มีเขียนไว้ที่บล็อกนะคะ ขออนุญาติ แชร์ประสบการณ์มาที่นี่ 🙏🙏
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้www.ป้าอ้อมชวนคุย.com
ขอแทนตัวว่า :ป้าอ้อมแล้วกันนะคะ ในวัยที่เข้าสู่วัยแห่งคุณค่าสูง "คือวัยทอง" จากคนที่ชิลล์มากในการผ่าตัด ไม่เคยกลัว และคิดเสมอ "แค่ผ่าตัดเอง" ไม่เห็นจะเป็นไรเลย!!
ได้เกิดมีเรื่องราวที่เข็ดขยาดในการผ่าตัดที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ แผลผ่าตัดยังชัดเจนมาก .. จากที่จะนอน รพ. แค่ 3 วัน จัดไปเต็มๆ 24 วัน
>>ก่อนอื่นเราจะข้ามจุดที่หาคนผิด หรือสอบถามว่า หมอท่านใด? โรงพยาบาลใด? แต่เราจะเล่าสู่กันเพื่อได้อ่าน ป้าอ้อมเป็นอะไร? โรคอะไรใยต้องถึงกับผ่าตัด? และอยากให้สัมผัสถึงอาการที่เจอในเวลานั้นๆ สิ่งที่ต้องเผชิญในเหตุการณ์ที่เฉียด เฉียดยังไง? การรับมือของป้าอ้อมหล่ะ ทำยังไงบ้าง? เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์ขอให้ท่านได้อ่าน และรับรู้ไปด้วยกันนะคะ เผื่อเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้าของใครสักคน
มีเขียนไว้ที่บล็อกนะคะ ขออนุญาติ แชร์ประสบการณ์มาที่นี่ 🙏🙏
ก่อนหน้านี้ ถ้าพูดเรื่องผ่าตัด ป้าอ้อมบอกเลย สบ๊าย... จากการผ่าตัดที่ผ่านมา นับไปรวมๆ กัน ก็ประมาณ 5 ครั้งเห็นจะได้
1. ผ่าตัดถุงน้ำที่รังไข่ซ้ายที่มาพร้อมการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 รอลูกสร้างอวัยวะ ครบ
ผ่าเพื่อเอาถุงน้ำ ขนาด 22*5 เซนออกพร้อมตัดรังไข่ซ้าย(เปิดหน้าท้องวางยาสลบ)
2.อายุครรภ์ครบ 32 สัปดาห์ มีเมือกปนเลือดออกทางช่องคลอด สรุปหาปากมดลูกไม่เจอ
ต้องผ่าเพื่อเอาเด็กออก บล็อคหลัง และเปิดท้องโดยเอามือล้วงไปที่หน้าท้องพร้อมสอดควานหาปากมดลูกเพื่อเช็คปากมดลูกว่ามีหรือไม่?
3.มีอาการท้องโต สรุปเนื้องอกเกิดซ้ำที่เดิม คือ รังไข่ด้านซ้าย ทำการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เลาะถุงน้ำออก
4.มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียน เข้ารับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน สรุปครั้งนี้ ผ่าตัดแบบส่องกล้องครั้งแรก และผลคือ มีเนื้องอกที่รังไข่ซ้าย สรุปเลาะเนื้องอกออก
5. มีอาการปวดท้องข้างขวาร้าวไปด้านหลัง ก่อนหน้านั้นมีอาการเลือดจางมาก
สรุปพบคือ ถุงน้ำดีอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ 1 วัน แล้วจึงเข้ารับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง
>>ผลจากที่รับการผ่านตัดทุกครั้งที่ผ่านมา การพักฟื้นที่ รพ.ไม่เกิน 3 - 5 วัน ก็ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน และการฟื้นตัวด้วยวัยช่วงนั้น พร้อมทั้งงานที่ต้องรับผิดชอบ เพียง 21 วันก็ เข้าทำงาน ไม่มีปัญหาในการพักฟื้นแต่อย่างใด
>>นี่คงเป็นเหตุผลในการตัดสินใจที่ไม่ยากมากในการผ่าตัดครั้งล่าสุดนี้ ด้วยเหตุผลที่เราผ่าน ประสบการณ์ที่เรามี พร้อมทั้งวิวัฒนาการ ทางการแพทย์ทำให้เราเกิดการไว้วางใจ ในการผ่าตัด ไม่คำนึงถึงผลลัพถ์ที่เป็นด้านลบสักเท่าไร
>>> ปัญหาของป้าอ้อม ที่ตัดสินใจผ่าตัด คือ ผลจากเลือดจางมาก ค่าความเข้มข้นเหลือเพียง 24% จากคนปกติต้องอยู่ที่ 34%สำหรับผู้หญิง และขั้นต่ำผู้ชาย คือ 36%
