ทริปสปอยตัวเองขั้นสุด ด้วยเรียวกังออนเซ็น
สวัสดีค่ะ Jellyjourney นะคะ ปรกติเขียนบลอคท่องเที่ยวอยู่ใน bloggang แต่วันนี้ขอมาโพสลงใน PANTIP หน่อยละกันเป็นครั้งแรก! คราวนี้เราจะมารีวิวเรียวกัง Yunoshimakan แห่งเมือง Gero ให้ฟัง ทริปญี่ปุ่นคราวนี้เราไปนาโกยาอีกแล้วเป็นรอบที่สอง เป็นทริป 6 วัน 5 คืน และหนึ่งใน 6 วันนั้นเราก็มาที่เมือง Gero นี้ค่ะ ..ทริปนี้เราเที่ยว Nagoya – Shirakawago – Takayama- Gero-Nagoya เป็น route ที่โอเคเลยค่ะ อยู่ไม่ไกลกันมากและเดินทางสะดวก เมือง Gero เป็นเมืองทางผ่านอยู่แล้วถ้าเกิดใครนั่งรถไฟกลับจาก Takayama มา Nagoya เมือง Gero เป็นเมืองออนเซ็นติดอันดับสามของญี่ปุ่นเลยนะคะ ถือว่ามีชื่อเสียงมากเลยทีเดียว และที่เมืองนี้ก็เต็มไปด้วยเรียวกันและที่พักมากมายที่มีออนเซ็นให้แช่พักกายสบายใจ (ขนาดเราไปเจอกลุ่มคุณตาคุณยายที่ Shirakawago คุณตาคุณยายยังบอกเลยว่า อ้อ เดี๋ยวพวกเค้าก็ไป Gero เหมือนกันหลังจากนี้! เอ้อ ดูสิ มันฮิตตั้งแต่กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มครอบครัวไปจนกลุ่มคุณตาคุณยายเลยทีเดียว
ที่ Yunoshimakan เค้ามีห้องหลายประเภทมากๆค่ะ ตั้งแต่แบบราคาไม่แพงมากจนไปถึงแพงหูฉี่ มีทั้งห้องเล็กเหมาะกับสองคน หรือถ้าใครมาเป็นครอบครัวใหญ่ก็มีห้องใหญ่ค่ะ สามารถเข้าไปดูประเภทของห้องได้จาก
http://www.yunoshimakan.co.jp/english/ นี้ เลย
ทริปนี้เราเลือกพักห้องพักประเภท Bekkan ซึ่งเป็นห้องที่มีออนเซ็นในตัวเป็นแบบ outdoor ตกราคาคืนละ 16,225 บาท
Yunoshimakan มีรถรับส่งจากสถานีรถไฟค่ะ เพราะแม้เมือง Gero จะไปเมืองเล็กๆแต่โรงแรมนี้ตั้งอยู่บนเขา เดินไปคงลำบากแย่ (เดี๋ยวจะผิดคอนเซปสวยและรวยมากเอา 55 ) ซึ่งถ้าใครมารถไฟเค้าจะมีรอบรถรับส่ง ตั้งแต่ 13:35 14:35 15:35 16:35 และ 17.35 ก่อนเราไปพักทางโรงแรมจะส่งอีเมล์มาถามเราว่าเราจะเดินทางยังไง จะขึ้นรถที่เขาจัดไว้ให้มั๊ย ขึ้นรอบกี่โมง และอาหารทานอะไรไม่ได้บ้าง แพ้อะไรรึปล่าว แหม่ ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้ไป โรงแรมนี้ให้เชคอินได้ 15.00 นะคะ ถ้าเรามาเร็วเกินไปอาจจะกร่อยๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรที่โรงแรม แนะนำให้มาพอดี 3 โมง หรือไม่ก็เดินเล่นที่รอบๆสถานีรถไฟ หาอะไรทานไปก่อนดีกว่าค่ะ...เรานั่งรถไฟ Hida Express จาก Takayama มาลงเมือง Gero ถึงประมาณบ่ายสองนิดๆค่ะ ออกจากสถานีปุ๊ปหน้าสถานีก็จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงแรมต่างๆชูป้ายตอนรับแขกและพาเราไปที่รถ
