เริ่มต้นด้วยร่างฉบับนี้ก่อน ใครสนใจอยากแสดงความคิดเห็นก็สามารถเข้าไปแสดงได้เลยครับ
http://www.rd.go.th/publish/27837.0.html
สรุปหลักการคร่าวๆคือ
ร่างฉบับนี้จะ
บังคับ ให้สถาบันการเงินต่างๆ จะต้องส่งข้อมูลของบุคคลที่เข้าเกณฑ์ที่ร่างนี้กำหนดให้กับทางกรมสรรพากรทุกปีหากบัญชีธนาคารของบุคคลดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็น “ธุรกรรมพิเศษ” ครับ
แล้วคำว่า “ธุรกรรมพิเศษ” คืออะไร แปลแบบเข้าใจง่ายๆคือ บัญชีของบุคคลใดที่มีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งเป็นต้นไปหรือ ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้งเป็นต้นไป และมียอดรวมของการฝาก/โอนดังกล่าวทั้งปี ตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
สรุปคือ การฝากหรือรับโอนเงินตั้งแต่ 200 ครั้งต่อปี
และมียอดรวมเงินเกินกว่า 2 ล้านบาทในปีภาษีนั้น
หรือฝาก/รับโอนเงินตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี โดยเจ้าตัวเลขสามพันเนี่ย คือการรวมทุกบัญชีธนาคารของบุคคลนั้น (แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารวมทุกบัญชีธนาคารหรือเฉพาะธนาคารเดียวนะครับ ถ้าหากรวมทุกธนาคารก็บันเทิงละครับ)
อ่านคำอธิบายแบบค่อนข้างละเอียดที่นี่ครับ
http://tax.bugnoms.com/bank-statement-doesnt-have-privacy/ แต่ผมตีความต่างจากเจ้าของเพจนะครับ ผมคิดว่ากฎหมายน่าจะหมายถึงมีการรับโอนเงินพอถึงตัวเลข 200 ครั้ง และมียอดรวมทั้งปีสองล้านบาทขึ้นไป น่าจะถูกกว่าที่ทางเพจนั้นบอกว่าต้องรับโอนเงินเกิน 200 ครั้งถึงจะเข้าเกณฑ์(นั้นก็แปลว่าถ้าปีภาษีนั้นรวมทั้งปีรับโอนหยุดที่ตัวเลข 200 ครั้งพอดีก็เข้าหลักเกณฑ์ทีทางธนาคารจะส่งข้อมูลให้สรรพากรแล้วครับ ถ้าไม่อยากเข้าหลักเกณฑ์ก็ให้หยุดที่ตัวเลข 199
ในเรื่องตัวเลข 3,000 ต่อปีเช่นกัน ถ้าไม่อยากให้เข้าหลักเกณฑ์ก็ต้องให้หยุดมารับโอนทุกบัญชีที่ตัวเลข 2,999 ครับ
แต่อันนี้คือการตีความกฎหมายของผมเองนะครับ ไม่ยืนยันว่าถูกหรือผิด ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้
ส่วนรายละเอียดลึกๆก็อ่านตามลิ๊งค์ที่ผมให้ไปครับ
ผลกระทบจากร่างฉบับนี้ถ้าผ่านนะครับ เงินภาษีคงเข้าทางรัฐเพิ่มขึ้นอีกมากๆๆๆๆ อย่างคาดไม่ถึงแน่นอน เพราะปัจจุบันเหมือนโดนสภาพบังคับแล้วว่าจะทำธุรกิจการค้าอะไรการโอนเงินผ่านธนาคารเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ยิ่งเดี๋ยวนี้ค่าโอนฟรีด้วยแล้วยิ่งเร่งการค้าขายแบบออนไลน๋ให้ใช้การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพิ่มขึ้นไปอีก คนค้าขายคนไหนไม่มีระบบรับโอนเงินทางธนาคารก็มีแววจะไม่มีลูกค้าสูง เพราะลูกค้าเขาคงไม่มาสนใจกฎหมายฉบับนี้แน่ๆครับ
คนที่โดนหนักสุดพวกที่ค้าขายออนไลน์ครับ ส่วนคนที่รอดก็คงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของรับเงินสด เว้นแต่เขาจะรับชำระเงินผ่าน QR Code อันนี้ก็เสี่ยงที่จะโดนตรวจสอบเช่นกัน และถ้าระบบสังคมไร้เงินสดเป็นไปได้จริง คงไม่มีใครหนีรอดจากการเสียภาษีแล้วล่ะครับเพราะทุกอย่างจะเป็นหลักฐานชัดเจนอยู่บนบัญชีธนาคารของเรา
แต่ผมว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ถือบิทคอยหรือเหรียญอื่นๆครับ เพราะมันตรวจสอบไม่ได้ว่าใครถือเหรียญมากน้อยแค่ไหน(ถึงตรวจสอบได้ก็ยากมากๆ จากที่อ่านมา) คนที่ไม่ต้องการให้รัฐรู้ถึงการเคลื่อนไหวทางการเงินของตนเองไม่ว่าเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยากจ่ายภาษีเยอะๆหรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามคงต้องหันไปศึกษาเหรียญพวกนี้กันมากขึ้นแน่ๆ