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รูปแผลโหดๆอยู่ในบล็อกนะคะ
ป้าอ้อมขอเตือนผู้ที่เข้ามาอ่านเลยนะคะ
>>เลือดจางนี่ใครว่าไม่สำคัญ ด้วยปัญหานี้จากคนที่แข็งแรง หญิงอึด กลายเป็นคนขี้โรค เหนื่อยง่าย ติดเชื้อมันทุกเชื้อบนโลกใบนี้ เดี๋ยวท้องเสียอาเจียน เดี๋ยวบ้านหมุน เชื้อราที่ช่องคลอด สารพัดโรคที่ไม่เคยเป็น เข้า-ออกโรงพยาบาล ประดุจไปเดินห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว แรกๆ ก็ปล่อยผ่าน
..พอจะเริ่มรักษาก็ดั้นไปหา โรงพยาบาลที่การดูแลไม่ดี ไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะประกันสังคม เพราะน่าจะอยู่ที่ จริยธรรมของผู้ดูแลเราต่างหาก ปล่อยให้ตัวเองเลือดจาง จนเข้าขั้นวิกฤติ ในภาวะตอนนั้นการศึกษาจากข้อมูลหลายๆ แห่ง ทำให้เกิดวิตกจริตมากมาย เลยเถิดจนจิตนาการว่าตนเองอาจเป็นโรคร้ายแรง ประกอบกับการรู้อยู่ว่า ประจำเดือนที่มาแต่ละเดือนเกิดปัญหาแน่ๆ คือมากเกินปกติ และอาการคือ ท้องโต เพลียจนทำอะไรไม่ได้ต้องนอนนิ่งๆ เท่านั้น อาการนี้เป็นประมาน 7 วัน ของแต่ละเดือน
>>แต่แทนที่ป้าอ้อมจะตระหนัก ยังไม่สิ้นสุดในการค้นหา ดั้นด้น ไปหาแพทย์แผนไทย สรุปยาแพงกว่าเดิมอี้ก หาสารพัด มีการนำสมุนไพรจีนมากินบำรุงด้วย มีซื้อสมุนไพรจีนมาดองเหล้าขาวด้วยนะคะ จัดไปซื้อเหล้าขาวมาเป็นโหล สรุปได้กลิ่นเหล้าขาวเวียนหัว คลื่นใส้ ก็ยังคิดนะเก็บไว้สักปีค่อยว่ากัน ยังๆๆ ไม่สลด 555+
>>วันแห่งการตั้งสติได้ เปิดเจอรายการที่คุณแม่ชีศันศนีย์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เรื่อง "ท่านเป็นมะเร็ง และได้ทำการรักษาอยู่ " เกิดความสว่างวาบ นึกในใจ " เรานี่ไปเยอะนะ หลุดอะไรขนาดนี้"
..เลยตัดสินใจ ไปตรวจสุขภาพตามสามีแนะนำแกมบังคับ(บังคับมา 2 ปีแหล่ะ) อิดออดมาพักนึงคะ กลัวเจอโน่น นี่ สารพัด เพราะอาการเลือดจางนี่ หนักแล้ว สิ่งที่รู้เต็มอกคือ กล้วการผ่าตัด เพราะเราได้มีการตรวจภายในหามะเร็งปากมดลูกทุกปี พร้อมอัลตร้าซาวนด์พอรู้ว่า มีความผิดปกติ คือมีซีส ที่รังไข่ และมดลูก ประมาณ 5 ก้อน ดูทุกปีขนาดก็ไม่ได้โตขึ้น แต่ที่ผิดปกติคือ มดลูกโตขึ้น ก็พยายามเลี่ยง จากการที่ได้อ่านและค้นข้อมูลพร้อมสอบถามคุณหมอเพื่อให้รู้จากข้อมูลหลายๆด้าน
...ผู้หญิงจะหมดประจำเดือนโดยเฉลี่ยประมาณ ที่อายุ 48-52 ปี และการหมดประจำเดือน รังไข่เราจะฝ่อและมดลูกก็จะหยุดลอกสาเหตุที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ทำให้เลี่ยงมาโดยตลอด เพื่อรอให้ถึงอายุนั้นเพราะตอนนี้ก็ใกล้แล้ว
>>แต่เมื่อวันที่ 26/12/2560 ที่ผ่านมาได้เข้าตรวจสุขภาพแบบจัดเต็ม สรุปเลือดจางจริงคะ ก็อยู่ที่ 24% ขนาดของเม็ดเลือด เล็กไม่สมบูรณ์ (MCV) 54.4 แต่สุขภาพโดยรวมกับดี ถือ ว่าดีมาก
หัวใจ ปกติ
ช่องท้อง ปกติ
ระบบประสาท ปกติ
แขน ขา ปกติ
กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ ปกติ
ระบบผิวหนัง ปกติ
ระดับน้ำตาล ปกติ
สมรรถภาพของไต ,ตับ,เก๊าท์,ไขมันในเส้นเลือด ดีทุกอย่าง
ที่ผิดปกติ นี่ สารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ 109 <35 ถือว่ามีความเสี่ยง ตรวจภายในเจอ มดลูกโตขนาด เกือบ 10 เซน จากปกติ มดลูกควรไม่โตเกิน 3*5*7
