สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน [Short Review] ฉบับที่ 15 นี้ ผมจะมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวประเทศญี่ปุ่นแบบมินิทริป (3 วัน 2 คืน) เนื่องจากผมมาศึกษาดูงานที่เมือง Wakayama แต่ก่อนที่จะกลับเมืองไทยนั้น ผมมีเวลาว่างเหลือ 3 วัน อีกทั้ง JR all pass ยังใช้ได้อีก 3 วันพอดิบพอดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปเล็กๆทริปนี้ครับ หลังจากรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มว่า 3 วันที่เหลือจะไปไหนดี ก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปเที่ยวกันที่เมือง Takayama, หมู่บ้าน Shirakawago และไปแช่ออนเซ็นที่เมือง Gero Onsen ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น โดยจุดเริ่มต้นของการเดินทางทริปนี้คือ เริ่มจากเมือง Wakayama ครับ
ข้อมูลการท่องเที่ยว
วันที่ 1 เดินทางจาก Wakayama -> Takayama (ค้างคืน)
วันที่ 2 Takayama -> Shirakawago -> Gero Onsen (ค้างคืน)
วันที่ 3 Gero Onsen -> กลับเมือง Wakayama
ข้อมูลโรงแรม/ที่พัก
1 เมือง Wakayama พักที่โรงแรม Route Inn Grantia Hidatakaya มีฟรีบริการอาหารเช้า ฟรีบริการรถรับส่งและฟรีบริการออนเซ็น
2 เมือง Gero Onsen พักที่โรงแรม Gero Onsen Suimeikan มีฟรีบริการอาหารเช้า ฟรีบริการออนเซ็น indoor และ outdoor
วันแรกพวกผมออกเดินทางจากสถานี JR Wakayama เวลา 06.00 น. เพื่อไปยังสถานี Shin-Osaka โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง กับอีก 18 นาที
พอถึงสถานี Shin-Osaka พวกผมก็แวะจองที่นั่ง Shinkansen ก่อน ผมจองรอบเวลา 08.43 น. เผื่อเวลาให้สมาชิกทุกคนได้ทานข้าวแบบไม่เร่งรีบ หลังจากสมาชิกทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็พากันมารอรถไฟเพื่อต่อไปเมือง Takayama โดยใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ถึงแม้จะอยู่บนรถไฟเกือบ 4 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เสียดายเวลาเลยครับ เพราะวิวสองฟากฝั่งทางรถไฟสวยงามมาก แม่น้ำสีเขียวทัวร์มาลีน ขนาบข้างด้วยทิวเขาสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี แสงแดดส่องลงมายิ่งขับสีแม่น้ำให้เด่นมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งวิวระหว่างทางรถไฟที่ผมชอบและประทับใจมากที่สุด


พวกผมมาถึงเมือง Takayama ประมาณ 12.30 น. พอเดินออกมาจากสถานี JR Takayama แล้วข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก็จะเจอร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะมากมาย มีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้นครับ ผมก็ได้ติดไม้ติดมือมาหลายอย่างเหมือนกัน

จากนั้นพวกผมแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อน เพราะทุกคนเริ่มหิวกันแล้ว เมื่อมาเมือง Takayama ทั้งที พวกผมก็ไม่พลาดที่จะลองสเต๊กเนื้อ Hida ซึ่งเป็นเนื้อขึ้นชื่อของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ร้านที่พวกผมเลือกกินนั้นอยู่ตรงข้ามกับตลาดเช้า เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งเจ้าของร้านเป็นสามีภรรยากัน และทำอาหารกันเอง รสชาติอาหารถือว่าโอเคเลยครับ แต่ราคาก็แอบแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว พวกผมก็เดินเที่ยวแบบสบายๆในตัวเมือง Takayama ต่อ โดยเริ่มจากบริเวณสะพานแดง Nakabashi ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเมืองเก่า Hida-Takayama แต่น่าเสียดายพวกผมไม่ได้ข้ามสะพานไปนะครับ เนื่องจากมีเวลาจำกัด

