[รีวิวหนัง] Ready Player One สงครามเกมคนอัจฉริยะ | มาแสดงความรู้สึกหลังดูกันครับ [สปอย+ไม่สปอย]


Ready Player One | สงครามเกมคนอัจฉริยะ
"โลกความจริง คือสิ่งเดียวที่เป็นจริง"


เรื่องย่อ

ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2045 ช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการล่มสลาย แต่ผู้คนพบทางรอดชีวิตที่ดิ โอเอซิส ซึ่งเป็นจักรวาลเสมือนจริงอันกว้างใหญ่ที่เราสามารถไปที่ไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เป็นใครก็ได้ ดิ โอเอซิสสร้างขึ้นโดย เจมส์ ฮัลลิเดย์ (มาร์ค ไรแลนซ์) เมื่อฮัลลิเดย์เสียชีวิตลง เขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลและอำนาจในการควบคุมดิ โอเอซิสทั้งหมดให้กับคนแรกที่ได้กุญแจทั้ง 3 ดอก เพื่อเปิดประตูสู่ไข่อีสเตอร์ดิจิตอลที่เขาซ่อนไว้ในสถานที่ ความท้าทายของเขาทำให้เกิดเกมที่มีการแข่งขันขึ้นทั่วโลก  แต่เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปีกระดานคะแนนกลับยังว่างเปล่า


จนกระทั่งฮีโร่หนุ่มม้ามืดอย่าง เวด วัตส์ (ไท เชอริแดน) ภายใต้ชื่ออวตารอย่าง พาร์ซิวัล เอาชนะการแข่งขันได้เป็นคนแรก เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียง...และตกเป็นเป้าหมาย ผู้มีอำนาจที่โหดเหี้ยมอย่าง โนแลน ซอร์เรนโต (เบ็น เมนเดลซอห์น) ได้พิสูจน์ว่าเขาจะทำทุกทางเพื่อเอาชนะเวดและควบคุมดิ โอเอซิส จนการเดิมพันยิ่งใหญ่เกินจริง เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะได้เพียงลำพัง เวดต้องร่วมมือกับเพื่อนๆ ของเขาในนามเดอะ ไฮไฟว์ (เชอริแดน, โอลิเวีย คูก, ลีนา เวธ, ฟิลลิป เซา, วิน โมริซากิ) พวกเขาต้องร่วมมือกันในการล่าสมบัติผ่านโลกแห่งการค้นพบสุดมหัศจรรย์และอันตรายเพื่อปกป้องดิ โอเอซิส



รีวิว

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รวบรวมเอาอายธรรม Pop Culture จากยุค 80-90 มาใส่ไว้ในเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้จะเห็นได้จากฉากต่างๆที่ปรากฎภายในเรื่อง ทั้งในอนิเมะ เกม หรือภาพยนตร์ เช่น  มอเตอร์ไซด์จากอนิเมะญี่ปุ่นเรื่อง Akira / หุ่นยนต์ยักษ์จาก The Iron Giant /  การไล่ล่าแบบภาพยนตร์เรื่อง Tron (1982) / ความแฟนตาซีแบบ  Lord of the Rings  / รถเก๋งย้อนเวลาจาก  Back to the Future หรือสุดยอดวายร้ายอย่าง เฟรดดี้ ครูเกอร์ จาก Nightmare on Elm Street เป็นต้น ซึ่งนี่ยังไม่รวมไปถึงรายชื่อเพลงแต่ละเพลงที่ผู้กำกับเลือกมาใส่ในแต่ละฉากที่มีเป็นสิบเพลงอีกด้วย บวกกับ



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ << ตรงนี้สปอยนะ

เชื่อว่าหลังจากที่ดูตัวอย่างแล้วหลายๆคนอาจจะมีความกังวลว่าถ้าไม่ได้เล่นเกมส์ ดูหนังหรือดูหรือฟังเพลงในยุคนั้นจะดูรู้เรื่องมั๊ย คำตอบคือรู้เรื่องและแทบไม่มีผลกระทบอะไรมากเลย ส่วนถ้าใครเป็นติ่งอยู่แล้วหรือว่าดู ฟัง เล่นมาตั้งแต่เด็กก็จะได้ความฟินไปอีกขึ้นนึงเลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเก็บรวบรวมความทรงจำวัยเด็กของใครหลายๆคนเอาไว้ไม่มากก็น้อย  


และสิ่งที่ได้เห็นในตัวอย่างนั้นถ้าใครคิดว่าเยอะแล้ว พอดูหนังเรื่องนี้จบจะรู้ว่าจากตัวอย่างนั้นมันเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น เพราะในหนังจริงๆมี Easter Egg หรือตัวละครจากอนิเมะ ภาพยนตร์ และเกมส์อีกเพียบ คือมันเยอะมากกก เยอะจนบางครั้งก็รู้สึกว่าถ้าหนังออกแผ่นมาสเตอร์ออกมา จะลองไล่ดูก็ไม่รู้จะครบรึป่าวนะ 555 (ถ้าอยากรู้จริงๆต้องรอ ผู้กำกับออกมาบอกเอา)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ << ตรงนี้สปอยนะ

ถึงแม้ว่าจุดเด่นหรือพล็อตเรื่องของตัวหนังเอง อาจเป็นสิ่งที่เราเคยๆเห็นกันอยู่แล้วในหนังหลายๆเรื่องในสมัยนี้ ซึ่งนั่นก็อาจเป็นสิ่งที่หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะออกมาปังหรือสนุกได้มากเท่าไหร่นัก ทว่าสิ่งที่ผู้กำกับใส่เข้ามานั้นมันคือความกลมกล่อมและความสนุกที่หลายๆเรื่องอาจไม่มีเท่าเรื่องนี้


ตัวหนังเองมีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว กระชับ ลืนไหลและแทบไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย ไม่ซับซ้อนมากมาย สามารถดูและเข้าใจได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นฉากที่อยู่ในโลกความจริง หรือใน The Oasis หรือแม้กระทั่งการตัดสลับฉากไปมาก็ทำออกมาได้ลื่นไหลมาก


งานภาพก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะระดับ สตีเว่น สปีลเบิร์กอยู่แล้ว ภาพจึงออกมาสวยและงดงามตาอย่างมาก งานทุกอย่าง ฉากทุกฉาก Easter Egg ทุกตัวก็ล้วนแล้วแต่เก็บรายละเอียดได้อย่างหมดจดจนน่าขนลุก ยิ่งดูก็ยิ่งทำให้นึกถึงวัยเด็กๆ


ด้านซาวด์ประกอบก็ใช่ย่อย เพราะฉากที่ลุ้นก็ลุ้นจริงๆ ฉากที่สนุกก็มีเพลงสนุกๆมาให้ฮำกัน บางเพลงก็เป็นเพลงเก่า บางซาวด์ก็เป็นซาวด์จากเกมส์ ภาพยนตร์เก่าๆที่เราๆต่างคุ้นเคยกันดี ฉากระทึกก็ระทึกจริง



150 Easter Egg จากหนังครับ ไปเจอมาเลยเอามาแปะไว้จะได้เข้าไปดู หรือทำความเข้าใจกันครับว่าเราพลาดอะไรไปบ้างรึป่าว ^^
http://www.majorcineplex.com/th/news/eastereggs-RPO







เต็มอิ่มกับ 140 นาทีของหนังที่จะพาเราไปผจญภัยและสร้างสรรสิ่งที่ทำให้เราคิดไม่ถึงอยู่ตลอดทาง และที่สุดของหนังนั้นหนังมีความเป็นเนิร์ดอย่างมาก และถึงแม้จะเนิร์ดมากเพียงใด หนังก็ได้นำเสนอแง่คิดดีๆได้จากหลายๆฉาก หลายๆตอน มันมีความกลมกล่อม มีพาร์ทสนุกสนาน มีพาร์ทผจญภัยให้คอยเอาใจช่วย มีพาร์ทซึ้งๆให้อิน มีพาร์ทหดหู มีปล่อยมุขให้ได้พักเบรกได้สนุกกัน มีฉากว้าวๆที่ทำให้เราได้ร้องอุทานออกมาดังๆ 555 และแน่นอน มีความทรงจำต่างๆจากสิ่งต่างๆที่เรียกว่า “Easter Egg” ที่ได้ใส่เข้ามาให้เราๆได้มีช่วงเวลาหวนลำลึกถึงบางสิ่งที่เคยอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็กๆ (ถ้าเป็นคนยุค 80-90 จะยิ่งอินไปอีกระดับ)

ให้คะแนน 9.5/10 ผมว่ามิติของตัวละครนั้นควรลึกกว่านี้ และสามารถดราม่าได้มากกว่านี้





ใครได้อะไรจากการดูหนังเรื่องนี้ ใครหา Easter Egg เจ๋งๆได้ ใครชอบส่วนใหน หรือคิดยังไงมาแชร์ความรู้สึกกันครับ ^^


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่