เราจะกระชากหน้ากากนักสิทธิมนุษยชนจอมปลอมออกมาได้อย่างไรดีครับ

สวัสดีครับ ผมเป็นผู้พิการทางสายตา  ปัจจุบัน ผมเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผมเริ่มทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2551 จากนั้น ผมสอบได้ทุนรัฐบาลไปเรียนต่อปริญญาเอกต่างประเทศในปี 2556 หลังจากส่งวิทยานิพนธ์เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และอยู่ระหว่างรอผลสอบนั้น ผมได้รายงานตัวกลับเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยตามเดิม  ตอนแรกรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาทำงาน เพราะห่างเหินจากการสอนไปนาน อีกทั้งคิดว่าน่าจะแบ่งเบาภาระของอาจารย์ในคณะได้บ้าง แต่สิ่งที่คิดไว้กับสิ่งที่ได้เจอช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  โดยผมจะมาถ่ายทอดประสพการร์ดังกล่าว  ดังต่อไปนี้  ทั้งนี้ ผมไม่ทันให้ใครช่วยตรวจพิสูจน์อักษรให้ก่อน จึงอาจมีการพิมพ์ผิดหรือสะกดผิดให้เห็นบ้าง โดยต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
หลังจากที่กลับมาทำงาน ผมต้องพบกับเรื่องที่มากวนใจต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อาจารย์บางคนแสดงการกระทำเสมือนว่าผมยังเรียนไม่จบ เรื่องที่หัวหน้าสาขาส่งอีเมลไปถามอาจารย์ที่ปรึกษาของผมเกี่ยวกับข้อมูลการทำวิทยานิพนธ์ ทั้งที่อาจารย์ที่ปรึกษาได้มีหนังสือรับรองและบอกเล่ารายละเอียดมาก่อนหน้านี้แล้ว  เรื่องที่อาจารย์ท่านหนึ่งให้ผมย้ายห้องทำงานอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องที่อาจารย์บางคนรวมหัวกันทำให้ผมไม่มีวิชาสอนเพียงพอ เรื่องที่ผู้บริหารบางคนไม่พอใจที่ผมติติงการลงโทษนักศึกษาอย่างไม่ถูกต้องตามกระบวนการและได้แสดงความคิดเห็นต่อการทำหน้าที่บริหารของผู้บริหารชุดปัจจุบัน จนถึงเรื่องการที่คณบดีและรองคณบดีฝ่ายวิชาการให้ผมไปคุมสอบนักศึกษา  เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด หวาดระแวง และรู้สึกไม่มั่นคงในการทำงานในเวลาต่อมา  ถึงแม้ตอนนี้ผมยังพอรับมือได้ ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเจออะไรต่อไปบ้างในวันข้างหน้า และยังจะอดทนต้านทานไหวต่อไปหรือไม่ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ผมยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ผู้กระทำมุ่งหมายให้กระทบความรู้สึกของผมในฐานะคนพิการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เรื่องมีอยู่ว่า คณบดีและรองคณบดีฝ่ายวิชาการได้มอบหมายให้ผมไปคุมสอบนักศึกษา ทั้งๆที่ทราบเป็นอย่างดีว่าผมมีความบกพร่องทางสายตา โดยไม่สามารถสอดส่องดูแลในขณะที่นักศึกษากำลังทำข้อสอบได้  และผมยังไม่เคยได้คุมสอบมาก่อนด้วย ทั้งสองท่านนี้ไม่เคยพูดคุย ซักถาม หรืออธิบายเหตุผลใดๆ ทั้งที่ผมได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวไปแล้วหลายครั้ง แม้ต่อมาทั้งสองท่านกับผมจะได้พบปะพูดคุยกัน ท่านก็ยังไม่มีทีท่าที่จะยับยั้ง หรือปรับเปลี่ยนหน้าที่ของผมอย่างเหมาะสม แต่กลับปล่อยให้ผมไปคุมสอบในวันถัดไปอย่างไม่สนใจใยดี  การให้คนมองไม่เห็นไปทำหน้าที่ที่ต้องอาศัยการมองเห็นเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความพิการทางจิตใจ เฉกเช่นเดียวกับการออกคำสั่งให้คนที่มีความพิการทางการเคลื่อนไหว หรือขาพิการ เดินขึ้นบันได  อีกทั้งการมอบหมายให้ผมไปคุมสอบไม่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อผมและผู้อื่นด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะ ประการแรก ความบกพร่องทางสายตาของผมอาจก่อให้เกิดความหละหลวมในการคุมสอบ ซึ่งจะทำให้มีการทุจริตในระหว่างการสอบของนักศึกษาได้ ประการที่สอง การที่ผมไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างเต็มที่จะส่งผลให้ผู้ที่ร่วมคุมสอบกับผมต้องรับภาระหนัก และอาจสอดส่องดูแลการสอบได้อย่างไม่ทั่วถึง และประการสุดท้าย อาจทำให้นักศึกษาหรือผู้ที่ผ่านมาพบเห็นเกิดความรู้สึกขบขัน หรือนำไปล้อเลียน หรือเกิดความรู้สึกสมเภชเวทนากับผมได้  ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่าคณบดีและรองคณบดีฝ่ายวิชาการมิได้มุ่งหมายให้ผมทำหน้าที่คุมสอบอย่างสุจจริตใจมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นความจงใจกั่นแกล้งให้เกิดความอับอาย ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมอย่างตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม คณบดีและรองคณบดีฝ่ายวิชาการมาชี้แจงกับผมในภายหลังว่าการทำหน้าที่คุมสอบเป็นภาระงานที่อาจารย์ทุกคนต้องทำ ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย   การไม่มอบหมายให้ผมคุมสอบจะทำให้คณบดีมีความผิดฐานละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่  แต่เมื่อศึกษาจากกฎระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัยแล้ว ผมไม่พบหลักเกณฒ์ดังกล่าวแต่อย่างใด  และหากเป็นดังที่คณบดีได้ชี้แจง ผมไม่น่าที่จะผ่านการประเมินการปฏิบัติงานตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วมาได้  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองท่านนี้ยังละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมในฐานะคนพิการโดยการอธิบายเหตุผลที่ให้ผมไปคุมสอบที่บิดเบือนจากหลักการอันเป็นที่ยอมรับ และเป็นสิ่งที่อยู่ในวิศัยของคนปกติวั่วไป  ทั้งสองท่านอธิบายว่า การมอบหมายให้ผมไปคุมสอบเป็นการคุ้มครองสิทธิในการทำงานของผม และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อผม  หากละเว้นไม่ให้ผมคุมสอบ  หรือแจ้งไปทางมหาวิทยาลัยว่าผมไม่สามารถคุมสอบได้ จะเป็นการตัดสิทธิของผม และเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผม นัยว่าผมไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่อย่างครบถ้วนเท่าเทียมกับอาจารย์ท่านอื่น  คณบดียังกล่าวอีกว่า การที่ไม่ได้พูดคุยปรึกษาหารือกับผมก่อนเป็นเพราะท่านเห็นว่าผมไม่มีความแตกต่างจากอาจารย์ท่านอื่น  หนำซ้ำยังไม่ต้องการปฏิบัติกับผมให้ดูแตกต่าง  และไม่ต้องการให้ผมรู้สึกแตกต่างจากอาจารย์ท่านอื่นด้วย  จึงเสนอคำสั่งให้ผมทำหน้าที่คุมสอบ  คณบดียังย้ำด้วยว่า ท่านต้องการให้ผมรู้สึกมีคุณค่า และต้องการให้คนอื่นเห็นในคุณค่าของผม นัยว่าผมตาบอด ก็ยังคุมสอบได้ การมอบหมายให้ผมไปคุมสอบจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่ผมเข้าใจไปเองแต่อย่างใด  ถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจมองว่าคณบดีก็มีเหตุผลที่รับฟังได้ไม่ใช่หรือ  แต่ผมอยากให้ผู้อ่านตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าคณบดีมีเจตนาเช่นนั้นจริงๆ ผมจะยกคำอธิบายเหล่านี้มาให้ตัวเองถูกวิจารณ์ไปเพื่ออะไร โดยจะได้อธิบายถึงเหตุผลต่อไป