พวกผมเดินต่อมาเรื่อยๆ เพื่อมายังวัด Hida Kokununji ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเมือง Takayama จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่เจดีย์ 3 ชั้น และต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ที่มีอายุนับ 1,200 ปี ดังนั้นวัด Hida Kokununji แห่งนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่สำคัญของเมือง Takayama ก็ว่าได้




พอออกมาจากวัด Hida Kokununji พวกผมก็ตรงดิ่งมายังสถานี JR Takayama อีกรอบ เพื่อมารอรถรับ-ส่งของโรงแรม ซึ่งโรงแรมที่พวกผมจะพักในเมือง Takayama คืนนี้ คือ โรงแรม Route Inn Grantia Hidatakaya
เมื่อมาถึงโรงแรมทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย พอเข้ามาในห้องเท่านั้นแหละครับ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือถ่ายรูปมุมกว้างวิวเมือง Takayama จากหน้าต่างของโรงแรม วิวสุดยอดมากครับ มองเห็นเมือง Takayama ในมุมกว้างที่มีฉากหลังเป็นภูเขาล้อมรอบ คิดไม่ผิดจริงๆครับที่เลือกพักโรงแรมนี้


หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ทานข้าวกันที่โรงแรมเลยครับ และนัดกันไปแช่ออนเซ็นตอน 2 ทุ่ม สาเหตุที่พวกผมไม่กลับเข้าไปในตัวเมือง Takayama อีกรอบนั้น เพราะหลัง 5 โมงเย็นก็เริ่มที่จะมืดแล้ว ร้านค้า ร้านขายของต่างทยอยปิดกันหมด แทบจะไม่มีอะไรให้ดูเลย ผมเลยเลือกจะแช่ออนเซ็นที่โรงแรมดีกว่า และออนเซ็นของโรงแรมนี้ก็ถือว่าดีมาก มีทั้งบ่อ indoor และ บ่อ out door เล็กๆ อุณหภูมิน้ำก็กำลังดี แถมยังสะอาดสะอ้านอีกด้วย ผมชอบมากเลยครับ

Credit. Picture from Agoda.com

Credit. Picture from Agoda.com
หลังจากแช่ออนเซ็นเสร็จ สบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อขาและน่องจากการเดินทั้งวัน ก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น พออาบน้ำล้างตัวหลังแช่ออนเซ็นเสร็จ ผมก็กลับขึ้นห้องพัก เหลือบไปดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว ถึงเวลาต้องพักผ่อนชาร์ทพลังสำหรับการเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกผมจะไปที่หมู่บ้าน Shirakawago กันครับ
วันที่ 2 07.30 น. รถจากโรงแรมมาส่งที่สถานี JR Takayama เดินจากสถานี JR มาประมาณ 5 นาที ก็ถึงสถานี Nohi bus ที่จะไปยังหมู่บ้าน Shirakawago สถานี Nohi bus มีจุดบริการข้อมูลท่องเที่ยวด้วย หากใครมีคำถามหรือสงสัยอะไรก็สามารถสอบถามพนักงานได้ครับ
ผมจองรถบัสรอบ 08.30 น. โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ก็มาถึงหมู่บ้าน Shirakawago หมู่บ้านชาวนาเก่าแก่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1995 ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนอาศัยอยู่จริง จุดเด่นของหมู่บ้าน Shirakawago คือบ้านแบบโบราณทรงหน้าจั่วทำมุม 60 องศา หลังคามุงด้วยหญ้าหนา ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์อย่างมากครับ
มาถึงหมู่บ้าน Shirakawago ประมาณ 09.20 น. ถือว่าเช้าเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวจึงยังไม่ค่อยเยอะมาก ร้านค้า ร้านขายของก็ยังไม่เปิดกัน ถึงแม้ว่าวันนี้จะโชคดีหน่อยที่มีแดดยามเช้า แต่อากาศก็ยังเย็นมากอยู่ดี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 3-5 องศาเลยครับ