บรรยากาศสถานีรถไฟ มีที่พักเยอะมากจริงๆ อย่าไปผิดอันหละ 55
ถึงเวลารถออกตัว ขับไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงที่พักค่ะ เราไปปลายเดือนตุลานะ ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสีเท่าไหร่ค่ะ แต่แค่นี้ก็สวยมากๆแล้ว
ด้านหน้าจะมีเจ้าหน้าที่ยืนต้อนรับแขกและช่วยจัดการยกกระเป๋าของเราลงจากรถ
พอเข้าไปแล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ยังไม่ต้องจ่ายเงินนะคะ ไว้จ่ายตอนวันกลับค่ะ รองเท้าเราเค้าจะเก็บไว้ในห้องเก็บรองเท้า และเราก็ต้องเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะตั้งแต่แรกเลยค่ะ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จัดการCheck-in ให้เรา คุณผู้หญิงจะมีสิทธิเลือกชุดยูกาตะได้ 1 ชุด มีไซส์ S M L มีหลากหลายลายให้เลือกค่ะ แต่ก็ดูว่าจะค่อนข้างเก่าหน่อย สีซืดเชียว ส่วนของคุณผู้ชายจะมีสองสีให้เลือกนะคะ แต่จะอยู่ที่ห้องพักค่ะ ยังไม่ต้องเลือกตอนนี้
เลือกเรียบร้อยแล้วพนักงานจะเดินพาเราไปที่ห้องพักค่ะ บอกเลยว่าโรงแรมใหญ่มากและซับซ้อนมาก คือหลงได้ง่ายๆเลย ถึงแล้ว ห้องของเราอยู่ชั้น 5 ค่ะ
ถึงห้องแล้วพนักงานก็จัดแจงแนะนำห้องพัก แนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรม โดยการกางแผนที่ให้ดู ชอบมาก เป็นโรงแรมที่ต้องมีแผนที่จริงๆ เสร็จแล้วก็เตรียมชา จัดของว่างต้อนรับค่ะ พนักงานจะถามเราเลยว่าอาหารเย็นจะรับประทานกี่โมง เพราะที่นี่เค้าจะเสริ์ฟอาหารเย็นในห้องค่ะ เริ่มได้ตั้งแต่ 17.30-19.00
เมื่อคุณน้องพนักงานออกไปแล้ว ก็ได้เวลา Photo time+++ 2 สามีภรรยา วิ่งถ่ายรูปไปมาล่อไปเกือบชั่วโมง มาดูบรรยากาศในห้องกันค่ะ
เข้ามาในห้องจะประกอบไปด้วยห้องเล็กห้องน้อยที่สามารถกั้นได้ด้วยประตูทั้งหมด
ห้องใหญ่จะเป็นส่วนรับรองแขก รับประทานอาหาร และตกดึกก็ปูที่นอนตรงนี้เลยค่ะ ระเบียงห้องคือดีงามมาก เพราะห้องของเราสามารถเปิดประตูกระจกรับลมธรรมชาติได้เต็มๆ อากาศดีมากจริงๆ
ถัดมาเป็นโซนห้องน้ำที่ประกอบด้วย อ่างล้างหน้าอยู่ด้านนอก ห้องส้วมอยู่ด้านนึง อีกด้านเป็นห้องอาบน้ำและออนเซ็น indoor
ประตูถัดมาเป็นโซน ออนเซ็น outdoor ค่ะ ดูดีมากกก ฟิน
ด้านหน้าสุดของห้องจะเป็นโซนตู้เสื้อผ้าค่ะ ซึ่งในนี้ก็จะมีชุดยูกาตะของคุณผู้ชาย พร้อมด้วยถุงสีม่วงที่ให้เราเอาไปใส่ของเวลาไป public onsen หรือว่าเดินเล่นในบริเวณโรงแรม