จะเห็นได้ว่าการอธิบายของคณบดีมีลักษณะบิดเบือนต่อหลักการว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างจงใจ  ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ การคุ้มครองสิทธิการทำงานหรือสิทธิการมีงานทำของคนพิการ หมายถึง “การคุ้มครองสิทธิของคนพิการบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับบุคคลอื่น ภายใต้เงื่อนไขการทำงานที่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ต่อคนพิการ” เป็นต้น  นอกจากนั้น ตามแนวคิดของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงอย่าง John Rawls การคุ้มครองสิทธิและความเสมอภาคของบุคคลนั้น จะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย มิฉะนั้นแล้ว ผลที่ออกมาอาจจะไม่เป็นธรรม  เช่น ทุกคนมีสิทธิได้รับเสื้อกันหนาวคนละหนึ่งตัว ซึ่งแต่ละตัวมีขนาดเท่ากัน แต่รูปร่างของแต่ละคนแตกต่างกัน การให้ทุกคนที่มีรูปร่างแตกต่างกันมีสิทธิได้รับเสื้อกันหนาวหนึ่งตัวที่มีขนาดเท่ากันถือว่าไม่ยุติธรรม เพราะคนที่ตัวเล็กเกินไปก็จะได้เสื้อที่หลวมเกินไป ขณะที่คนตัวใหญ่เกินไปก็จะได้เสื้อที่คับเกินไป  คนที่มีรูปร่างพอดีกับเสื้อเท่านั้นจะสามารถใส่เสื้อได้อย่างสบาย  เพราะฉะนั้น การให้ทุกคนได้รับสิทธิมีเสื้อกันหนาวไว้สวมใส่จึงต้องคำนึงถึงรูปร่างที่แตกต่างของผู้ใส่ด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความพิการ จากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชายถึง “การสร้างความแตกต่าง การกีดกัน หรือการจำกัดบนพื้นฐานของความพิการ ซึ่งมีความมุ่งประสงค์ หรือส่งผลให้เป็นการเสื่อมเสีย” เป็นต้น  ตัวอย่างเช่น ถ้าชายไทยที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีบริบูรณ์ทุกคนต้องเข้าเป็นทหารเกน  แต่การฝึกทหารเกนไม่ได้ถูกออกแบบไว้ให้มีความเหมาะสมสำหรับชายไทยทุกคนที่ต้องเข้ารับการเกนทหาร เนื่องจากอาจมีชายไทยที่สุขภาพไม่สู้ดี หรือมีร่างกายพิการ  จึงไม่ใช่ชายไทยทุกคนที่ผ่านการเกนทหารจะสามารถฝึกทหารได้  ดังนั้น กระบวนการการเกนทหารจึงต้องคัดเลือกชายไทยที่สามารถฝึกทหารได้ให้เข้าเป็นทหารเกนเท่านั้น และต้องคัดผู้ที่ไม่สามารถรับการฝึกทหารได้ออกไป ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะผู้ที่ถูกคัดออก เช่นคนพิการ ไม่ได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ถูกคัดเลือกให้เข้ารับการฝึกทหาร
เมื่อพิจารณาการกระทำของคณบดีและรองคณบดีตามหลักการสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่ตามสามัญสำนึกของคนธรรมดาทั่วไป การที่คณบดีให้ผมไปคุมสอบ โดยไม่พิจารณาว่าผมมองไม่เห็น และไม่พิจารณาว่าผมจะทำหน้าที่ได้หรือไม่นั้น ไม่ได้เป็นการคุ้มครองสิทธิและความเสมอภาคในการทำงานของผมแต่อย่างใด  เนื่องด้วยปราศจากเงื่อนไขของการทำงานที่เป็นธรรม  และหากคณบดีไม่ให้ผมคุมสอบ หรือแจ้งให้มหาวิทยาลัยทราบว่าผมไม่สามารถคุมสอบได้ ก็ไม่ใช่เป็นการเลือกปฏิบัติกับผมด้วย  เพราะการที่คณบดีไม่มอบหมายให้ผมคุมสอบ แต่เปลี่ยนให้ผมไปทำหน้าที่อื่นแทน ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อทั้งตัวผมและกับคณะ  นอกจากนี้ การที่คณบดีให้ผมไปคุมสอบก็ไม่ได้ทำให้ผมดูมีคุณค่าเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด  เนื่องจากผมต้องนั่งอยู่กับที่เฉยๆ ไม่สามารถเดินตรวจในระหว่างที่นักศึกษาทำข้อสอบ หรือช่วยผู้คุมสอบท่านอื่นเก็บข้อสอบได้  แม้ภายหลังจะบอกให้ผมทำหน้าที่ประกาศเรื่องต่างๆแทนในระหว่างคุมสอบ ในความเป็นจริง ผมใช้เวลาประกาศเกี่ยวกับระเบียบการสอบ และเวลาสอบ เริ่มและสิ้นสุดการสอบไม่เกิน 10 นาที  ก็ต้องนั่งอยู่กับที่เฉยๆอีก 2 ชั่วโมงกว่า