รถ Nohi bus จอดส่งผู้โดยสารตรงลานจอดสถานีปลายทาง Shirakawago จากนั้นพวกผมก็เดินเท้าต่ออีกหน่อย เพื่อไปยังสถานีรถบัสย่อยที่คอยรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังจัดชุมวิวบนเขา ค่ารถโดยสารคนละ 150¥ นั่งบัสแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้วครับ พอมองจากจุดชมวิวมุมสูงลงไปด้านล่าง จะเห็นวิวอลังการมาก หมู่บ้านขนาดเล็กท่ามกลางทิวเขาสูงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพนทั่วทั้งหมู่บ้าน สวยงามเกินที่จะบรรยายเป็นคำพูดจริงๆครับ


ผมอยู่ตรงจุดชมวิวซักพัก พอนักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา ผมจึงเดินย้อนกลับลงมายังด้านล่าง โดยใช้เส้นทางตามลูกศรสีแดงที่ตัดลงตรงกลางหมู่บ้าน ยิ่งเดินลงมาเรื่อยๆ ยิ่งเห็นบ้านแบบโบราณทรงหน้าจั่วชัดมากขึ้น ผมชอบมากเลยครับ อยากได้บ้านแบบนี้ซักหลัง 555 ช่วงที่ผมมานั้นคือต้นเดือนมีนาคม แม้ว่าจะไม่มีหิมะปกคลุมหลังคาบ้านแล้ว แต่หิมะตามพื้นก็ยังกองหนาอยู่เลยครับ

เดินลัดเลาะเข้ามาภายในหมู่บ้านตามตรอกซอกซอยเล็กๆ จะมีสะพานไม้ให้นักท่องเที่ยวเดินได้ เดินไป แวะถ่ายรูปไปก็เพลินดีเหมือนกัน เพราะบ้านแต่ละหลังสวยงามและมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป แต่เวลาเดินก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหน่อยนะครับ เพราะพื้นลื่นมากเลย อาจจะล้มเอาได้




จริงๆแล้วหมู่บ้าน Shirakawago มีสถานที่เที่ยวเยอะอยู่พอสมควร ทั้งสะพานข้ามแม่น้ำที่วิวสวยมาก โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีศาลเจ้าอีกหลายที่ พิพิธภัณฑ์ต่างๆก็สามารถเข้าชมได้ครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เดินเที่ยวครบทุกที่ เพราะมัวแต่แวะสิงสถิตย์อยู่ร้านกาแฟประมาณ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ พอออกจากร้านกาแฟอีกที ก็เกือบจะถึงเวลาที่จองรถบัสกลับแล้วครับ ผมจึงเดินมารอขึ้นรถบัสรอบ 13.30 น. เพื่อเดินทางกลับไปยังเมือง Takayama
จากนั้นพวกผมก็เดินทางต่อจากเมือง Takayama ไปยังเมือง Gero Onsen ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นขนาดเล็กในจังหวัดกิฟุ เมือง Gero Onsen แห่งนี้ยังถือได้ว่าเป็น 1 ใน 3 ของออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยความบริสุทธิ์ของน้ำแร่ ที่มีสรรพคุณในการบำบัดความเหนื่อยล้า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและยังดีต่อผิวพรรณ จึงยิ่งทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในกลุ่มคนรักการแช่ออนเซ็น และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยครับ
การเดินทางจากสถานี JR Takayama มา Gero Onsen ใช้เวลาแค่ประมาณ 45 นาที โดยผมขึ้นรถไฟที่ Takayama รอบ 14.40 น.
พวกผมมาถึงเมือง Gero Onsen เวลาประมาณ 15.30 น. ออกจากสถานี JR มา ถึงแม้ว่าจะยังมีแดดจ้า แต่ขอบอกว่าหนาวถึงกระดูกเลยครับ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 1-3 องศา แถมลมก็แรงอีกต่างหาก
เดินจากสถานี JR มาประมาณ 300 เมตรก็ถึงโรงแรมที่พวกผมจะพักแล้วครับ วันนี้พวกผมนอนที่โรงแรม Gero Onsen Suimeikan ภายในโรงแรมใหญ่โตและหรูหรามาก ห้องพักแบบเรียวกัง พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีออนเซ็นบริการฟรีตั้ง 3 โซน ถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ถ้าคราวหน้ามาอีกไม่พลาดโรงแรมนี้แน่นอนครับ