ได้เวลาสำรวจโรงแรมแล้วสินะ แพลนของเราคือจะเดินไปโซน Entertainment และค่อยไปแช่ public onsen ตอน 5 โมงครึ่ง กลับมาห้องและรับประทานอาหารทุ่มนึงค่ะ พูดซะว่า Entertainment โซน ซึ่งจริงๆมันคือ โต๊ะปิงปองและโต๊ะบิลเลียดค่ะ ตั้งอยู่ชั้น 6
บรรยากาศก็จะดูเก่าๆนิดนึง แต่ก็พอเล่นได้ค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปตอนเล่นมา เพราะมันแปลกมากเลยใส่ชุดยูกาตะเล่นเนี่ย 55
โซนระเบียงชั้น 5 เป็น Foot Onsen ค่ะ สามารถมาแช่เท้าได้ตลอดค่ะ
บรรยากาศโรงแรม
ชั้น 3 จะเป็นโซน public onsen ซึ่งมี 2 บ่อ สลับระหว่างชายและหญิงตอนตี 2 ดังนั้นหากใครอยากสัมผัสบรรยากาศทั้ง 2 บ่อต้องมาแช่สองรอบนะคะ บรรยากาศด้านในเราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากนะ เพราะไม่ได้พกกล้องไป รูปด้านล่างมาจากในเวบไซต์เค้าค่ะ ซึ่งของจริงก็แบบนี้แป๊ะเลย ด้านในจะมีโซนเปลี่ยนชุด เดินเข้าไปเป็นโซนล้างตัวรอบๆและบ่อออนเซนแบบ indoor ถ้าใครอยากไปโซน outdoor ก็ต้องเดินผ่านอีกหนึ่งประตูไปด้านนอกค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าด้านนอกดีกว่าเยอะ อากาศดีกว่าและบรรยากาศดีกว่าค่ะ
Public Baht เปิดบริการ 3.00AM – 10.00AM และ 1.00 PM-1.00AM ก็คือว่าปิดตอน ตีหนึ่งถึงตีสอง และ10โมงถึงบ่ายโมงค่ะ
อ้อ ลืมบอกไป ถ้าใครไม่ได้จองห้องแบบมี onsen ส่วนตัวในห้อง แต่อยากแช่ออนเซนแบบส่วนตัวก็สามารถมาใช้บริการ private baht ได้นะคะ private baht คือห้องแช่ออนเซนแบบส่วนตัวที่จะมีหลากหลายขนาดให้เราเลือกตามจำนวนคนที่มาด้วย private baht จะตั้งอยู่ในชั้น 4 เปิดบริการ 3.00PM-9.00 AM ดูรูปตัวอย่าง private baht ได้จากเวบโรงแรมค่ะ
กลับมารับประทานอาหารเย็นกันดีกว่า พนักงานคนเดิมนำอาหารมาเสริ์ฟ เริ่มจากการดื่มสาเกเรียกน้ำย่อยก่อน และตามมาด้วยเครื่องเคียง อาหารคาวหวานเยอะมาก อิ่มแน่นอน ถ้าใครจะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก็สั่งได้เลยค่ะ เราชอบโรงแรมนี้มากอย่างนึงคือเค้ามีห้องเตรียมอาหารประจำทุกชั้นเลย ดังนั้นถ้าสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเพิ่มจะมาเร็วมาก
รูปรวม เซตที่ 1
อาหารเซตที่ 2 ไม่อิ่มก็ต้องอิ่มละค่ะที่นี้
ของหวานกันบ้าง ผลไม้และเยลลี่กาแฟ
ทานเสร็จน้องพนักงานก็จะถามว่าจะให้ปูที่นอนเลยรึใหม่ ถ้าให้ปูเลยเค้าก็จะเรียกทีมปูที่นอนมาค่ะ ขอบอกว่าต้องใช้คำว่า “ทีม” ปูที่นอนจริงๆ เพราะมากันสองคนและทำงานก็เป็นทีมสุดๆ ปูเร็วมากๆ มีStepในการปูเป๊ะๆ และงานเนี๊ยบเวอร์ คือแทบจะอยากอัดวิดิโอเลยอะ
ก่อนนอนต้อง utilize private outdoor onsen ของตัวเองซะหน่อย ข้างนอกอากาศเย็นนิดหน่อยค่ะ แช่ออนเซ็นแล้วยิ่งสบายยยย ดูดาวไปด้วย ฟินไปมาก คุ้มละเงินที่จ่ายไป 55