สรุป: ก็ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอสูติ ว่า เห็นควรให้ผ่าตัดเอามดลูกออกดีกว่า รังไข่ให้พิจารณาเองว่าจะเอาไว้มั้ยเพราะ รังไข่เหลือแค่รังไข่ขวา การสร้างฮอโมน หากตัดสินใจตัดก็ต้องกินฮอโมนเสริม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ถึงขั้นตกเลือดได้ หากพิจารณาว่าควรจะดูแลส่วนไหน กรณีที่เราต้องเลือก เพราะมดลูก รังไข่ มีอายุของเค้า แต่เลือดนี่ควรมีตลอดชีวิต ตัดสินใจดีๆ และแนะนำให้หาคุณหมอโลหิตวิทยา กินยาธาตุเหล็กให้เลือดขึ้นค่อยตัดสินใจในการผ่าตัดอีกที
>>ป้าอ้อมก็ได้ปรึกษาหารือกับสามีจนเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะผ่าตัด แต่ก่อนอื่นให้เลือดเข้าสู่ภาวะปกติก่อน เราได้ใช้เวลากู้เลือดเพียง 1 เดือน(คือไปหลง งง กับ รพ.ที่บอกว่าเราเป็นธาลัสซีเมียแฝง ไม่ให้กินธาตุเหล็ก แต่จริงแล้ว แฝงคือคนปกติ จะมีผลก็ต่อเมื่อเราจะมีลูก โง่ตั้งนาน สับสนกับเรื่องนี้ไปพักนึง) ความเข้มข้นของเลือดกลับมา ที่ 36% ขนาดก็ยังเล็ก แต่ความสมบูรณ์โตขึ้นที่ 71.6% (คุณหมอโลหิตบอกต้องประมาณ 80-90%)
👉จากภาวะทั้งหลายที่กล่าวมา ได้ตัดสินใจจะทำการผ่าตัด มดลูก รังไข่ขวา ออก วันที่ 20/1/2561 ได้เข้าปรึกษา และนัดหมายคุณหมอสูติ โดยเลือกการผ่าตัดแบบส่องกล้องเพราะคำนึงถึงการพักฟื้นที่จะตามมา คุณหมอได้แจ้งว่า จะทำการตัดแบบถอนรากถอนโคน คือ ตัดออกทั้ง มดลูก+ปากมดลูก+รังไข่ข้างขวา และจะเอาออกมาผ่านทางช่องคลอด ได้ข้อสรุป คือ นัดผ่าตัดวันที่ 2/2/2561 ช่วงบ่าย (การผ่ามีหลายแบบคะ หาได้จากอากู๋)
👉 ป้าอ้อมก็อดอาหารตั้งแต่ เวลา 06.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เพราะเวลาที่คุณหมอสูติ ผ่าประมาณ 14.00 น.
😓 ผ่าตัดออกมา รู้สึกตัวมีอาการผิดปกติ หลายอย่าง เกิดความร้อนมาก ร้อนเหมือนร่างกายจะไหม้ เหมือนต้องมนต์กฤษณะกาลี (เอาละครพีคๆมาใช้เลย) ร้อนมากเปิดแอร์จนคนเฝ้าหนาวแต่เราต้องเอาพัดลมมาจ่อหัว พร้อมมีอาการปวดท้องจนยืดลำตัวไม่ได้ต้องนอนชันข่าตลอดเวลา แต่ด้วยความร้อนที่มากกว่าทำให้ลืมความปวดว่าตนเองปวดขนาดไหน คุณหมอสูติมาก็ได้ให้ฉีดยาแก้ปวดระงับ
วันที่ 3/2/2561 คุณหมอสูติ ได้มาพูดคุยแต่เราก็ไม่ได้เห็นถึงความผิดปกติเพราะร้อนนี่ชัด และปวดจนยืดลำตัวไม่ได้แต่เราเป็นคนอดทนเก่งทำให้เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ จนคุณหมอคิดว่าไม่น่าห่วง ให้เอาสายน้ำเกลือออก เพื่อเตรียมตัวให้กินน้ำ กินอาหาร เพื่อเตรียมการกลับไปพักฟื้นที่บ้าน
วันที่ 4/2/2561 ป้าอ้อมคงดีใจมากว่าจะได้กลับบ้าน โดยคิดว่าการผ่าตัดน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี และคงเหมือนกับทุกๆ ครั้ง จนไม่มีการฉุกคิด เอะใจ ในการปวดที่ไม่สามารถนอนราบได้ ต้องนอนชันเข่า แถมพยาบาลเข้ามาเช็ดตัว แค่โดนตัวเท่านั้น ร้องควรญคราง น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดร้าวรานมากที่สุด จนความกระจ่างที่ชัดที่สุดว่าอาการไม่ปกติ คือ เวลาจะกินแล้ว อิป้า ขอกินน้ำมะพร้าว และ น้ำแดง เฮลบลูบอยจากสามี แค่จิบเท่านั้นแหล่ะ อาเจียนมาเยอะมาก จนเป็นสีเขียว