[CR] [Short Review] รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นแบบมินิทริป 3 วัน 2 คืน (Takayama - Shirakawago - Gero Onsen)
สวัสดีครับชาว Pantip ทุกท่าน [Short Review] ฉบับที่ 15 นี้ ผมจะมาแชร์ประสบการณ์เที่ยวประเทศญี่ปุ่นแบบมินิทริป (3 วัน 2 คืน) เนื่องจากผมมาศึกษาดูงานที่เมือง Wakayama แต่ก่อนที่จะกลับเมืองไทยนั้น ผมมีเวลาว่างเหลือ 3 วัน อีกทั้ง JR all pass ยังใช้ได้อีก 3 วันพอดิบพอดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปเล็กๆทริปนี้ครับ หลังจากรวบรวมความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มว่า 3 วันที่เหลือจะไปไหนดี ก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปเที่ยวกันที่เมือง Takayama, หมู่บ้าน Shirakawago และไปแช่ออนเซ็นที่เมือง Gero Onsen ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น โดยจุดเริ่มต้นของการเดินทางทริปนี้คือ เริ่มจากเมือง Wakayama ครับ
ข้อมูลการท่องเที่ยว
วันที่ 1 เดินทางจาก Wakayama -> Takayama (ค้างคืน)
วันที่ 2 Takayama -> Shirakawago -> Gero Onsen (ค้างคืน)
วันที่ 3 Gero Onsen -> กลับเมือง Wakayama
ข้อมูลโรงแรม/ที่พัก
1 เมือง Wakayama พักที่โรงแรม Route Inn Grantia Hidatakaya มีฟรีบริการอาหารเช้า ฟรีบริการรถรับส่งและฟรีบริการออนเซ็น
2 เมือง Gero Onsen พักที่โรงแรม Gero Onsen Suimeikan มีฟรีบริการอาหารเช้า ฟรีบริการออนเซ็น indoor และ outdoor
วันแรกพวกผมออกเดินทางจากสถานี JR Wakayama เวลา 06.00 น. เพื่อไปยังสถานี Shin-Osaka โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง กับอีก 18 นาที
พอถึงสถานี Shin-Osaka พวกผมก็แวะจองที่นั่ง Shinkansen ก่อน ผมจองรอบเวลา 08.43 น. เผื่อเวลาให้สมาชิกทุกคนได้ทานข้าวแบบไม่เร่งรีบ หลังจากสมาชิกทุกคนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็พากันมารอรถไฟเพื่อต่อไปเมือง Takayama โดยใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ถึงแม้จะอยู่บนรถไฟเกือบ 4 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เสียดายเวลาเลยครับ เพราะวิวสองฟากฝั่งทางรถไฟสวยงามมาก แม่น้ำสีเขียวทัวร์มาลีน ขนาบข้างด้วยทิวเขาสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี แสงแดดส่องลงมายิ่งขับสีแม่น้ำให้เด่นมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งวิวระหว่างทางรถไฟที่ผมชอบและประทับใจมากที่สุด
พวกผมมาถึงเมือง Takayama ประมาณ 12.30 น. พอเดินออกมาจากสถานี JR Takayama แล้วข้ามถนนไปอีกฝั่ง ก็จะเจอร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะมากมาย มีแต่ของน่าซื้อทั้งนั้นครับ ผมก็ได้ติดไม้ติดมือมาหลายอย่างเหมือนกัน
จากนั้นพวกผมแวะทานมื้อเที่ยงกันก่อน เพราะทุกคนเริ่มหิวกันแล้ว เมื่อมาเมือง Takayama ทั้งที พวกผมก็ไม่พลาดที่จะลองสเต๊กเนื้อ Hida ซึ่งเป็นเนื้อขึ้นชื่อของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ ร้านที่พวกผมเลือกกินนั้นอยู่ตรงข้ามกับตลาดเช้า เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งเจ้าของร้านเป็นสามีภรรยากัน และทำอาหารกันเอง รสชาติอาหารถือว่าโอเคเลยครับ แต่ราคาก็แอบแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว พวกผมก็เดินเที่ยวแบบสบายๆในตัวเมือง Takayama ต่อ โดยเริ่มจากบริเวณสะพานแดง Nakabashi ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเมืองเก่า Hida-Takayama แต่น่าเสียดายพวกผมไม่ได้ข้ามสะพานไปนะครับ เนื่องจากมีเวลาจำกัด