ฟังนักศึกษาพิกข้อสอบไปมา และฟังอาจารย์ที่คุมสอบท่านอื่นเดินกลับไปกลับมา  ผมดูมีคุณค่ามากขึ้นอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ให้ผมไปทำหน้าที่อื่นที่ผมสามารถทำได้เต็มศักยภาพมากกว่านี้  ที่เลวร้ายกว่านั้น คณบดีพยายาม Discredit หรือ Bluff ผมกับคนอื่น นัยว่าผมรู้สึกและเข้าใจผิดไปเองว่าตนเองถูกละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หาได้เป็นสิ่งที่คณบดีตั้งใจกระทำไม่  ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมเรียนได้ว่า ผมสามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำดังกล่าวเกิดจากความบริสุทธิ์ใจหรือไม่อย่างไร เมื่อพิจารณาบริบทที่เกิดขึ้นตามที่ผมได้ยกตัวอย่างไว้ในย่อหน้าที่สอง
ทั้งนี้ คณบดี หรือแม้แต่รองคณบดี ไม่มีทางที่จะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ผิดเพี้ยนไปได้  คณบดีได้สำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดในสาขาที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ขณะที่รองคณบดีก็สำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดในด้านนี้เช่นกัน  คณบดียังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กร ในโครงการด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในประเทศไทย  คณบดีและรองคณบดีจึงมีความรู้ความเข้าใจหลักการสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นอย่างดี การบิดเบือนต่อหลักการดังกล่าวเป็นเพียงการหาคำอธิบายเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง ซึ่งส่อให้เห็นถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ และจงใจกั่นแกล้ง ตลอดจนละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมอย่างตั้งใจ
คำถามคือ เราควรจะปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้กับชาวบ้านและผู้นำชุมชนต่อไปหรือไม่  เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะไม่เผยแพร่คำอธิบายที่บิดเบือนออกไป  และหากเป็นเช่นนั้น ความเสียหายจะเกิดขึ้นกับชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสเพียงใด  ที่สำคัญ เราจะแน่ใจได้แค่ไหนว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช้อำนาจไปละเมิดสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใครอีก เพียงเพราะมานะทิถิ และอคติที่หยั่งลึกอยู่ในใจ  ผมจึงต้องขอฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้อ่านเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการไม่ให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นในอนาคตต่อไป  
สุดท้าย ผมหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนสำหรับภาคส่วนต่างๆของสังคมให้ตระหนักถึงสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนพิการหรือไม่พิการ โดยสร้างการยอมรับซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่สังคมที่คนปกติและคนพิการสามารถอยู่ร่วมกันได้ในทุกมิติต่อไปครับ   ขอบคุณมากครับ
สุดท้าย ผมหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนสำหรับคนพิการในการทำงานร่วมกับคนปกติ และเป็นบทเรียนสำหรับภาคส่วนต่างๆของสังคมให้ตระหนักถึงสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนพิการ ตลอดจนต้องการเห็นสังคม ที่ซึ่งคนปกติและคนพิการสามารถอยู่ร่วมกันได้ในทุกมิติครับ   ขอบคุณมากครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่