วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ ของน้องพีคเล็ท คือบอกก่อนเลยว่าปกติแล้วคุณอาจะสอนภาษาอังกฤษน้องที่บ้านเองเพราะตอนนั้นคิดว่าเราสามารถสอนเองได้ เด็กตัวเท่านี้น่าจะท่อง A-Z , คำศัพท์ก็เพียงพอแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ปัญหาที่คุณอาเจอ คือน้องจะพูดภาษาอังกฤษตามเราบางคำแต่จะติดพูดไทย ฟังคำสั่งภาษาอังกฤษรู้เรื่องแต่ไม่ยอมสนทนาคืน
ซึ่งคุณอาเองก็เครียดเพราะเรากลัวว่าวันนึงเค้าจะไม่กล้าพูด คุณอาได้มีโอกาสไปเวิร์คช็อปภาษาอังกฤษ แล้วก็ค้นพบว่าการที่เราสอนน้องนั้นยังคงเป็นการสอนแบบเก่าๆ สมัยเราเด็กๆ แต่ตอนนี้มีการศึกษาค้นคว้าหลักสูตรที่เหมาะกับการเรียนภาษาอังกฤษปัจจุบันนั้นคือการเรียนแบบโฟนิกส์ (หลักสูตรนี้จะเป็นการเน้นออกเสียงไม่เน้นท่องจำ)
ข้อดีของหลักสูตรนี้คือน้องๆ จะไม่ต้องมานั่งท่องจำ (น้องๆ บางคนรู้สึกว่าไม่ชอบภาษาอังกฤษเพราะเค้าคิดว่ามันต้องจำเยอะมาก) คุณอาก็มีความใฝ่ฝันอยากให้เค้าพูดได้หลากหลายภาษาอย่างน้อยที่สุดคือภาษาอังกฤษ จากนั้นเราประเมินดูและถ้าสมมติเรียนแบบท่องจำ หลานน่าจะพูดและฟังได้ช้าแน่ๆ แถมสำเนียงที่คุณอาสอนเองอาจจะไม่ได้ชัดด้วย คึณอาเลยหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์หลากหลายที่ ทั้งลองเข้าไปเรียนทดลองและจาก feedback จากผู้ปกครองด้วยกัน
สรุปว่า หลานเราต้องการการเรียนแบบสนุกไม่เครียดแต่ต้องมีหลักสูตรและรูปแบบการสอนที่ชัดเจนเป็นระบบ เลยสนใจการเรียนแบบ Jolly Phonics ค่ะ ตอนนั้นทั้งหาสถาบันที่มีเปิดสอนและพรีออเดอร์หนังสือมาสอนเองที่บ้านด้วย ตอนเข้าไปทดลองครั้งแรกคือเราเห็นว่าที่นี่แตกต่างกับที่อื่น คุณครูเล่นใหญ่มากกก (คือหลานตาวาวกับคุณครูมากเลยสายตาไม่เคยละไปทางอื่น) ด้วยความที่หลานเป็นคนเงียบๆ พูดน้อยแต่คุณครูใส่ใจมาก คือเรียกชื่อหลานและพูดประโยคง่ายๆ ให้หลานได้ออกไปทำกิจกรรม (ลืมบอกไปค่ะถ้าเป็นน้องๆ เด็ก 4 ขวบทางสถาบันเค้ามีจอ centre ถนอมสายตาไว้ให้น้องๆ ได้เล่นเกมตอบคำถามภาษาอังกฤษหรือลากเส้นตัวอักษรต่างๆ
เช่น สมมติวันนี้เรียน Letter N ก็จะมีเป็นภาพเรื่องราวให้น้องๆ ได้ตามหา Beginning , Middle ,Ending sounds จากภาพนั้นอย่างรูป Nest , Land , Plan เป็นต้น) คือหลานเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษอยู่ พอเราเห็นเค้าแฮปปี้ก็เลยลงไปก่อน 1 คอร์ส จากนั้นเราก็เริ่มเห็นพัฒนาการเรื่อยๆ จากเมื่อก่อนหลานไม่รู้ว่าเสียงแต่ละเสียงของตัวอักษรเป็นอย่างไร(เรียกว่ามือใหม่มากๆๆ เลย)
แต่ตอนนี้หลานเริ่มอ่านเสียงต่างๆ ได้และเริ่มผสมเสียงได้แล้วจึงให้เรียนยาวมาเลยอีกปีกว่า ตอนนี้อ่านได้หลากหลายคำแถมสำเนียงของหลานก็แซงเราไปแล้ว คำยาวๆ ก็สามารถอ่านได้เลย แม้จะไม่เคยเจอคำนั้นมาก่อนก็ตาม เราก็เหลือทำหน้าที่เพียงแค่แปลให้ฟังว่ามันคืออะไรเด็กๆ ก็จะได้ไม่ต้องจำเยอะ เหลือพื้นที่สมองไว้จำแต่คำแปลนั่นเอง ล่าสุดมีโอกาสไปต่างประเทศด้วยกันคือเราภูมิใจมากว่าหลานสามารถอ่านได้ค่อนข้างหลายคำและสามารถสนทนาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่สนใจหรืออยากพาน้องไปทดลองเรียนก็ลองหาดูสถานที่ที่ชอบก็ได้ค่ะ แต่อย่างของคุณอาบอกเลยว่าน้องรีเควสเอง น้องชอบครูที่สอนแบบไม่เครียด สอนแบบใส่ใจคุณอาเลยเลือกลงเป็นที่ Phonics 1st ไว้ เราประทับใจมากตั้งแต่เข้าไปฟังเวิร์คช็อปพอฟังแล้วอินพออินแล้วรู้สึกว่ายังไงเราต้องรีวิวให้เค้าให้ได้เพราะหลานเราเปลี่ยนไปในทางที่เราพอใจมาก ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^