พวกผมเดินต่อมาเรื่อยๆ เพื่อมายังวัด Hida Kokununji ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ของเมือง Takayama จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่เจดีย์ 3 ชั้น และต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ที่มีอายุนับ 1,200 ปี ดังนั้นวัด Hida Kokununji แห่งนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่สำคัญของเมือง Takayama ก็ว่าได้
เมื่อมาถึงโรงแรมทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย พอเข้ามาในห้องเท่านั้นแหละครับ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือถ่ายรูปมุมกว้างวิวเมือง Takayama จากหน้าต่างของโรงแรม วิวสุดยอดมากครับ มองเห็นเมือง Takayama ในมุมกว้างที่มีฉากหลังเป็นภูเขาล้อมรอบ คิดไม่ผิดจริงๆครับที่เลือกพักโรงแรมนี้
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็ทานข้าวกันที่โรงแรมเลยครับ และนัดกันไปแช่ออนเซ็นตอน 2 ทุ่ม สาเหตุที่พวกผมไม่กลับเข้าไปในตัวเมือง Takayama อีกรอบนั้น เพราะหลัง 5 โมงเย็นก็เริ่มที่จะมืดแล้ว ร้านค้า ร้านขายของต่างทยอยปิดกันหมด แทบจะไม่มีอะไรให้ดูเลย ผมเลยเลือกจะแช่ออนเซ็นที่โรงแรมดีกว่า และออนเซ็นของโรงแรมนี้ก็ถือว่าดีมาก มีทั้งบ่อ indoor และ บ่อ out door เล็กๆ อุณหภูมิน้ำก็กำลังดี แถมยังสะอาดสะอ้านอีกด้วย ผมชอบมากเลยครับ
หลังจากแช่ออนเซ็นเสร็จ สบายเนื้อสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อขาและน่องจากการเดินทั้งวัน ก็เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น พออาบน้ำล้างตัวหลังแช่ออนเซ็นเสร็จ ผมก็กลับขึ้นห้องพัก เหลือบไปดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว ถึงเวลาต้องพักผ่อนชาร์ทพลังสำหรับการเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพวกผมจะไปที่หมู่บ้าน Shirakawago กันครับ
วันที่ 2 07.30 น. รถจากโรงแรมมาส่งที่สถานี JR Takayama เดินจากสถานี JR มาประมาณ 5 นาที ก็ถึงสถานี Nohi bus ที่จะไปยังหมู่บ้าน Shirakawago สถานี Nohi bus มีจุดบริการข้อมูลท่องเที่ยวด้วย หากใครมีคำถามหรือสงสัยอะไรก็สามารถสอบถามพนักงานได้ครับ
ผมจองรถบัสรอบ 08.30 น. โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที ก็มาถึงหมู่บ้าน Shirakawago หมู่บ้านชาวนาเก่าแก่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.1995 ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีคนอาศัยอยู่จริง จุดเด่นของหมู่บ้าน Shirakawago คือบ้านแบบโบราณทรงหน้าจั่วทำมุม 60 องศา หลังคามุงด้วยหญ้าหนา ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์อย่างมากครับ
มาถึงหมู่บ้าน Shirakawago ประมาณ 09.20 น. ถือว่าเช้าเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวจึงยังไม่ค่อยเยอะมาก ร้านค้า ร้านขายของก็ยังไม่เปิดกัน ถึงแม้ว่าวันนี้จะโชคดีหน่อยที่มีแดดยามเช้า แต่อากาศก็ยังเย็นมากอยู่ดี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 3-5 องศาเลยครับ
รถ Nohi bus จอดส่งผู้โดยสารตรงลานจอดสถานีปลายทาง Shirakawago จากนั้นพวกผมก็เดินเท้าต่ออีกหน่อย เพื่อไปยังสถานีรถบัสย่อยที่คอยรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังจัดชุมวิวบนเขา ค่ารถโดยสารคนละ 150¥ นั่งบัสแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดชมวิวแล้วครับ พอมองจากจุดชมวิวมุมสูงลงไปด้านล่าง จะเห็นวิวอลังการมาก หมู่บ้านขนาดเล็กท่ามกลางทิวเขาสูงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพนทั่วทั้งหมู่บ้าน สวยงามเกินที่จะบรรยายเป็นคำพูดจริงๆครับ
ผมอยู่ตรงจุดชมวิวซักพัก พอนักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา ผมจึงเดินย้อนกลับลงมายังด้านล่าง โดยใช้เส้นทางตามลูกศรสีแดงที่ตัดลงตรงกลางหมู่บ้าน ยิ่งเดินลงมาเรื่อยๆ ยิ่งเห็นบ้านแบบโบราณทรงหน้าจั่วชัดมากขึ้น ผมชอบมากเลยครับ อยากได้บ้านแบบนี้ซักหลัง 555 ช่วงที่ผมมานั้นคือต้นเดือนมีนาคม แม้ว่าจะไม่มีหิมะปกคลุมหลังคาบ้านแล้ว แต่หิมะตามพื้นก็ยังกองหนาอยู่เลยครับ
เดินลัดเลาะเข้ามาภายในหมู่บ้านตามตรอกซอกซอยเล็กๆ จะมีสะพานไม้ให้นักท่องเที่ยวเดินได้ เดินไป แวะถ่ายรูปไปก็เพลินดีเหมือนกัน เพราะบ้านแต่ละหลังสวยงามและมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป แต่เวลาเดินก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหน่อยนะครับ เพราะพื้นลื่นมากเลย อาจจะล้มเอาได้
จริงๆแล้วหมู่บ้าน Shirakawago มีสถานที่เที่ยวเยอะอยู่พอสมควร ทั้งสะพานข้ามแม่น้ำที่วิวสวยมาก โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยเป็นพิเศษ อีกทั้งยังมีศาลเจ้าอีกหลายที่ พิพิธภัณฑ์ต่างๆก็สามารถเข้าชมได้ครับ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้เดินเที่ยวครบทุกที่ เพราะมัวแต่แวะสิงสถิตย์อยู่ร้านกาแฟประมาณ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ พอออกจากร้านกาแฟอีกที ก็เกือบจะถึงเวลาที่จองรถบัสกลับแล้วครับ ผมจึงเดินมารอขึ้นรถบัสรอบ 13.30 น. เพื่อเดินทางกลับไปยังเมือง Takayama
จากนั้นพวกผมก็เดินทางต่อจากเมือง Takayama ไปยังเมือง Gero Onsen ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นขนาดเล็กในจังหวัดกิฟุ เมือง Gero Onsen แห่งนี้ยังถือได้ว่าเป็น 1 ใน 3 ของออนเซ็นที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยความบริสุทธิ์ของน้ำแร่ ที่มีสรรพคุณในการบำบัดความเหนื่อยล้า กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและยังดีต่อผิวพรรณ จึงยิ่งทำให้เมืองนี้มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในกลุ่มคนรักการแช่ออนเซ็น และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยครับ
การเดินทางจากสถานี JR Takayama มา Gero Onsen ใช้เวลาแค่ประมาณ 45 นาที โดยผมขึ้นรถไฟที่ Takayama รอบ 14.40 น.
พวกผมมาถึงเมือง Gero Onsen เวลาประมาณ 15.30 น. ออกจากสถานี JR มา ถึงแม้ว่าจะยังมีแดดจ้า แต่ขอบอกว่าหนาวถึงกระดูกเลยครับ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 1-3 องศา แถมลมก็แรงอีกต่างหาก
เดินจากสถานี JR มาประมาณ 300 เมตรก็ถึงโรงแรมที่พวกผมจะพักแล้วครับ วันนี้พวกผมนอนที่โรงแรม Gero Onsen Suimeikan ภายในโรงแรมใหญ่โตและหรูหรามาก ห้องพักแบบเรียวกัง พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีออนเซ็นบริการฟรีตั้ง 3 โซน ถือว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม ถ้าคราวหน้ามาอีกไม่พลาดโรงแรมนี้แน่นอนครับ