วันรุ่งขึ้นตื่นเช้าไป public onsen อีกรอบเพราะอยากไปลองบรรยากาศของอีกบ่อนึงค่ะ เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารเช้า คราวนี้ไม่ได้ทานที่ห้องนะคะ ไปทานที่ breakfast dining room ค่ะ ตอนแรกขึ้นไปก็นึกว่าเป็นห้องอาหารเช้าที่ให้ตักทานเองธรรมดา แต่ปรากฎว่าไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ นั่งอย่างเดียว เพราะเค้าเตรียมเซตอาหารมาให้ไว้อยู่แล้ว อลังการและอิ่มมากอีกเช่นเคย สามารถรับประทานอาหารเช้าได้ตั้งแต่ 7.00-8.30 ค่ะ
หมดเวลาสนุกแล้วสิ จัดแจงเก็บกระเป๋าและ check out จ่ายเงิน เราใช้บริการรถรับส่งไปสถานีรถไฟเหมือนเดิมค่ะ รถมีรอบตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงกว่าๆ สามารถกะเวลาได้เองว่าอยากจะออกกี่โมง เพราะจริงๆแล้วโรงแรมให้ check-out ได้ถึงเที่ยงเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบค่ะ หวังว่าคงเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อยในการมาเที่ยวเมือง Gero และสนใจจะพักที่โรงแรมนี้นะคะ
ฝากติดตามผลงานของ Jellyjourney ต่อไปด้วยนะคะ
http://jellyjourney.bloggang.com, fb&IG : Jellyjourney
[CR] รีวิว เรียวกังออนเซน Yunoshimakan แห่งเมือง Gero
สวัสดีค่ะ Jellyjourney นะคะ ปรกติเขียนบลอคท่องเที่ยวอยู่ใน bloggang แต่วันนี้ขอมาโพสลงใน PANTIP หน่อยละกันเป็นครั้งแรก! คราวนี้เราจะมารีวิวเรียวกัง Yunoshimakan แห่งเมือง Gero ให้ฟัง ทริปญี่ปุ่นคราวนี้เราไปนาโกยาอีกแล้วเป็นรอบที่สอง เป็นทริป 6 วัน 5 คืน และหนึ่งใน 6 วันนั้นเราก็มาที่เมือง Gero นี้ค่ะ ..ทริปนี้เราเที่ยว Nagoya – Shirakawago – Takayama- Gero-Nagoya เป็น route ที่โอเคเลยค่ะ อยู่ไม่ไกลกันมากและเดินทางสะดวก เมือง Gero เป็นเมืองทางผ่านอยู่แล้วถ้าเกิดใครนั่งรถไฟกลับจาก Takayama มา Nagoya เมือง Gero เป็นเมืองออนเซ็นติดอันดับสามของญี่ปุ่นเลยนะคะ ถือว่ามีชื่อเสียงมากเลยทีเดียว และที่เมืองนี้ก็เต็มไปด้วยเรียวกันและที่พักมากมายที่มีออนเซ็นให้แช่พักกายสบายใจ (ขนาดเราไปเจอกลุ่มคุณตาคุณยายที่ Shirakawago คุณตาคุณยายยังบอกเลยว่า อ้อ เดี๋ยวพวกเค้าก็ไป Gero เหมือนกันหลังจากนี้! เอ้อ ดูสิ มันฮิตตั้งแต่กลุ่มหนุ่มสาว กลุ่มครอบครัวไปจนกลุ่มคุณตาคุณยายเลยทีเดียว
ที่ Yunoshimakan เค้ามีห้องหลายประเภทมากๆค่ะ ตั้งแต่แบบราคาไม่แพงมากจนไปถึงแพงหูฉี่ มีทั้งห้องเล็กเหมาะกับสองคน หรือถ้าใครมาเป็นครอบครัวใหญ่ก็มีห้องใหญ่ค่ะ สามารถเข้าไปดูประเภทของห้องได้จาก http://www.yunoshimakan.co.jp/english/ นี้ เลย
