คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
เรื่องอวยยศเป็นโหราจารย์นี่เห็นจะยากหรือเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายพราหมณ์ในราชสำนักด้วย
(ถ้ายังจำกันได้จะมีช่วงที่เรียกออกญาโหราธิบดีว่าพระราชครูในขุนหลวง)
การจะให้ผู้หญิงมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพราหมณ์แทบเป็นไปไม่ได้เลย พิธีพราหมณ์หลายอย่างก็มีข้อจำกัดทางเพศ
แถมตำแหน่งข้าราชการที่ผู้หญิงสามารถเป็นได้ในสมัยอยุธยามีแค่ข้าราชการฝ่ายใน ดูแลเรื่องต่างๆ ในเขตพระราชฐาน
การะเกดมีศักดิ์เป็นเมียเอก(และเมียผู้เดียว)ของออกญาฯ อยู่แล้ว อย่างดีก็น่าจะปูนบำเหน็จฐานานุรูปเป็นคุณท้าวครับ
(เหมือนกรณีท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทรที่ไม่ได้เป็นคุณท้าวฝ่ายในแต่ได้รับปูนบำเหน็จเพราะมีความดีความชอบ)
ส่วนปัญหาความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินอยุธยา จริงๆ ก็มาจากการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของพระเพทราชาเองนั่นแหละครับ
อาจเพราะเห็นว่าถ้าปล่อยให้แม่ทัพหรือหัวเมืองเหนือใต้มีอำนาจเทียบเท่าหรือมากกว่ารัฐบาลอยุธยาอาจเกิดกบฎและจะเป็นภัยต่อตนได้
(ดังเช่นที่มีกบฎในสมัยพระนารายณ์บ่อยๆ และยังเกิดกบฎออกญานครศรีธรรมราชและนครราชสีมาในสมัยของตนอีก)
จึงโอนอำนาจให้หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นกับสมุหนายก และฝ่ายใต้ขึ้นกับสมุหพระกลาโหม ถ้าหัวเมืองจะทำอะไรก็ต้องรายงานทางหลวงก่อน
(ต่อมาอำนาจหน้าที่ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้โอนไปยังออกญาโกษาธิบดีในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
ผลคือบ้านเมืองสงบ ปราศจากการกบฎหรือความขัดแย้งภายใน แต่เปราะบางต่อการรุกรานจากภายนอกมาก
เพราะหัวเมืองไม่สามารถเกณฑ์ไพร่พลอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่องสุมกำลังพลหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนไม่ได้
พอมีศึกจากภายนอก ทัพหัวเมืองก็ไม่สามารถต้านไว้ได้ ต้องอาศัยทัพหลวง กระทั่งวิกฤตมากๆ ก็ต้องอาศัยพระนครเป็นปราการแทน
พอเจอกับทัพพม่าที่เตรียมตัวมาอย่างดี แม้ว่าจะวางกำลังป้องกันหัวเมืองไว้แล้วก็ป้องกันไว้ไม่ได้ จนทัพหลวงพม่าเข้ามาล้อมพระนครในที่สุดครับ
(ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างกำแพงเมืองล้อมอาณาจักรเลย กำแพงเมืองจีนสร้างไว้อย่างดีก็ถูกชนเผ่านอกกำแพงตีเข้ามาได้เพราะปัญหาภายใน)
อันที่จริงแล้วบ้านเมืองในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่ได้ระส่ำระส่ายอะไรเลย ในทางกลับกันยังเป็นยุคบ้านเมืองดียุคนึงด้วยซ้ำ
ศิลปวัฒนธรรมในยุคนั้นก็เรียกได้ว่ารุ่งเรืองจนถึงขีดสุด การค้าแม้จะเทียบสมัยพระนารายณ์ไม่ได้แต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองอยู่
ถ้าการะเกดกลับไปได้และจะใช้ความรู้สมัยใหม่ทำอะไรสักอย่าง ก็ควรจะเป็นการปฏิรูปให้บ้านเมืองเป็นรัฐสมัยใหม่มากกว่าครับ
หรือก็คือรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยไม่อาศัยระบบศักดินาอีกต่อไป แล้วเร่งศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีให้ทันตะวันตก
(ที่ช่วงนั้นเป็นยุคเรอเนสซองค์ กำลังเกิดปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม นำไปสู่การล่าอาณานิคมในสมัยต่อไป
แม้ช่วงต้นสมัยใหม่ยุโรปจะมีวิทยาการพอๆ กันกับฝั่งตะวันออก แต่ก็พัฒนาเร็วมากเพราะการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรจากการค้าทางทะเล)