..ตอนนี้ทุกคนเริ่มตกใจแล้ว เพราะอาเจียนเยอะจริงๆ ช่วงบ่ายคุณหมอสูติได้เข้าดูอาการ และขอให้ตรวจดูอาการอีกรอบ โดยเข้า CT Scan ผลปรากฎว่า "เกิดภาวะท้องบวม น้ำท่วมช่องท้อง" เท่านั้นแหล่ะ มีคุณหมอศัลยกรรม 2 ท่าน ขึ้นมา ตบแขนเบาๆ "ป่ะ ผ่าตัดอีกรอบเนอะจะได้หาย" คุณหมอข๋าาา ชวนเข้าห้องผ่าตัด เหมือนชวนไปดูหนังที่เมกา เชียวนะคะ อิป้าเหรอคะ หน้าเหว๋อ พร้อม อุทาน"ห๊าาา ผ่าอีกเหรอคะ" สลดใจในบัดดล
>>>ขอรำพึงรำพันสักนิดนะคะ จากอาการที่บอก นอนยืดขาไม่ได้ การเข้าตรวจเครื่อง CT Scan นั้น ทรมานมากน้ำตาไหลริน อิป้าอ้อมร้องโหยหวนสุดๆ ตั้งแต่จับฉีดสีที่แขนบังคับเอาสายรัดที่ขา แค่ลากเข้า-ออก ถ่ายรูป 10 รอบ เหมือนจะหยุดหายใจ ครั้งเดียวไม่ว่า ต้องเข้าถึง 2 รอบ เพราะต้องดูว่าสีที่ฉีดเข้าไปขับออกหมดหรือไม่ <<< เห็นในโทรทัศน์เข้าออกซะสวย เจอเอง ขยาดเลย กลัวเครื่อง CT Scan
วันที่ 5/2/2561 เข้าห้องผ่าตัดอีกรอบ รอบนี้หนักมากคะ จากการอดอาหารมี 2 วัน ความปวดร้าวคือการหาเส้นเลือดไม่เจอ กว่าจะหาเส้นเลือดเพื่อเจาะได้ โดนไป 3 รอบ แล้วต้องใช้เข็มใหญ่เผื่อห้องผ่าตัดต้องให้สารอาหาร หรือ เลือด น้ำตาไหลพรากเช่นกัน
..รู้สึกตัวก็คือ สายระโยงระยางทั้ง 2 แขน มีให้น้ำเกลือ,พลาสม่า,ยาฆ่าเชื้อ ,มีสวนจมูกเพื่อดูดน้ำดีในท้อง ,ให้อ๊อกซิเจนบริสุทธิ์ปิดครอบจมูก ,สายเดรนน้ำเหลืองข้างเอวข้างขวา ,สายสวนปัสสาวะ ตื่นมาแบบ งงๆ เพียงได้ยิน โชคดีนะ คนไข้รู้สึกตัวดี ไม่ต้องอยู่ห้อง ไอซียู
วันที่ 6-10/2/2561 วันแห่งความอดทน และในทุกวันมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
ต้องอดน้ำ อดอาหาร ต้องมีการล้างแผล ต้องมีการเช็ดตัวเช้าเย็น
ลุกจากเตียงไม่ได้ นอนติดเตียง นอนใส่แพมเพิส เกิดแผลกดทับ
แพ้ ยาแก้ปวด(มอร์ฟีน) เพ้อ ต้องนอนประคองสติ เลือกที่จะเลี่ยงยาแก้ปวด
หัวหน้าพยาบาล บังคับให้เดิน ทั้งที่พึ่งจะถอดเครื่องพันธนาการทั้งหลาย ในวันที่ 9/2/2561 น้ำพึ่งจะได้จิบเมื่อวันที่ 10/2/2561 อย่าว่าแต่เดิน แค่เขย่าเตียงก็สุดๆ แล้ว
ตั้งแต่ผ่าตัดมา วันที่ 8-10 มีการล้างแผล เช้าโดยคุณหมอศัลยกรรม เย็นล้างโดยคุณพยาบาล
>>จากที่เราไม่รู้ และคงไม่ได้สนใจ ว่าการผ่าตัดครั้งนี้เป็นอย่างไร? และแผลที่เราผ่า? นั้น มีผลเช่นไร?
..มารู้ซึ่งอีกรอบก็วันที่ 11/2/2561 เกิดจากวันที่ 10/2/2561 ตัวเราก็กลัวเรื่องอาการท้องอืด และเหตุที่เรานอนติดเตียงนาน เกิดอาการกล้ามเนื้อลีบ เราก็อยากเดิน พยาบาลหวังดีก็เอา สเตย์มาให้ใส่ พร้อมจะผ่าเดิน สรุปวันนั้นก็ไม่สามารถเดินได้ แต่ เรื่องเดินไม่ใช่ประเด็น แต่เกิดอาการ แผลผ่าตัดอักเสบปวดจนนอนไม่ได้ ต้องใช้ ยาแก้ปวด (มอร์ฟีน) ทั้งๆ ที่พยายามเลี่ยงมาได้ หลายวัน ทั้งอาการปวด พอทุเลาปวดก็เพ้อฝันไปร้อยเรื่องราว ทั้งเหมือนมีคนจะมาทำร้าย (เข้าใจในครั้งนั้นว่าอาการของคนที่สติหลุดเป็นเช่นไร)
การผ่าตัดที่เราต้องเผชิญ คาดเดาเองไม่ได้ ประสบการณ์เฉียดตาย!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอแทนตัวว่า :ป้าอ้อมแล้วกันนะคะ ในวัยที่เข้าสู่วัยแห่งคุณค่าสูง "คือวัยทอง" จากคนที่ชิลล์มากในการผ่าตัด ไม่เคยกลัว และคิดเสมอ "แค่ผ่าตัดเอง" ไม่เห็นจะเป็นไรเลย!!
