Concept ของหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆกับการรวมตัวละครจากเกมส์ ภาพยนตร์และการ์ตูนตั้งแต่ยุคเก่าถึงปัจจุบันมารวมอยู่ในจอเดียวกันผนวกกับพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ มีที่มาที่ไปชวนให้คนดูติดตามอีกทั้งยังเอา Concept ของเกมส์มาใช้ในหนังด้วย เช่น การใช้ไอเทม ทำเควส บลาๆ ยิ่งชวนให้หนังดูสนุกเหมือนเรากำลังเล่นเกมส์ไปกับตัวละครในหนัง ในช่วงแรกๆหนังจะแนะนำองค์ประกอบต่างๆให้เราได้รู้จัก 2 โลกนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกันยังไง ทำอะไรในเกมส์แล้วได้อะไรในชีวิตจริง ความลื่นไหลของเนื้อเรื่องทั้งโลกแห่งความจริงและโลกเกมส์ที่ลงตัวคลุกเคล้าไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง
หนังมีจุดเด่นใหญ่ๆ 2 จุด อย่างที่แรกคือการดำเนินเรื่องที่ชวนให้ติดตามมีอารมณ์ร่วมกับหนังแทบจะทั้งเรื่องโดยเฉพาะตั้งแต่กลางๆเรื่องเมื่อปัญหาในหนังเริ่มเข้าที่ ชวนให้เราติดตามและลุ้นตลอดกับวิธีแก้ปัญหาของตัวละครโดยใช้องค์ประกอบต่างๆที่หนังวางไว้ ทางออกในแต่ละสถานะการณ์ที่ฟังขึ้นไม่ใช่อย่างให้รอดก็รอด หนังเข้าใจสร้างสถานการณ์ในโลกความจริงและโลกในเกมส์ให้มีผลซึ่งกันและกันกับสิ่งที่ตัวละครทั้ง 2 โลกเดินเรื่องคู่กันไปได้อย่างต่อเนื่องยิ่งเพิ่มดีกรีให้คนดูลุ้นตามอย่างสนุกและตั้งใจดูมากๆในช่วงท้ายของหนัง
อย่างที่สองคือตัวละครคลาสสิคมากมายที่เรารู้จักและชื่นชอบโลดแล่นในจอเดียวกัน ใครที่เป็นแฟนๆ ของวีดีโอเกมส์ตั้งแต่ยุคแรกๆที่มีเครื่องวีดีโอเกมหรือภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค 70 หรืออาจจะเก่ากว่านั้นแค่ได้เห็นตัวละครตัวโปรดหรือสิ่งที่ชอบปรากฎตัวในหนังก็ดึงความสนใจของคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก อย่างผมที่ชอบเรื่อง Back to the Future ได้เห็น Delorean ขึ้นจออีกครั้งแถมยังมีบทบาทในฉากแข่งรถสุดมันก็สนุกมากๆแล้ว ตัวละครบางตัวอาจจะไม่ได้มีบทบาทมากนักแค่แว่บไปแว่บมาให้เห็นนิดนึงก็ชวนให้อุทาน เฮ้ย เชด ได้ทันที เป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่ได้คนดูได้รับจากการเห็นตัวละครเหล่านี้โผล่ออกมา
ด้านเทคนิคการถ่ายทำเป็นส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เนื้อเรื่องในหนังแบ่งเป็น 2 โลกคือโลกความจริงและโลกในเกมส์ แน่นอนโลกในเกมนั้นจัดเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษที่สวยงาม มีหลายฉากใหญ่ที่เป็นจุดขาย เอฟเฟคต่างๆในหนังก็เช่นกันโดยเฉพาะฉากที่เป็นแฟนตาซีหรือฉากล้ำสมัยสมเป็นหนังไซไฟฟอร์มยัก ส่วนฉากแอ็คชั่นทั้งฉากแข่งรถและฉากต่อสู้จัดคิวบู๊ได้สนุก ตื่นเต้นมาก
Ready Player One เป็นหนังที่น่ากด Pause มากที่สุดเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าทุกฉากที่มีตัวละครออกมาเยอะแยะไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือสถานที่ต่างๆ ย่อมเป็นจังหวะดีที่ผู้กำกับจะซ่อนอะไรต่างๆไว้เยอะแยะ มีรายละเอียดของตัวละครและสถานที่มากมายในแบบที่เราดูรอบแรกไม่สามารถเก็บได้หมดยกเว้นจะโชคดีที่ตาไปเห็นพอดี มันชวนให้เราอยากกวาดสายตาดูให้ครบทั่วจอซะจริงๆซึ่งก็เป็นความอึดอัดในการดูเหมือนกันเพราะเนื้อเรื่องก็ต้องอ่าน ต้องทำความเข้าใจ ทำให้เก็บรายละเอียดให้ครบค่อนข้างยาก
เสห์น่ของ Ready Player One คือการรวมตัวละครหรือเหตุการณ์เก่าๆ มาสร้างสรรค์ใหม่ให้เป็นเรื่องราวในอนาคตที่น่าสนใจ หนังไม่ได้ชูโรงแค่นำตัวละครที่หลายคนชอบและขายเทคนิคพิเศษที่สวยงามอย่างเดียว มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจบอกเล่าควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว ไหลลื่นไปด้วยกันอย่างสนุก ถ้าเป็นแฟนวีดีโอเกมส์และชอบดูหนัง น่าจะเข้าถึงหนังเรื่องนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป แต่หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ชอบเล่นเกมหรือดูหนังก็น่าจะพอดูสนุกได้อยู่ จุดขัดใจของหนังก็พอมีในแง่ของความไม่สมเหตุสมผลตอนช่วงท้ายเรื่องที่ผมว่ามันตะงิดๆอยู่หรือแม้บางครั้งตัวละครก็แอบรอดในสถานะการณ์ย่ำแย่แบบลวกๆ หรือง่ายเกินไปแต่ก็นับเป็นจุดเล็กๆน้อยๆที่ไม่เป็นประเด็นมาก เป็นหนังที่สนุกเป็นลำดับต้นๆของพ่อมดวงการภาพยนตร์สตีเว่น สปีลเบิร์ก
พล็อตเรื่อง 9/10
ดำเนินเรื่อง 9.5/10
ตัวละคร 8.5/10
สรุป 9/10
ฝาก page ด้วยนะครับ ถ้าชอบก็กด Like ติดตามกันนะครับ -
https://www.facebook.com/NangDMeReview/
[CR] Review[No Spoil] Ready Player One สงครามเกมคนอัจฉริยะ
Concept ของหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆกับการรวมตัวละครจากเกมส์ ภาพยนตร์และการ์ตูนตั้งแต่ยุคเก่าถึงปัจจุบันมารวมอยู่ในจอเดียวกันผนวกกับพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ มีที่มาที่ไปชวนให้คนดูติดตามอีกทั้งยังเอา Concept ของเกมส์มาใช้ในหนังด้วย เช่น การใช้ไอเทม ทำเควส บลาๆ ยิ่งชวนให้หนังดูสนุกเหมือนเรากำลังเล่นเกมส์ไปกับตัวละครในหนัง ในช่วงแรกๆหนังจะแนะนำองค์ประกอบต่างๆให้เราได้รู้จัก 2 โลกนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกันยังไง ทำอะไรในเกมส์แล้วได้อะไรในชีวิตจริง ความลื่นไหลของเนื้อเรื่องทั้งโลกแห่งความจริงและโลกเกมส์ที่ลงตัวคลุกเคล้าไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง
หนังมีจุดเด่นใหญ่ๆ 2 จุด อย่างที่แรกคือการดำเนินเรื่องที่ชวนให้ติดตามมีอารมณ์ร่วมกับหนังแทบจะทั้งเรื่องโดยเฉพาะตั้งแต่กลางๆเรื่องเมื่อปัญหาในหนังเริ่มเข้าที่ ชวนให้เราติดตามและลุ้นตลอดกับวิธีแก้ปัญหาของตัวละครโดยใช้องค์ประกอบต่างๆที่หนังวางไว้ ทางออกในแต่ละสถานะการณ์ที่ฟังขึ้นไม่ใช่อย่างให้รอดก็รอด หนังเข้าใจสร้างสถานการณ์ในโลกความจริงและโลกในเกมส์ให้มีผลซึ่งกันและกันกับสิ่งที่ตัวละครทั้ง 2 โลกเดินเรื่องคู่กันไปได้อย่างต่อเนื่องยิ่งเพิ่มดีกรีให้คนดูลุ้นตามอย่างสนุกและตั้งใจดูมากๆในช่วงท้ายของหนัง
อย่างที่สองคือตัวละครคลาสสิคมากมายที่เรารู้จักและชื่นชอบโลดแล่นในจอเดียวกัน ใครที่เป็นแฟนๆ ของวีดีโอเกมส์ตั้งแต่ยุคแรกๆที่มีเครื่องวีดีโอเกมหรือภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค 70 หรืออาจจะเก่ากว่านั้นแค่ได้เห็นตัวละครตัวโปรดหรือสิ่งที่ชอบปรากฎตัวในหนังก็ดึงความสนใจของคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก อย่างผมที่ชอบเรื่อง Back to the Future ได้เห็น Delorean ขึ้นจออีกครั้งแถมยังมีบทบาทในฉากแข่งรถสุดมันก็สนุกมากๆแล้ว ตัวละครบางตัวอาจจะไม่ได้มีบทบาทมากนักแค่แว่บไปแว่บมาให้เห็นนิดนึงก็ชวนให้อุทาน เฮ้ย เชด ได้ทันที เป็นความสนุกอย่างหนึ่งที่ได้คนดูได้รับจากการเห็นตัวละครเหล่านี้โผล่ออกมา
ด้านเทคนิคการถ่ายทำเป็นส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เนื้อเรื่องในหนังแบ่งเป็น 2 โลกคือโลกความจริงและโลกในเกมส์ แน่นอนโลกในเกมนั้นจัดเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษที่สวยงาม มีหลายฉากใหญ่ที่เป็นจุดขาย เอฟเฟคต่างๆในหนังก็เช่นกันโดยเฉพาะฉากที่เป็นแฟนตาซีหรือฉากล้ำสมัยสมเป็นหนังไซไฟฟอร์มยัก ส่วนฉากแอ็คชั่นทั้งฉากแข่งรถและฉากต่อสู้จัดคิวบู๊ได้สนุก ตื่นเต้นมาก
Ready Player One เป็นหนังที่น่ากด Pause มากที่สุดเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่าทุกฉากที่มีตัวละครออกมาเยอะแยะไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือสถานที่ต่างๆ ย่อมเป็นจังหวะดีที่ผู้กำกับจะซ่อนอะไรต่างๆไว้เยอะแยะ มีรายละเอียดของตัวละครและสถานที่มากมายในแบบที่เราดูรอบแรกไม่สามารถเก็บได้หมดยกเว้นจะโชคดีที่ตาไปเห็นพอดี มันชวนให้เราอยากกวาดสายตาดูให้ครบทั่วจอซะจริงๆซึ่งก็เป็นความอึดอัดในการดูเหมือนกันเพราะเนื้อเรื่องก็ต้องอ่าน ต้องทำความเข้าใจ ทำให้เก็บรายละเอียดให้ครบค่อนข้างยาก
เสห์น่ของ Ready Player One คือการรวมตัวละครหรือเหตุการณ์เก่าๆ มาสร้างสรรค์ใหม่ให้เป็นเรื่องราวในอนาคตที่น่าสนใจ หนังไม่ได้ชูโรงแค่นำตัวละครที่หลายคนชอบและขายเทคนิคพิเศษที่สวยงามอย่างเดียว มีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจบอกเล่าควบคู่กันไปได้อย่างลงตัว ไหลลื่นไปด้วยกันอย่างสนุก ถ้าเป็นแฟนวีดีโอเกมส์และชอบดูหนัง น่าจะเข้าถึงหนังเรื่องนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป แต่หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ชอบเล่นเกมหรือดูหนังก็น่าจะพอดูสนุกได้อยู่ จุดขัดใจของหนังก็พอมีในแง่ของความไม่สมเหตุสมผลตอนช่วงท้ายเรื่องที่ผมว่ามันตะงิดๆอยู่หรือแม้บางครั้งตัวละครก็แอบรอดในสถานะการณ์ย่ำแย่แบบลวกๆ หรือง่ายเกินไปแต่ก็นับเป็นจุดเล็กๆน้อยๆที่ไม่เป็นประเด็นมาก เป็นหนังที่สนุกเป็นลำดับต้นๆของพ่อมดวงการภาพยนตร์สตีเว่น สปีลเบิร์ก
พล็อตเรื่อง 9/10
ดำเนินเรื่อง 9.5/10
ตัวละคร 8.5/10
สรุป 9/10
ฝาก page ด้วยนะครับ ถ้าชอบก็กด Like ติดตามกันนะครับ - https://www.facebook.com/NangDMeReview/