ทริปนี้เราเลือกพักห้องพักประเภท Bekkan ซึ่งเป็นห้องที่มีออนเซ็นในตัวเป็นแบบ outdoor ตกราคาคืนละ 16,225 บาท
Yunoshimakan มีรถรับส่งจากสถานีรถไฟค่ะ เพราะแม้เมือง Gero จะไปเมืองเล็กๆแต่โรงแรมนี้ตั้งอยู่บนเขา เดินไปคงลำบากแย่ (เดี๋ยวจะผิดคอนเซปสวยและรวยมากเอา 55 ) ซึ่งถ้าใครมารถไฟเค้าจะมีรอบรถรับส่ง ตั้งแต่ 13:35 14:35 15:35 16:35 และ 17.35 ก่อนเราไปพักทางโรงแรมจะส่งอีเมล์มาถามเราว่าเราจะเดินทางยังไง จะขึ้นรถที่เขาจัดไว้ให้มั๊ย ขึ้นรอบกี่โมง และอาหารทานอะไรไม่ได้บ้าง แพ้อะไรรึปล่าว แหม่ ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้ไป โรงแรมนี้ให้เชคอินได้ 15.00 นะคะ ถ้าเรามาเร็วเกินไปอาจจะกร่อยๆเพราะไม่รู้จะทำอะไรที่โรงแรม แนะนำให้มาพอดี 3 โมง หรือไม่ก็เดินเล่นที่รอบๆสถานีรถไฟ หาอะไรทานไปก่อนดีกว่าค่ะ...เรานั่งรถไฟ Hida Express จาก Takayama มาลงเมือง Gero ถึงประมาณบ่ายสองนิดๆค่ะ ออกจากสถานีปุ๊ปหน้าสถานีก็จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงแรมต่างๆชูป้ายตอนรับแขกและพาเราไปที่รถ
บรรยากาศสถานีรถไฟ มีที่พักเยอะมากจริงๆ อย่าไปผิดอันหละ 55
ถึงเวลารถออกตัว ขับไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงที่พักค่ะ เราไปปลายเดือนตุลานะ ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสีเท่าไหร่ค่ะ แต่แค่นี้ก็สวยมากๆแล้ว
ด้านหน้าจะมีเจ้าหน้าที่ยืนต้อนรับแขกและช่วยจัดการยกกระเป๋าของเราลงจากรถ
พอเข้าไปแล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ยังไม่ต้องจ่ายเงินนะคะ ไว้จ่ายตอนวันกลับค่ะ รองเท้าเราเค้าจะเก็บไว้ในห้องเก็บรองเท้า และเราก็ต้องเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะตั้งแต่แรกเลยค่ะ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จัดการCheck-in ให้เรา คุณผู้หญิงจะมีสิทธิเลือกชุดยูกาตะได้ 1 ชุด มีไซส์ S M L มีหลากหลายลายให้เลือกค่ะ แต่ก็ดูว่าจะค่อนข้างเก่าหน่อย สีซืดเชียว ส่วนของคุณผู้ชายจะมีสองสีให้เลือกนะคะ แต่จะอยู่ที่ห้องพักค่ะ ยังไม่ต้องเลือกตอนนี้
เลือกเรียบร้อยแล้วพนักงานจะเดินพาเราไปที่ห้องพักค่ะ บอกเลยว่าโรงแรมใหญ่มากและซับซ้อนมาก คือหลงได้ง่ายๆเลย ถึงแล้ว ห้องของเราอยู่ชั้น 5 ค่ะ