ได้เกิดมีเรื่องราวที่เข็ดขยาดในการผ่าตัดที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ แผลผ่าตัดยังชัดเจนมาก .. จากที่จะนอน รพ. แค่ 3 วัน จัดไปเต็มๆ 24 วัน
>>ก่อนอื่นเราจะข้ามจุดที่หาคนผิด หรือสอบถามว่า หมอท่านใด? โรงพยาบาลใด? แต่เราจะเล่าสู่กันเพื่อได้อ่าน ป้าอ้อมเป็นอะไร? โรคอะไรใยต้องถึงกับผ่าตัด? และอยากให้สัมผัสถึงอาการที่เจอในเวลานั้นๆ สิ่งที่ต้องเผชิญในเหตุการณ์ที่เฉียด เฉียดยังไง? การรับมือของป้าอ้อมหล่ะ ทำยังไงบ้าง? เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์ขอให้ท่านได้อ่าน และรับรู้ไปด้วยกันนะคะ เผื่อเกิดประโยชน์ในภายภาคหน้าของใครสักคน
มีเขียนไว้ที่บล็อกนะคะ ขออนุญาติ แชร์ประสบการณ์มาที่นี่ 🙏🙏
ก่อนหน้านี้ ถ้าพูดเรื่องผ่าตัด ป้าอ้อมบอกเลย สบ๊าย... จากการผ่าตัดที่ผ่านมา นับไปรวมๆ กัน ก็ประมาณ 5 ครั้งเห็นจะได้
1. ผ่าตัดถุงน้ำที่รังไข่ซ้ายที่มาพร้อมการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 รอลูกสร้างอวัยวะ ครบ
ผ่าเพื่อเอาถุงน้ำ ขนาด 22*5 เซนออกพร้อมตัดรังไข่ซ้าย(เปิดหน้าท้องวางยาสลบ)
2.อายุครรภ์ครบ 32 สัปดาห์ มีเมือกปนเลือดออกทางช่องคลอด สรุปหาปากมดลูกไม่เจอ
ต้องผ่าเพื่อเอาเด็กออก บล็อคหลัง และเปิดท้องโดยเอามือล้วงไปที่หน้าท้องพร้อมสอดควานหาปากมดลูกเพื่อเช็คปากมดลูกว่ามีหรือไม่?
3.มีอาการท้องโต สรุปเนื้องอกเกิดซ้ำที่เดิม คือ รังไข่ด้านซ้าย ทำการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เลาะถุงน้ำออก
4.มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียน เข้ารับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน สรุปครั้งนี้ ผ่าตัดแบบส่องกล้องครั้งแรก และผลคือ มีเนื้องอกที่รังไข่ซ้าย สรุปเลาะเนื้องอกออก
5. มีอาการปวดท้องข้างขวาร้าวไปด้านหลัง ก่อนหน้านั้นมีอาการเลือดจางมาก
สรุปพบคือ ถุงน้ำดีอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ 1 วัน แล้วจึงเข้ารับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง
>>ผลจากที่รับการผ่านตัดทุกครั้งที่ผ่านมา การพักฟื้นที่ รพ.ไม่เกิน 3 - 5 วัน ก็ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน และการฟื้นตัวด้วยวัยช่วงนั้น พร้อมทั้งงานที่ต้องรับผิดชอบ เพียง 21 วันก็ เข้าทำงาน ไม่มีปัญหาในการพักฟื้นแต่อย่างใด
>>นี่คงเป็นเหตุผลในการตัดสินใจที่ไม่ยากมากในการผ่าตัดครั้งล่าสุดนี้ ด้วยเหตุผลที่เราผ่าน ประสบการณ์ที่เรามี พร้อมทั้งวิวัฒนาการ ทางการแพทย์ทำให้เราเกิดการไว้วางใจ ในการผ่าตัด ไม่คำนึงถึงผลลัพถ์ที่เป็นด้านลบสักเท่าไร
>>> ปัญหาของป้าอ้อม ที่ตัดสินใจผ่าตัด คือ ผลจากเลือดจางมาก ค่าความเข้มข้นเหลือเพียง 24% จากคนปกติต้องอยู่ที่ 34%สำหรับผู้หญิง และขั้นต่ำผู้ชาย คือ 36%
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป้าอ้อมขอเตือนผู้ที่เข้ามาอ่านเลยนะคะ
>>เลือดจางนี่ใครว่าไม่สำคัญ ด้วยปัญหานี้จากคนที่แข็งแรง หญิงอึด กลายเป็นคนขี้โรค เหนื่อยง่าย ติดเชื้อมันทุกเชื้อบนโลกใบนี้ เดี๋ยวท้องเสียอาเจียน เดี๋ยวบ้านหมุน เชื้อราที่ช่องคลอด สารพัดโรคที่ไม่เคยเป็น เข้า-ออกโรงพยาบาล ประดุจไปเดินห้างสรรพสินค้าเลยทีเดียว แรกๆ ก็ปล่อยผ่าน
..พอจะเริ่มรักษาก็ดั้นไปหา โรงพยาบาลที่การดูแลไม่ดี ไม่อยากโทษว่าเป็นเพราะประกันสังคม เพราะน่าจะอยู่ที่ จริยธรรมของผู้ดูแลเราต่างหาก ปล่อยให้ตัวเองเลือดจาง จนเข้าขั้นวิกฤติ ในภาวะตอนนั้นการศึกษาจากข้อมูลหลายๆ แห่ง ทำให้เกิดวิตกจริตมากมาย เลยเถิดจนจิตนาการว่าตนเองอาจเป็นโรคร้ายแรง ประกอบกับการรู้อยู่ว่า ประจำเดือนที่มาแต่ละเดือนเกิดปัญหาแน่ๆ คือมากเกินปกติ และอาการคือ ท้องโต เพลียจนทำอะไรไม่ได้ต้องนอนนิ่งๆ เท่านั้น อาการนี้เป็นประมาน 7 วัน ของแต่ละเดือน
>>แต่แทนที่ป้าอ้อมจะตระหนัก ยังไม่สิ้นสุดในการค้นหา ดั้นด้น ไปหาแพทย์แผนไทย สรุปยาแพงกว่าเดิมอี้ก หาสารพัด มีการนำสมุนไพรจีนมากินบำรุงด้วย มีซื้อสมุนไพรจีนมาดองเหล้าขาวด้วยนะคะ จัดไปซื้อเหล้าขาวมาเป็นโหล สรุปได้กลิ่นเหล้าขาวเวียนหัว คลื่นใส้ ก็ยังคิดนะเก็บไว้สักปีค่อยว่ากัน ยังๆๆ ไม่สลด 555+
>>วันแห่งการตั้งสติได้ เปิดเจอรายการที่คุณแม่ชีศันศนีย์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ เรื่อง "ท่านเป็นมะเร็ง และได้ทำการรักษาอยู่ " เกิดความสว่างวาบ นึกในใจ " เรานี่ไปเยอะนะ หลุดอะไรขนาดนี้"
..เลยตัดสินใจ ไปตรวจสุขภาพตามสามีแนะนำแกมบังคับ(บังคับมา 2 ปีแหล่ะ) อิดออดมาพักนึงคะ กลัวเจอโน่น นี่ สารพัด เพราะอาการเลือดจางนี่ หนักแล้ว สิ่งที่รู้เต็มอกคือ กล้วการผ่าตัด เพราะเราได้มีการตรวจภายในหามะเร็งปากมดลูกทุกปี พร้อมอัลตร้าซาวนด์พอรู้ว่า มีความผิดปกติ คือมีซีส ที่รังไข่ และมดลูก ประมาณ 5 ก้อน ดูทุกปีขนาดก็ไม่ได้โตขึ้น แต่ที่ผิดปกติคือ มดลูกโตขึ้น ก็พยายามเลี่ยง จากการที่ได้อ่านและค้นข้อมูลพร้อมสอบถามคุณหมอเพื่อให้รู้จากข้อมูลหลายๆด้าน
...ผู้หญิงจะหมดประจำเดือนโดยเฉลี่ยประมาณ ที่อายุ 48-52 ปี และการหมดประจำเดือน รังไข่เราจะฝ่อและมดลูกก็จะหยุดลอกสาเหตุที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ทำให้เลี่ยงมาโดยตลอด เพื่อรอให้ถึงอายุนั้นเพราะตอนนี้ก็ใกล้แล้ว
>>แต่เมื่อวันที่ 26/12/2560 ที่ผ่านมาได้เข้าตรวจสุขภาพแบบจัดเต็ม สรุปเลือดจางจริงคะ ก็อยู่ที่ 24% ขนาดของเม็ดเลือด เล็กไม่สมบูรณ์ (MCV) 54.4 แต่สุขภาพโดยรวมกับดี ถือ ว่าดีมาก
หัวใจ ปกติ
ช่องท้อง ปกติ
ระบบประสาท ปกติ
แขน ขา ปกติ
กระดูก ข้อ กล้ามเนื้อ ปกติ
ระบบผิวหนัง ปกติ
ระดับน้ำตาล ปกติ
สมรรถภาพของไต ,ตับ,เก๊าท์,ไขมันในเส้นเลือด ดีทุกอย่าง
ที่ผิดปกติ นี่ สารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ 109 <35 ถือว่ามีความเสี่ยง ตรวจภายในเจอ มดลูกโตขนาด เกือบ 10 เซน จากปกติ มดลูกควรไม่โตเกิน 3*5*7
