40 ปีซีไรต์ ก้าวต่อไปในวงวรรณกรรมอาเซียน




รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน  หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ “รางวัลซีไรต์” สำหรับปีนี้ดำเนินมาถึงปีที่ 40 แล้ว ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?  และในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป?  ลองมาฟังการพูดคุยจากงานเสวนาในหัวข้อ “40 ปีซีไรต์  ก้าวต่อไปในวงวรรณกรรมอาเซียน” ที่จัดโดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย  โดยเป็นงานเสวนางานแรกสุดบนเวทีเอเทรียมในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 46  เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561  เวลา 13.00 น.

บนเวทีเสวนามีผู้ร่วมเสวนาดังนี้  ศ.ดร.รื่นฤทัย  สัจจพันธ์  นักวิชาการด้านวรรณกรรม , คุณจิรัฏฐ์  เฉลิมแสนยากร  นักวิจารณ์รางวัลม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ผู้เป็นกรรมการสมาคมภาษาและหนังสือฯ  ดำเนินการเสวนาโดย รศ.ดร.ตรีศิลป์  บุญขจร  นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย โดยรายละเอียดของการเสวนามีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้





ดร.ตรีศิลป์ บอกว่าวันนี้เราจะเสวนากันเกี่ยวกับรางวัลซีไรต์  หรือชื่อเต็มว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน  โดยรางวัลซีไรต์เดินมาถึงปีที่ 40 แล้ว เรามีนักเขียนที่ได้รับรางวัลซีไรต์แล้ว 40 คน  และรางวัลซีไรต์เป็นรางวัลเดียวของประเทศไทยที่มอบให้แก่ประเทศต่างๆ ในอาเซียนครบทั้ง 10 ประเทศ

-ถามว่ารางวัลซีไรต์มีคุโณปการหรือมีความสำคัญต่อวงการวรรณกรรมไทยอย่างไร?

@@@@@@@@@@

อาจารย์รื่นฤทัย ตอบว่า ในภาพรวมรางวัลวรรณกรรมน่าจะมีคุโณปการต่อแวดวงวรรณกรรม  ต่อวงการนักเขียน  ต่อวงการหนังสือ โดยมีการให้รางวัลด้านวรรณกรรมต่อเนื่องกันมานานแล้ว  สำหรับรางวัลซีไรต์มีบทบาทสำคัญและเป็นรางวัลทางวรรณกรรมอันดับหนึ่งของประเทศไทย  มีการให้รางวัลต่อเนื่องยาวนานถึง 40 ปี

-สำหรับคุโณปการต่อวงการวรรณกรรมเองก็มีหลายประการ  โดยประการแรกคือเป็นการส่งเสริมวรรณกรรมสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ มีแนวทางที่แสดงถึงความก้าวหน้าและพัฒนาการของเรื่อง ที่ผ่านมารางวัลซีไรต์ได้เป็นเหมือนกระจกเงาหรือภาพสะท้อนต่อพัฒนาการของวรรณกรรมร่วมสมัยของไทย

-ทำให้เกิดคำว่า “วรรณกรรมสร้างสรรค์” ขึ้นมาว่า  คือมีความสร้างสรรค์ทั้งตัวเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอด้วย

-ประการที่สองเป็นเรื่องของการส่งเสริมตัวนักเขียน  จะเห็นว่านักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์จะเป็นนักเขียนหน้าใหม่เป็นส่วนใหญ่ โดยนักเขียนหน้าใหม่เหล่านี้เป็นผู้สืบทอดตัวงานวรรณกรรมร่วมสมัย และพัฒนาการด้านวรรณกรรมต่อไปในอนาคต

-รางวัลซีไรต์ให้รางวัลกับตัวชิ้นงาน  ไม่ได้ให้กับตัวบุคคล  ไม่เหมือนรางวัลศิลปินแห่งชาติที่ให้รางวัลกับผลงานทั้งชีวิต  ดังนั้นแต่ละคนจึงมีสิทธิ์ที่จะส่งผลงานเข้ามาได้เรื่อยๆ