[CR] ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษแบบนี้ช่วยให้สำเนียงดีมาก
ซึ่งคุณอาเองก็เครียดเพราะเรากลัวว่าวันนึงเค้าจะไม่กล้าพูด คุณอาได้มีโอกาสไปเวิร์คช็อปภาษาอังกฤษ แล้วก็ค้นพบว่าการที่เราสอนน้องนั้นยังคงเป็นการสอนแบบเก่าๆ สมัยเราเด็กๆ แต่ตอนนี้มีการศึกษาค้นคว้าหลักสูตรที่เหมาะกับการเรียนภาษาอังกฤษปัจจุบันนั้นคือการเรียนแบบโฟนิกส์ (หลักสูตรนี้จะเป็นการเน้นออกเสียงไม่เน้นท่องจำ)
ข้อดีของหลักสูตรนี้คือน้องๆ จะไม่ต้องมานั่งท่องจำ (น้องๆ บางคนรู้สึกว่าไม่ชอบภาษาอังกฤษเพราะเค้าคิดว่ามันต้องจำเยอะมาก) คุณอาก็มีความใฝ่ฝันอยากให้เค้าพูดได้หลากหลายภาษาอย่างน้อยที่สุดคือภาษาอังกฤษ จากนั้นเราประเมินดูและถ้าสมมติเรียนแบบท่องจำ หลานน่าจะพูดและฟังได้ช้าแน่ๆ แถมสำเนียงที่คุณอาสอนเองอาจจะไม่ได้ชัดด้วย คึณอาเลยหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์หลากหลายที่ ทั้งลองเข้าไปเรียนทดลองและจาก feedback จากผู้ปกครองด้วยกัน
สรุปว่า หลานเราต้องการการเรียนแบบสนุกไม่เครียดแต่ต้องมีหลักสูตรและรูปแบบการสอนที่ชัดเจนเป็นระบบ เลยสนใจการเรียนแบบ Jolly Phonics ค่ะ ตอนนั้นทั้งหาสถาบันที่มีเปิดสอนและพรีออเดอร์หนังสือมาสอนเองที่บ้านด้วย ตอนเข้าไปทดลองครั้งแรกคือเราเห็นว่าที่นี่แตกต่างกับที่อื่น คุณครูเล่นใหญ่มากกก (คือหลานตาวาวกับคุณครูมากเลยสายตาไม่เคยละไปทางอื่น) ด้วยความที่หลานเป็นคนเงียบๆ พูดน้อยแต่คุณครูใส่ใจมาก คือเรียกชื่อหลานและพูดประโยคง่ายๆ ให้หลานได้ออกไปทำกิจกรรม (ลืมบอกไปค่ะถ้าเป็นน้องๆ เด็ก 4 ขวบทางสถาบันเค้ามีจอ centre ถนอมสายตาไว้ให้น้องๆ ได้เล่นเกมตอบคำถามภาษาอังกฤษหรือลากเส้นตัวอักษรต่างๆ
เช่น สมมติวันนี้เรียน Letter N ก็จะมีเป็นภาพเรื่องราวให้น้องๆ ได้ตามหา Beginning , Middle ,Ending sounds จากภาพนั้นอย่างรูป Nest , Land , Plan เป็นต้น) คือหลานเค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษอยู่ พอเราเห็นเค้าแฮปปี้ก็เลยลงไปก่อน 1 คอร์ส จากนั้นเราก็เริ่มเห็นพัฒนาการเรื่อยๆ จากเมื่อก่อนหลานไม่รู้ว่าเสียงแต่ละเสียงของตัวอักษรเป็นอย่างไร(เรียกว่ามือใหม่มากๆๆ เลย)
แต่ตอนนี้หลานเริ่มอ่านเสียงต่างๆ ได้และเริ่มผสมเสียงได้แล้วจึงให้เรียนยาวมาเลยอีกปีกว่า ตอนนี้อ่านได้หลากหลายคำแถมสำเนียงของหลานก็แซงเราไปแล้ว คำยาวๆ ก็สามารถอ่านได้เลย แม้จะไม่เคยเจอคำนั้นมาก่อนก็ตาม เราก็เหลือทำหน้าที่เพียงแค่แปลให้ฟังว่ามันคืออะไรเด็กๆ ก็จะได้ไม่ต้องจำเยอะ เหลือพื้นที่สมองไว้จำแต่คำแปลนั่นเอง ล่าสุดมีโอกาสไปต่างประเทศด้วยกันคือเราภูมิใจมากว่าหลานสามารถอ่านได้ค่อนข้างหลายคำและสามารถสนทนาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่สนใจหรืออยากพาน้องไปทดลองเรียนก็ลองหาดูสถานที่ที่ชอบก็ได้ค่ะ แต่อย่างของคุณอาบอกเลยว่าน้องรีเควสเอง น้องชอบครูที่สอนแบบไม่เครียด สอนแบบใส่ใจคุณอาเลยเลือกลงเป็นที่ Phonics 1st ไว้ เราประทับใจมากตั้งแต่เข้าไปฟังเวิร์คช็อปพอฟังแล้วอินพออินแล้วรู้สึกว่ายังไงเราต้องรีวิวให้เค้าให้ได้เพราะหลานเราเปลี่ยนไปในทางที่เราพอใจมาก ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^