สรุป: ก็ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอสูติ ว่า เห็นควรให้ผ่าตัดเอามดลูกออกดีกว่า รังไข่ให้พิจารณาเองว่าจะเอาไว้มั้ยเพราะ รังไข่เหลือแค่รังไข่ขวา การสร้างฮอโมน หากตัดสินใจตัดก็ต้องกินฮอโมนเสริม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ถึงขั้นตกเลือดได้ หากพิจารณาว่าควรจะดูแลส่วนไหน กรณีที่เราต้องเลือก เพราะมดลูก รังไข่ มีอายุของเค้า แต่เลือดนี่ควรมีตลอดชีวิต ตัดสินใจดีๆ และแนะนำให้หาคุณหมอโลหิตวิทยา กินยาธาตุเหล็กให้เลือดขึ้นค่อยตัดสินใจในการผ่าตัดอีกที
>>ป้าอ้อมก็ได้ปรึกษาหารือกับสามีจนเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะผ่าตัด แต่ก่อนอื่นให้เลือดเข้าสู่ภาวะปกติก่อน เราได้ใช้เวลากู้เลือดเพียง 1 เดือน(คือไปหลง งง กับ รพ.ที่บอกว่าเราเป็นธาลัสซีเมียแฝง ไม่ให้กินธาตุเหล็ก แต่จริงแล้ว แฝงคือคนปกติ จะมีผลก็ต่อเมื่อเราจะมีลูก โง่ตั้งนาน สับสนกับเรื่องนี้ไปพักนึง) ความเข้มข้นของเลือดกลับมา ที่ 36% ขนาดก็ยังเล็ก แต่ความสมบูรณ์โตขึ้นที่ 71.6% (คุณหมอโลหิตบอกต้องประมาณ 80-90%)
👉จากภาวะทั้งหลายที่กล่าวมา ได้ตัดสินใจจะทำการผ่าตัด มดลูก รังไข่ขวา ออก วันที่ 20/1/2561 ได้เข้าปรึกษา และนัดหมายคุณหมอสูติ โดยเลือกการผ่าตัดแบบส่องกล้องเพราะคำนึงถึงการพักฟื้นที่จะตามมา คุณหมอได้แจ้งว่า จะทำการตัดแบบถอนรากถอนโคน คือ ตัดออกทั้ง มดลูก+ปากมดลูก+รังไข่ข้างขวา และจะเอาออกมาผ่านทางช่องคลอด ได้ข้อสรุป คือ นัดผ่าตัดวันที่ 2/2/2561 ช่วงบ่าย (การผ่ามีหลายแบบคะ หาได้จากอากู๋)
👉 ป้าอ้อมก็อดอาหารตั้งแต่ เวลา 06.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เพราะเวลาที่คุณหมอสูติ ผ่าประมาณ 14.00 น.
😓 ผ่าตัดออกมา รู้สึกตัวมีอาการผิดปกติ หลายอย่าง เกิดความร้อนมาก ร้อนเหมือนร่างกายจะไหม้ เหมือนต้องมนต์กฤษณะกาลี (เอาละครพีคๆมาใช้เลย) ร้อนมากเปิดแอร์จนคนเฝ้าหนาวแต่เราต้องเอาพัดลมมาจ่อหัว พร้อมมีอาการปวดท้องจนยืดลำตัวไม่ได้ต้องนอนชันข่าตลอดเวลา แต่ด้วยความร้อนที่มากกว่าทำให้ลืมความปวดว่าตนเองปวดขนาดไหน คุณหมอสูติมาก็ได้ให้ฉีดยาแก้ปวดระงับ
วันที่ 3/2/2561 คุณหมอสูติ ได้มาพูดคุยแต่เราก็ไม่ได้เห็นถึงความผิดปกติเพราะร้อนนี่ชัด และปวดจนยืดลำตัวไม่ได้แต่เราเป็นคนอดทนเก่งทำให้เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ จนคุณหมอคิดว่าไม่น่าห่วง ให้เอาสายน้ำเกลือออก เพื่อเตรียมตัวให้กินน้ำ กินอาหาร เพื่อเตรียมการกลับไปพักฟื้นที่บ้าน
วันที่ 4/2/2561 ป้าอ้อมคงดีใจมากว่าจะได้กลับบ้าน โดยคิดว่าการผ่าตัดน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี และคงเหมือนกับทุกๆ ครั้ง จนไม่มีการฉุกคิด เอะใจ ในการปวดที่ไม่สามารถนอนราบได้ ต้องนอนชันเข่า แถมพยาบาลเข้ามาเช็ดตัว แค่โดนตัวเท่านั้น ร้องควรญคราง น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดร้าวรานมากที่สุด จนความกระจ่างที่ชัดที่สุดว่าอาการไม่ปกติ คือ เวลาจะกินแล้ว อิป้า ขอกินน้ำมะพร้าว และ น้ำแดง เฮลบลูบอยจากสามี แค่จิบเท่านั้นแหล่ะ อาเจียนมาเยอะมาก จนเป็นสีเขียว