-ประการที่สามเป็นการสร้างกระแสวรรณกรรม  โดยตัวรางวัลซีไรต์มันมีลักษณะเหมือนการก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวเสมอ  คือตัวผลงานที่นักเขียนนำเสนอนั้นอาจจะเนื้อหาไม่ใหม่ม่าก  แต่รูปแบบหรือวิธีการเล่าเรื่องเป็นแบบใหม่เสมอ

-อย่างเช่นในปีที่ “ตลิ่งสูง ซุงหนัก” ของคุณนิคม  รายยวา ได้รับรางวัลซีไรต์นั้น  เป็นการนำเสนอกลวิธีของสัญลักษณ์นิยม  ซึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่ในเวลานั้น

-อย่างในปีที่ “แผ่นดินอื่น” ของคุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ได้รับรางวัลซีไรต์นั้น  มันทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาว่า  แล้วเรื่องสั้นมันคืออะไร? เราเคยใช้คำนิยามของตะวันตกมาตลอดว่าเรื่องสั้นควรจะมีคำกี่คำกี่หน้ากัน  แต่เรื่องสั้นในขุดแผ่นดินอื่นนี้ทำให้เห็นว่าเรื่องเล่ามันเล่าเป็นเรื่องสั้นแต่ไม่ต้องมีขนาดสั้นก็ได้  ซึ่งต่อมาก็มีนักเขียนในรุ่นหลังก็เริ่มนำวิธีการแบบนี้มาใช้กันมากขึ้น

-อย่างในปีล่าสุดนี้ที่ “สิงโตนอกคอก” ของคุณจิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท ได้รับรางวัลซีไรต์ ทำให้คนเริ่มตั้งคำถามว่าต่อไปนี้งานที่จะได้รับรางวัลซีไรต์จะต้องเป็นแนวแฟนตาซีหรือไม่? ซึ่งทิศทางวรรณกรรมของคุณจิดานันท์นี้จะเห็นได้ว่ามันเป็นการประสานกันระหว่าง  วรรณกรรมข้างนอก(หนังสือเล่ม)กับวรรณกรรมในพื้นที่ออนไลน์  เพราะเรื่องในแนววรรณกรรมออนไลน์นั้นจะเป็นเรื่องในแนวแฟนตาซีเสียส่วนใหญ่  ส่วนเรื่องในแนววรรณกรรมข้างนอกเป็นเรื่องสมจริง  ซึ่งเรื่องสั้นในชุดสิงโตนอกคอกนี้เอาทั้งสองอย่างนี้มาผสมกัน  จึงทำให้ทั้งคนรุ่นเก่าก็อ่านได้  คนรุ่นใหม่อ่านได้  ซึ่งเป็นทิศทางอะไรบางอย่างมีที่มีผลสะเทือนถึงแวดวงการเขียนวรรณกรรมในอนาคตด้วย

-ในแง่ของแวดวงวรรณกรรม  ตัววรรณกรรมเองก็มีอิทธิพลมากเป็นอย่างยิ่ง วรรณกรรมซีไรต์เอาไปใช้ในการเรียนการสอนได้ทุกระดับ  โดยบางแห่งให้ความสำคัญกับวรรณกรรมซีไรต์มาก เพราะรู้สึกว่าเป็นงานในกลุ่มก้าวหน้า เป็นงานในกลุ่มสร้างสรรค์  เป็นงานที่สร้างผลสะเทือนอะไรบางอย่าง ทั้งในแวดวงการศึกษา ทั้งในแวดวงการเขียนวรรณกรรม และทั้งในแวดวงการอ่าน  มันนำเสนออะไรใหม่ๆ บางอย่างที่เป็นการจุดประกาย เพราะตัววรรณกรรมซีไรต์มันมีเอกลักษณ์ของตัวมันเองอยู่แล้ว


@@@@@@@@@@


อาจารย์ตรีศิลป์ สรุปว่าซีไรต์ต่อทัศนะของนักวิชาการชี้ให้เห็นว่ามีคุโณปการต่อแวดวงวรรณกรรม  ทั้งในแง่คุณภาพของงาน ทั้งในแง่ของการสนับสนุนนักเขียน  ทั้งในแง่ที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในวงวรรณกรรม รวมทั้งทำให้เกิดกระแสหรือทำให้เกิดทิศทางใหม่ๆ  ในการสร้างสรรค์งาน  แล้วยังทำให้เกิดองค์ความรู้  ทำให้เกิดการเรียนการสอน  ถือว่าซีไรต์เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์วรรณกรรมร่วมสมัยของไทย

-งานซีไรต์มักจะมีแนวโน้มนำเสนอสิ่งที่แปลกใหม่เสมอ  เป็นทิศทางใหม่ๆ หรือเป็นวิธีการเขียนใหม่ๆ ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของกาลเวลา  ดังนั้นเมื่อมองไปที่วรรณกรรมซีไรต์เราจะเห็นภาพรวมว่าตอนนี้วรรณกรรมไทยเราไปถึงตรงไหนแล้ว

-ความท้าทายในแง่ของการเขียนและนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ในงานวรรณกรรม  เป็นคุโณปการต่อวงการวรรณกรรมไทย  ทำให้เกิดการเขียนสิ่งใหม่ๆ ขึ้น

-ขอถามคนรุ่นใหม่อย่างคุณจิรัฏฐ์ว่ามองรางวัลซีไรต์ว่าอย่างไรบ้าง  ทั้งที่ผ่านมาและที่น่าจะเป็นต่อไปในอนาคต  มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?


@@@@@@@@@@


คุณจิฏฐ์  บอกว่าเขาเติบโตมาในยุคที่ซีไรต์เป็นที่รู้จักแล้ว  มีชื่อเสียงแล้ว รู้สึกว่าซีไรต์เป็นรางวัลที่มีคุณภาพ  รู้สึกดีที่รางวัลซีไรต์ยอมมอบให้แก่คนรุ่นใหม่  ที่นำเสนอแนวทางการทดลองอะไรใหม่ๆ ในงานวรรณกรรม แล้วหลังจากนั้นรู้สึกว่าวรรณกรรมซีไรต์เองก็ถูกท้านทายด้วยจากวรรณกรรมอื่นๆ งานเขียนที่มีทางเลือกมากขึ้น  มีอิสระมากขึ้น  ซึ่งอาจจะมีมาตราฐานที่แตกต่างไปจากแนววรรรกรรมซีไรต์

-เชื่อว่าคนในรุ่นผมมีมาตราฐานในการเลือก  มีกฎเกณฑ์ผลงานสร้างสรรค์ในอีกแบบหนึ่ง  แต่ก็ยังถือว่ารางวัลซีไรต์เป็นหนึ่งในการวางรากฐานทางวรรณกรรม  เป็นหนึ่งในหมุดหมายทางวรรณกรรมของไทย  เมื่อมีรางวัลอื่นเข้ามาท้าทายด้วย  ซีไรต์จึงต้องขยับตัวเองขึ้น  ยกระดับมาตราฐานของตัวเองให้เหนือขึ้นไปอีก

-ในยุคสมัยที่ผู้อ่านมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซีไรต์ในอนาคตก็ต้องมีความเชื่อมโยงกับโลกในอินเตอร์เน็ตมากขึ้นด้วย  ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ  การที่มีผลงานใดได้รับรางวัลซีไรต์นั้นมันเป็นการบอกว่าผู้อ่านต้องการอ่านเนื้อเรื่องแบบไหน  เพราะมันเป็นแนวความคิดร่วมกันของคนร่วมสมัย บ่งบอกได้ว่าคนร่วมสมัยกำลังคิดอะไรอยู่ หรือว่ากำลังอยากทำสิ่งใด

-ในขณะเดียวกันรางวัลซีไรต์ก็ต้องขยับตัวเองขึ้นไปอีก  และเลียวมองรางวัลวรรณกรรมอื่นที่มีทางเลือกใหม่ๆ ขึ้นมาท้าทายด้วย  หลังจากนี้แล้วทิศทางของรางวัลซีไรต์ยังคงเคลื่อนตามไปกับกระแสของวรรณกรรมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด


@@@@@@@@@@


อาจารย์ตรีศิลป์ บอกว่า ต้องยอมรับว่าตลอด 40 ปีที่มาผ่านบอกไม่ได้ว่าจะมีเล่มไหนโดดเด่นมากเป็นพิเศษ แต่ว่ามันมีความหลากหลายอยู่ในหลายระดับ  แน่นอนว่ารางวัลซีไรต์ต้องอิงกลุ่ม  คืออิงจากกลุ่มหนังสือที่ส่งเข้ามา  ถ้าหนังสือไม่ได้ส่งเข้ามาเราก็ให้รางวัลไม่ได้


@@@@@@@@@@


อาจารย์รื่นฤทัย บอกว่า  ในแต่ละปีเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหนังสือที่เข้ามาประกวดจะมีเรื่องไหนบ้าง หรือจะเป็นหนังสือแนวไหนกันบ้าง  เพราะว่ามันมีเยอะแยะมากมาย  แต่ว่างานประเภทไหนที่มันก้าวหน้าทันสมัย  ออกแหลมๆ (คือโดดเด่นแปลกใหม่) เขาจะไม่ส่งบางเวที  แต่เขาจะส่งมายังซีไรต์เพราะเขารู้ว่าซีไรต์เป็นเวทีสำหรับงานที่มันแปลกพิสดารไปจากธรรมดาปกติเล็กน้อย  ซึ่งมันมีอะไรที่บอกความแหลมคมบางอย่าง  ถึงแม้ว่ามันบอกทิศทางบางอย่างที่มันอาจจะเลือนลาง  แต่มันจะชัดเจนขึ้นในภาคหลังก็ได้  ซึ่งเวทีซีไรต์จะมีคนส่งงานในลักษณะแบบนี้เข้ามามาก


@@@@@@@@@@


คุณจิรัฏฐ์ คิดว่ารางวัลซีไรต์มีบางปีที่งานมันแปลก  คือบางปีอาจจะมีเล่มที่โดดเด่นขึ้นมา  หรือเป็นเล่มที่นำทางไปสู่มาตราฐานของวงการวรรณกรรม อย่างเช่นงานของคุณกนกพงศ์ งานของคุณปราบดา หยุ่น  ผมคิดว่ามันทำให้ทิศทางของการเขียนวรรณกรรมมันเปลี่ยนไป  จากเดิมมันนิ่งๆ อยู่ มันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา  หลังจากนั้นก็มีงานของคุณอุทิศ เหมะมูล ที่ช่วยมากระตุ้นด้วย

-ผมคิดว่าในกระแสของรางวัลซีไรต์ที่ผ่านมา  มันก็มีทั้งช่วงที่นิ่งและช่วงที่โดดเด่น  ซึ่งช่วงที่โดดเด่นก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นแนวทางที่ทำให้วงการนักเขียนหรือนักอ่านหันมาสนใจกันมาก  อย่างเช่นปีล่าสุดผลงานของคุณจิดานันท์นั้นน่าสนใจมาก คือว่าในบางปีอาจจะเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต  บางปีอาจจะเป็นวรรณกรรมแนวทดลอง  แต่วรรณกรรมในแนวดิสโทเปียหรือแนวแฟนตาซีนี้เป็นแนวที่วัยรุ่นชอบอ่านกันเยอะมาก  แต่ก่อนยังไม่ได้รับการยอมรับในระดับมาตราฐาน  แต่การที่ซีไรต์ให้รางวัลกับงานแนวนี้ (สิงโตนอกคอก) ถือว่าเป็นหมุดหมายที่สำคัญของวงการวรรณกรรมไทยเลย


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่