ถึงห้องแล้วพนักงานก็จัดแจงแนะนำห้องพัก แนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรม โดยการกางแผนที่ให้ดู ชอบมาก เป็นโรงแรมที่ต้องมีแผนที่จริงๆ เสร็จแล้วก็เตรียมชา จัดของว่างต้อนรับค่ะ พนักงานจะถามเราเลยว่าอาหารเย็นจะรับประทานกี่โมง เพราะที่นี่เค้าจะเสริ์ฟอาหารเย็นในห้องค่ะ เริ่มได้ตั้งแต่ 17.30-19.00
เมื่อคุณน้องพนักงานออกไปแล้ว ก็ได้เวลา Photo time+++ 2 สามีภรรยา วิ่งถ่ายรูปไปมาล่อไปเกือบชั่วโมง มาดูบรรยากาศในห้องกันค่ะ
เข้ามาในห้องจะประกอบไปด้วยห้องเล็กห้องน้อยที่สามารถกั้นได้ด้วยประตูทั้งหมด
ห้องใหญ่จะเป็นส่วนรับรองแขก รับประทานอาหาร และตกดึกก็ปูที่นอนตรงนี้เลยค่ะ ระเบียงห้องคือดีงามมาก เพราะห้องของเราสามารถเปิดประตูกระจกรับลมธรรมชาติได้เต็มๆ อากาศดีมากจริงๆ
ถัดมาเป็นโซนห้องน้ำที่ประกอบด้วย อ่างล้างหน้าอยู่ด้านนอก ห้องส้วมอยู่ด้านนึง อีกด้านเป็นห้องอาบน้ำและออนเซ็น indoor
ประตูถัดมาเป็นโซน ออนเซ็น outdoor ค่ะ ดูดีมากกก ฟิน
ด้านหน้าสุดของห้องจะเป็นโซนตู้เสื้อผ้าค่ะ ซึ่งในนี้ก็จะมีชุดยูกาตะของคุณผู้ชาย พร้อมด้วยถุงสีม่วงที่ให้เราเอาไปใส่ของเวลาไป public onsen หรือว่าเดินเล่นในบริเวณโรงแรม
ได้เวลาสำรวจโรงแรมแล้วสินะ แพลนของเราคือจะเดินไปโซน Entertainment และค่อยไปแช่ public onsen ตอน 5 โมงครึ่ง กลับมาห้องและรับประทานอาหารทุ่มนึงค่ะ พูดซะว่า Entertainment โซน ซึ่งจริงๆมันคือ โต๊ะปิงปองและโต๊ะบิลเลียดค่ะ ตั้งอยู่ชั้น 6
บรรยากาศก็จะดูเก่าๆนิดนึง แต่ก็พอเล่นได้ค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปตอนเล่นมา เพราะมันแปลกมากเลยใส่ชุดยูกาตะเล่นเนี่ย 55
โซนระเบียงชั้น 5 เป็น Foot Onsen ค่ะ สามารถมาแช่เท้าได้ตลอดค่ะ
บรรยากาศโรงแรม
ชั้น 3 จะเป็นโซน public onsen ซึ่งมี 2 บ่อ สลับระหว่างชายและหญิงตอนตี 2 ดังนั้นหากใครอยากสัมผัสบรรยากาศทั้ง 2 บ่อต้องมาแช่สองรอบนะคะ บรรยากาศด้านในเราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากนะ เพราะไม่ได้พกกล้องไป รูปด้านล่างมาจากในเวบไซต์เค้าค่ะ ซึ่งของจริงก็แบบนี้แป๊ะเลย ด้านในจะมีโซนเปลี่ยนชุด เดินเข้าไปเป็นโซนล้างตัวรอบๆและบ่อออนเซนแบบ indoor ถ้าใครอยากไปโซน outdoor ก็ต้องเดินผ่านอีกหนึ่งประตูไปด้านนอกค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าด้านนอกดีกว่าเยอะ อากาศดีกว่าและบรรยากาศดีกว่าค่ะ
Public Baht เปิดบริการ 3.00AM – 10.00AM และ 1.00 PM-1.00AM ก็คือว่าปิดตอน ตีหนึ่งถึงตีสอง และ10โมงถึงบ่ายโมงค่ะ