ร่างภาษีฉบับใหม่คนที่มีการโอนรับเงินในบัญชีบ่อยๆเตรียมรับผลกระทบ(ถ้าร่างฉบับนี้ผ่าน) ไม่ใช่แต่เฉพาะคนค้าขายออนไลน์ด้วยนะ
http://www.rd.go.th/publish/27837.0.html
สรุปหลักการคร่าวๆคือ
ร่างฉบับนี้จะ บังคับ ให้สถาบันการเงินต่างๆ จะต้องส่งข้อมูลของบุคคลที่เข้าเกณฑ์ที่ร่างนี้กำหนดให้กับทางกรมสรรพากรทุกปีหากบัญชีธนาคารของบุคคลดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ที่จะเป็น “ธุรกรรมพิเศษ” ครับ
แล้วคำว่า “ธุรกรรมพิเศษ” คืออะไร แปลแบบเข้าใจง่ายๆคือ บัญชีของบุคคลใดที่มีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งเป็นต้นไปหรือ ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้งเป็นต้นไป และมียอดรวมของการฝาก/โอนดังกล่าวทั้งปี ตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
สรุปคือ การฝากหรือรับโอนเงินตั้งแต่ 200 ครั้งต่อปี และมียอดรวมเงินเกินกว่า 2 ล้านบาทในปีภาษีนั้น
หรือฝาก/รับโอนเงินตั้งแต่ 3,000 ครั้งต่อปี โดยเจ้าตัวเลขสามพันเนี่ย คือการรวมทุกบัญชีธนาคารของบุคคลนั้น (แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารวมทุกบัญชีธนาคารหรือเฉพาะธนาคารเดียวนะครับ ถ้าหากรวมทุกธนาคารก็บันเทิงละครับ)
อ่านคำอธิบายแบบค่อนข้างละเอียดที่นี่ครับ http://tax.bugnoms.com/bank-statement-doesnt-have-privacy/ แต่ผมตีความต่างจากเจ้าของเพจนะครับ ผมคิดว่ากฎหมายน่าจะหมายถึงมีการรับโอนเงินพอถึงตัวเลข 200 ครั้ง และมียอดรวมทั้งปีสองล้านบาทขึ้นไป น่าจะถูกกว่าที่ทางเพจนั้นบอกว่าต้องรับโอนเงินเกิน 200 ครั้งถึงจะเข้าเกณฑ์(นั้นก็แปลว่าถ้าปีภาษีนั้นรวมทั้งปีรับโอนหยุดที่ตัวเลข 200 ครั้งพอดีก็เข้าหลักเกณฑ์ทีทางธนาคารจะส่งข้อมูลให้สรรพากรแล้วครับ ถ้าไม่อยากเข้าหลักเกณฑ์ก็ให้หยุดที่ตัวเลข 199
ในเรื่องตัวเลข 3,000 ต่อปีเช่นกัน ถ้าไม่อยากให้เข้าหลักเกณฑ์ก็ต้องให้หยุดมารับโอนทุกบัญชีที่ตัวเลข 2,999 ครับ
แต่อันนี้คือการตีความกฎหมายของผมเองนะครับ ไม่ยืนยันว่าถูกหรือผิด ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้
ส่วนรายละเอียดลึกๆก็อ่านตามลิ๊งค์ที่ผมให้ไปครับ
ผลกระทบจากร่างฉบับนี้ถ้าผ่านนะครับ เงินภาษีคงเข้าทางรัฐเพิ่มขึ้นอีกมากๆๆๆๆ อย่างคาดไม่ถึงแน่นอน เพราะปัจจุบันเหมือนโดนสภาพบังคับแล้วว่าจะทำธุรกิจการค้าอะไรการโอนเงินผ่านธนาคารเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ยิ่งเดี๋ยวนี้ค่าโอนฟรีด้วยแล้วยิ่งเร่งการค้าขายแบบออนไลน๋ให้ใช้การโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพิ่มขึ้นไปอีก คนค้าขายคนไหนไม่มีระบบรับโอนเงินทางธนาคารก็มีแววจะไม่มีลูกค้าสูง เพราะลูกค้าเขาคงไม่มาสนใจกฎหมายฉบับนี้แน่ๆครับ
คนที่โดนหนักสุดพวกที่ค้าขายออนไลน์ครับ ส่วนคนที่รอดก็คงบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของรับเงินสด เว้นแต่เขาจะรับชำระเงินผ่าน QR Code อันนี้ก็เสี่ยงที่จะโดนตรวจสอบเช่นกัน และถ้าระบบสังคมไร้เงินสดเป็นไปได้จริง คงไม่มีใครหนีรอดจากการเสียภาษีแล้วล่ะครับเพราะทุกอย่างจะเป็นหลักฐานชัดเจนอยู่บนบัญชีธนาคารของเรา
แต่ผมว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ถือบิทคอยหรือเหรียญอื่นๆครับ เพราะมันตรวจสอบไม่ได้ว่าใครถือเหรียญมากน้อยแค่ไหน(ถึงตรวจสอบได้ก็ยากมากๆ จากที่อ่านมา) คนที่ไม่ต้องการให้รัฐรู้ถึงการเคลื่อนไหวทางการเงินของตนเองไม่ว่าเขาเป็นกลุ่มคนที่ไม่อยากจ่ายภาษีเยอะๆหรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามคงต้องหันไปศึกษาเหรียญพวกนี้กันมากขึ้นแน่ๆ