(ถ้ายังจำกันได้จะมีช่วงที่เรียกออกญาโหราธิบดีว่าพระราชครูในขุนหลวง)
การจะให้ผู้หญิงมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพราหมณ์แทบเป็นไปไม่ได้เลย พิธีพราหมณ์หลายอย่างก็มีข้อจำกัดทางเพศ
แถมตำแหน่งข้าราชการที่ผู้หญิงสามารถเป็นได้ในสมัยอยุธยามีแค่ข้าราชการฝ่ายใน ดูแลเรื่องต่างๆ ในเขตพระราชฐาน
การะเกดมีศักดิ์เป็นเมียเอก(และเมียผู้เดียว)ของออกญาฯ อยู่แล้ว อย่างดีก็น่าจะปูนบำเหน็จฐานานุรูปเป็นคุณท้าวครับ
(เหมือนกรณีท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทรที่ไม่ได้เป็นคุณท้าวฝ่ายในแต่ได้รับปูนบำเหน็จเพราะมีความดีความชอบ)
ส่วนปัญหาความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินอยุธยา จริงๆ ก็มาจากการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของพระเพทราชาเองนั่นแหละครับ
อาจเพราะเห็นว่าถ้าปล่อยให้แม่ทัพหรือหัวเมืองเหนือใต้มีอำนาจเทียบเท่าหรือมากกว่ารัฐบาลอยุธยาอาจเกิดกบฎและจะเป็นภัยต่อตนได้
(ดังเช่นที่มีกบฎในสมัยพระนารายณ์บ่อยๆ และยังเกิดกบฎออกญานครศรีธรรมราชและนครราชสีมาในสมัยของตนอีก)
จึงโอนอำนาจให้หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นกับสมุหนายก และฝ่ายใต้ขึ้นกับสมุหพระกลาโหม ถ้าหัวเมืองจะทำอะไรก็ต้องรายงานทางหลวงก่อน
(ต่อมาอำนาจหน้าที่ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้โอนไปยังออกญาโกษาธิบดีในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)
ผลคือบ้านเมืองสงบ ปราศจากการกบฎหรือความขัดแย้งภายใน แต่เปราะบางต่อการรุกรานจากภายนอกมาก
เพราะหัวเมืองไม่สามารถเกณฑ์ไพร่พลอย่างมีประสิทธิภาพ ซ่องสุมกำลังพลหรือรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนไม่ได้
พอมีศึกจากภายนอก ทัพหัวเมืองก็ไม่สามารถต้านไว้ได้ ต้องอาศัยทัพหลวง กระทั่งวิกฤตมากๆ ก็ต้องอาศัยพระนครเป็นปราการแทน
พอเจอกับทัพพม่าที่เตรียมตัวมาอย่างดี แม้ว่าจะวางกำลังป้องกันหัวเมืองไว้แล้วก็ป้องกันไว้ไม่ได้ จนทัพหลวงพม่าเข้ามาล้อมพระนครในที่สุดครับ
(ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างกำแพงเมืองล้อมอาณาจักรเลย กำแพงเมืองจีนสร้างไว้อย่างดีก็ถูกชนเผ่านอกกำแพงตีเข้ามาได้เพราะปัญหาภายใน)
อันที่จริงแล้วบ้านเมืองในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่ได้ระส่ำระส่ายอะไรเลย ในทางกลับกันยังเป็นยุคบ้านเมืองดียุคนึงด้วยซ้ำ
ศิลปวัฒนธรรมในยุคนั้นก็เรียกได้ว่ารุ่งเรืองจนถึงขีดสุด การค้าแม้จะเทียบสมัยพระนารายณ์ไม่ได้แต่ก็ยังเจริญรุ่งเรืองอยู่
ถ้าการะเกดกลับไปได้และจะใช้ความรู้สมัยใหม่ทำอะไรสักอย่าง ก็ควรจะเป็นการปฏิรูปให้บ้านเมืองเป็นรัฐสมัยใหม่มากกว่าครับ
หรือก็คือรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางโดยไม่อาศัยระบบศักดินาอีกต่อไป แล้วเร่งศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีให้ทันตะวันตก
(ที่ช่วงนั้นเป็นยุคเรอเนสซองค์ กำลังเกิดปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม นำไปสู่การล่าอาณานิคมในสมัยต่อไป
แม้ช่วงต้นสมัยใหม่ยุโรปจะมีวิทยาการพอๆ กันกับฝั่งตะวันออก แต่ก็พัฒนาเร็วมากเพราะการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรจากการค้าทางทะเล)
แสดงความคิดเห็น
จากนี้ไปประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาก็จักมิเหมือนเดิมเพราะแม่หญิงการะเกดใช่ไหมขอรับ
พวกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรขอรับ