข้อมูลไม่ถูกต้อง) ท่านได้ให้การช่วยเหลือที่ดีมาก ทั้งแนะนำตลอดจนช่วยติดตามความคืบหน้าของวีซ่าให้จนได้มาในที่สุด
เริ่มต้นเดินทางกันเลยนะครับ
วันแรกที่เดินทางไปถึง วินด์ฮุก (Windhoek) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐนามิเบีย เนื่องจากมีผู้แนะนำว่าไม่ควรขับรถในตอนกลางคืน ผมจึงพักที่ Hilton Windhoek ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห่างจากสนามบินWindhoek International Airport.
ประมาณ 40 นาที สถาพบ้านเมืองของวิฮุกเป็บแบบเหมือนยุโรป จากที่สังเกต คนแอฟริกาใต้ จะเข้ามาประกอบธุรกิจกันเยอะในนามิเบีย ดังนั้นความเจริญจึงเป็นน้องของ Capetown กันเลยทีเดียว ความปลอดภัยถือได้ว่า ดีมาก ทั้งเจ็ดวันที่อยู่ในนามิเบียไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ดูแล้วจะน่ากลัวอะไร กลางคืนในเขตนี้ก็ดูเงียบสงบ ผู้คนขับรถมีมารยาท ส่วนใหญ่จะขับตามกฏจราจร ยกเว้นมีบางคนเท่านั้นที่คิดว่าใช้ความเร็วเกิน ปัญหารถติดที่นี้ไม่มีนะครับ ถนนในเมืองหลวงมีมาตรฐานสูงมากที่เดียว ข้อแนะนำ จะมีป้ายสัญญาณ ให้หยุดรถเมื่อถึงทางแยกต่างๆ กำกับไว้ ถึงแม้ไม่มีรถมาในทางตรงข้าม ก็ต้องจอด และบ้างครั้งต้องรอสัญญาณจากผู้ใช้ถนนร่วมท่านอื่น พยักหรือชี้ไม้ชี้มือให้ทางเราไปก่อน ดูมีระเบียบวินัยดีครับ
วันแรกผมขับรถออกจากจากวินฮุกเพื่อมุ่งหน้าลงตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเดินทางไปยังเมือง Rehoboth ตามเส้น B1 ซึ่งเป็นทางลาดยาง สามารถใช้ความเร็วตามป้านที่กำกับไว้ข้างทางเป็นระยะ ตั้งแต่ 100- 120 กม ต่อ ชม ต่อจากนี้เมืองนี้ไป จะเป็นถนนลูกลัง จนถึงเมือง Sessriem ใช้เวลา เกือบ 6 ชม. กับระยะทาง เกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่งจะมีจุดให้แวะระหว่างทางไปเรื่อยๆ และแต่ชอบ ในเส้นทางนี้ จะหารถวิ่งสวนหรือแซง น้อยมาก แต่ก็ไม่น่ากลัว ยกเว้นใครที่ไม่ชอบความอ้างว้าง สภาพแลนสเคป จะเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่สีเขียวเป็นสันเขาแห้งแล้ง และเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้าง แต่มีแรงดึงดูดความสนใจอย่างพิศวง ต่างจากทะเลทรายแถบอิหร่าน หรืออียิปต์ ตรงที่ จะเริ่มปรากฏสัตว์จำพวก โอริกซ์กาเซล (Oryx gazelle)
และนกกระจอกเทศ (Ostriches) ช่วยกันทำมาหากิน ให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกันแบบใกล้ชิด ตามรายทางไปเรื่อยๆ
หลังจากที่ขับรถยาวนานเกือบทั้งวัน เราพักที่นี่ ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่ไม่ไกลเกินจุดมุ่งหมายของเราในวันพรุ่งนี้คือขับรถแค่ห้านาทีก็ถึง Gate ของที่ทำการ Namib-Naukluft Park เพื่อไปยัง Sossusvlei และตามหาสถานที่ที่ซื่อว่า Deadvlei อันโด่งดังจนกลายเป็น Signature ของนามิเบียในสายตาของบรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
ที่พักแห่งนี้มีเครื่องครัวให้ประกอบอาหารเองแบบครบครัน อีกทั้งยังมี โอเอซิสแมนเมค เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่ไม่น้อย ไว้ให้เราคลายร้อน พร้อมกับจิบไวน์อันเลื่องชื่อของนามิเบีย ได้ฟินเวอร์ อากาศเริ่มเย็นลง จนถึงขั้นหนาวในตอนกลางคืน อุณหภูมิประมาณ 15 องศา ท้องฟ้ามือมิด ผมตั้งใจว่าคืนนี้จะต้องมาออกตามล่า ช้างเผือก ให้ได้ ตามพยากรณ์ที่ผมอ่านมาก ตีสี่เป็นเวลาที่จะเผยฝูงช้างเผือก เราจึงต้องนอนแต่หัวคำ่
และเมื่อถึงเวลานัดหมาย ก็ไม่ผิดหวัง ถึงแม้ว่าจะมีเฆษ มากไปสักนิดเนื่องจากมีฝนตกเป็นเนื่องๆ แต่ผมก็พอได้ซ้อมฝีมือที่ร่ำเรียนมาผ่านทางอากู๋ ที่กูรูหลายๆท่านได้แนะนำไว้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบทางช้างเผือก ฝีมืออาจะยังไม่เข้าขั้น ซึ่งของจริง นั้นสวยสมคำล่ำลือจริงๆ กอปกับ บรรยาการของสัตว์ป่าที่เดินเผ่นพลาน ออกหากินในเวลากลางคือ สลับกับเสียงหมาป่าห่อนไม่ไกลจากห้องพัก ทั้งหนาวทั้งเสียวไปพร้อมๆกันเลยที่เดียว
จากตัวหมู่บ้าน Sesriem ที่ประตูทางเข้านามิบ เนชั่นแนลปาร์ค เราจะต้องชำระค่าเข้าปาร์ค หรือหากเราเข้าแต่เช้า จนท เก็บตังส์ยังไม่มาทำงาน ก็ค่อยจ่ายตอนออก จะมีเจ้าหน้าที่ประตูจะบอกข้อมูลเราเอง จากุดนี้ไปอีก 65 กิโลเมตร จะเป็นถนนลาดยางตลอด ช่วงเวลาเปิดทำการคือประมาณ7 โมงเช้าถึง หนึ่งทุ่ม แล้วแต่ฤดู เช็คกับทาง official website ได้ครับ แต่หากว่าใครพักที่แคมป์ไชด์ ด้านในอุทยาน ก็สามารถเข้าไปชมได้ก่อนใคร บรรยากาศระหว่างทางทำให้เราต้องหยุดแวะทักทายบรรดาเจ้าถิ่นทั้งออริก และ Springbok ไปตลอดเส้นทาง จนถึง Sossusvlei ถนนก็จะถึงที่จอดรถ หากใครที่ใช้รคขับเคลื่อนสี่ล้อและไม่กลัวเรื่องรถติดหล่มทรายก็สามารถขับต่อไปยัง จุดที่ต้องเดินไปยัง Deadlei ได้เลย หรือหากไม่มี 4x4 driveก็ใช้บริการ Shuttle service ราคาประมาณ N$ 170 จุดท่องเที่ยวที่เป็น Highlight Sand dune 45 และแน่นอนคือ Dead-Vlei ซึ่งบริเวณที่ลงรถ จะต้องเดิน Hiking บนสันของsand dune slope ประมาณ 1 กิโลเมตร หากใครมีกำลังเหลือจะขึ้นไปบน Crazy dune ที่ถือว่าสูงที่สุดในบริเวณรอบๆ deadvlei นี้ ซึ่งจะได้วิวที่สวย คุ้มค่าแห่งความพยายาม ส่วน จขกท รึครับ เอาแค่ถึง deadvlei ก็ Hob drag แล้วละครับ ทรายของที่นี้ว่ากันว่าเป็น Silica หรือ Quartz ป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะส่งประกายสีทองแดงๆ ดังภาพ