..ตอนนี้ทุกคนเริ่มตกใจแล้ว เพราะอาเจียนเยอะจริงๆ ช่วงบ่ายคุณหมอสูติได้เข้าดูอาการ และขอให้ตรวจดูอาการอีกรอบ โดยเข้า CT Scan ผลปรากฎว่า "เกิดภาวะท้องบวม น้ำท่วมช่องท้อง" เท่านั้นแหล่ะ มีคุณหมอศัลยกรรม 2 ท่าน ขึ้นมา ตบแขนเบาๆ "ป่ะ ผ่าตัดอีกรอบเนอะจะได้หาย" คุณหมอข๋าาา ชวนเข้าห้องผ่าตัด เหมือนชวนไปดูหนังที่เมกา เชียวนะคะ อิป้าเหรอคะ หน้าเหว๋อ พร้อม อุทาน"ห๊าาา ผ่าอีกเหรอคะ" สลดใจในบัดดล
>>>ขอรำพึงรำพันสักนิดนะคะ จากอาการที่บอก นอนยืดขาไม่ได้ การเข้าตรวจเครื่อง CT Scan นั้น ทรมานมากน้ำตาไหลริน อิป้าอ้อมร้องโหยหวนสุดๆ ตั้งแต่จับฉีดสีที่แขนบังคับเอาสายรัดที่ขา แค่ลากเข้า-ออก ถ่ายรูป 10 รอบ เหมือนจะหยุดหายใจ ครั้งเดียวไม่ว่า ต้องเข้าถึง 2 รอบ เพราะต้องดูว่าสีที่ฉีดเข้าไปขับออกหมดหรือไม่ <<< เห็นในโทรทัศน์เข้าออกซะสวย เจอเอง ขยาดเลย กลัวเครื่อง CT Scan
วันที่ 5/2/2561 เข้าห้องผ่าตัดอีกรอบ รอบนี้หนักมากคะ จากการอดอาหารมี 2 วัน ความปวดร้าวคือการหาเส้นเลือดไม่เจอ กว่าจะหาเส้นเลือดเพื่อเจาะได้ โดนไป 3 รอบ แล้วต้องใช้เข็มใหญ่เผื่อห้องผ่าตัดต้องให้สารอาหาร หรือ เลือด น้ำตาไหลพรากเช่นกัน
..รู้สึกตัวก็คือ สายระโยงระยางทั้ง 2 แขน มีให้น้ำเกลือ,พลาสม่า,ยาฆ่าเชื้อ ,มีสวนจมูกเพื่อดูดน้ำดีในท้อง ,ให้อ๊อกซิเจนบริสุทธิ์ปิดครอบจมูก ,สายเดรนน้ำเหลืองข้างเอวข้างขวา ,สายสวนปัสสาวะ ตื่นมาแบบ งงๆ เพียงได้ยิน โชคดีนะ คนไข้รู้สึกตัวดี ไม่ต้องอยู่ห้อง ไอซียู
วันที่ 6-10/2/2561 วันแห่งความอดทน และในทุกวันมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
ต้องอดน้ำ อดอาหาร ต้องมีการล้างแผล ต้องมีการเช็ดตัวเช้าเย็น
ลุกจากเตียงไม่ได้ นอนติดเตียง นอนใส่แพมเพิส เกิดแผลกดทับ
แพ้ ยาแก้ปวด(มอร์ฟีน) เพ้อ ต้องนอนประคองสติ เลือกที่จะเลี่ยงยาแก้ปวด
หัวหน้าพยาบาล บังคับให้เดิน ทั้งที่พึ่งจะถอดเครื่องพันธนาการทั้งหลาย ในวันที่ 9/2/2561 น้ำพึ่งจะได้จิบเมื่อวันที่ 10/2/2561 อย่าว่าแต่เดิน แค่เขย่าเตียงก็สุดๆ แล้ว
ตั้งแต่ผ่าตัดมา วันที่ 8-10 มีการล้างแผล เช้าโดยคุณหมอศัลยกรรม เย็นล้างโดยคุณพยาบาล
>>จากที่เราไม่รู้ และคงไม่ได้สนใจ ว่าการผ่าตัดครั้งนี้เป็นอย่างไร? และแผลที่เราผ่า? นั้น มีผลเช่นไร?
..มารู้ซึ่งอีกรอบก็วันที่ 11/2/2561 เกิดจากวันที่ 10/2/2561 ตัวเราก็กลัวเรื่องอาการท้องอืด และเหตุที่เรานอนติดเตียงนาน เกิดอาการกล้ามเนื้อลีบ เราก็อยากเดิน พยาบาลหวังดีก็เอา สเตย์มาให้ใส่ พร้อมจะผ่าเดิน สรุปวันนั้นก็ไม่สามารถเดินได้ แต่ เรื่องเดินไม่ใช่ประเด็น แต่เกิดอาการ แผลผ่าตัดอักเสบปวดจนนอนไม่ได้ ต้องใช้ ยาแก้ปวด (มอร์ฟีน) ทั้งๆ ที่พยายามเลี่ยงมาได้ หลายวัน ทั้งอาการปวด พอทุเลาปวดก็เพ้อฝันไปร้อยเรื่องราว ทั้งเหมือนมีคนจะมาทำร้าย (เข้าใจในครั้งนั้นว่าอาการของคนที่สติหลุดเป็นเช่นไร)