อ้อ ลืมบอกไป ถ้าใครไม่ได้จองห้องแบบมี onsen ส่วนตัวในห้อง แต่อยากแช่ออนเซนแบบส่วนตัวก็สามารถมาใช้บริการ private baht ได้นะคะ private baht คือห้องแช่ออนเซนแบบส่วนตัวที่จะมีหลากหลายขนาดให้เราเลือกตามจำนวนคนที่มาด้วย private baht จะตั้งอยู่ในชั้น 4 เปิดบริการ 3.00PM-9.00 AM ดูรูปตัวอย่าง private baht ได้จากเวบโรงแรมค่ะ
กลับมารับประทานอาหารเย็นกันดีกว่า พนักงานคนเดิมนำอาหารมาเสริ์ฟ เริ่มจากการดื่มสาเกเรียกน้ำย่อยก่อน และตามมาด้วยเครื่องเคียง อาหารคาวหวานเยอะมาก อิ่มแน่นอน ถ้าใครจะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก็สั่งได้เลยค่ะ เราชอบโรงแรมนี้มากอย่างนึงคือเค้ามีห้องเตรียมอาหารประจำทุกชั้นเลย ดังนั้นถ้าสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเพิ่มจะมาเร็วมาก
รูปรวม เซตที่ 1
อาหารเซตที่ 2 ไม่อิ่มก็ต้องอิ่มละค่ะที่นี้
ของหวานกันบ้าง ผลไม้และเยลลี่กาแฟ
ทานเสร็จน้องพนักงานก็จะถามว่าจะให้ปูที่นอนเลยรึใหม่ ถ้าให้ปูเลยเค้าก็จะเรียกทีมปูที่นอนมาค่ะ ขอบอกว่าต้องใช้คำว่า “ทีม” ปูที่นอนจริงๆ เพราะมากันสองคนและทำงานก็เป็นทีมสุดๆ ปูเร็วมากๆ มีStepในการปูเป๊ะๆ และงานเนี๊ยบเวอร์ คือแทบจะอยากอัดวิดิโอเลยอะ
ก่อนนอนต้อง utilize private outdoor onsen ของตัวเองซะหน่อย ข้างนอกอากาศเย็นนิดหน่อยค่ะ แช่ออนเซ็นแล้วยิ่งสบายยยย ดูดาวไปด้วย ฟินไปมาก คุ้มละเงินที่จ่ายไป 55
วันรุ่งขึ้นตื่นเช้าไป public onsen อีกรอบเพราะอยากไปลองบรรยากาศของอีกบ่อนึงค่ะ เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารเช้า คราวนี้ไม่ได้ทานที่ห้องนะคะ ไปทานที่ breakfast dining room ค่ะ ตอนแรกขึ้นไปก็นึกว่าเป็นห้องอาหารเช้าที่ให้ตักทานเองธรรมดา แต่ปรากฎว่าไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ นั่งอย่างเดียว เพราะเค้าเตรียมเซตอาหารมาให้ไว้อยู่แล้ว อลังการและอิ่มมากอีกเช่นเคย สามารถรับประทานอาหารเช้าได้ตั้งแต่ 7.00-8.30 ค่ะ
หมดเวลาสนุกแล้วสิ จัดแจงเก็บกระเป๋าและ check out จ่ายเงิน เราใช้บริการรถรับส่งไปสถานีรถไฟเหมือนเดิมค่ะ รถมีรอบตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงกว่าๆ สามารถกะเวลาได้เองว่าอยากจะออกกี่โมง เพราะจริงๆแล้วโรงแรมให้ check-out ได้ถึงเที่ยงเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบค่ะ หวังว่าคงเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อยในการมาเที่ยวเมือง Gero และสนใจจะพักที่โรงแรมนี้นะคะ
ฝากติดตามผลงานของ Jellyjourney ต่อไปด้วยนะคะ http://jellyjourney.bloggang.com, fb&IG : Jellyjourney
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น