ตั้งแต่ละครช่อง 3 เรื่อง "บุพเพสันนิวาส" ออกอากาศ ก็ดูเหมือนจะสร้างกระแสให้คนไทย หันมาสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์กันมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ใช้โอกาสนี้ ทำให้คนรุ่นหลังหันกลับมามอง
"ของดี" ของบ้านเราที่ถูกเก็บไว้ในตำรา ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต การแต่งกาย อาหารการกินในอดีต
สิ่งที่เห็นจะเป็นไฮไลต์ประจำสัปดาห์ที่ละครออนแอร์ นอกจากบทเข้าพระเข้านางที่ดูแล้วฟินจิกหมอนไปตามๆกัน ก็เห็นจะเป็น
"เมนูอาหาร" หลากหลายที่ออเจ้าการะเกด มักจะนำเสนอให้ผู้ชมได้ติดตามเฝ้าหน้าจอท้องร้องไปตามๆกัน ไม่ว่าจะเป็น
“หมูกระทะ” “กุ้งเผา” “มะม่วงน้ำปลาหวาน” จนล่าสุดมาถึงเมนู
"หมูโสร่ง" ที่จุดกระแสฮอตบนโลกโซเชียลแบบถล่มทลาย จนทำให้บรรดาแบรนด์ ต่าง ๆ เกิดไอเดีย รีบนำไปทำคอนเทนต์เรียกกระแสให้คนเข้ามาคลิกในเพจตัวเองได้อีก
จะว่าไปแล้วนั้น
"อาหารไทย" เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทางการท่องเที่ยวบ้านเรา ใช้โปรโมทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ในอดีตมีไม่กี่เมนูขึ้นชื่อ ที่นักท่องเที่ยวรู้จักอาหารไทย อาทิ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ส้มตำ ฯลฯ แต่หลายปีที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็น "ครัวของโลก" โดยการนำอาหารไทย ร้านอาหารไทย ไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ผ่านโรดแมพการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ก็ทำให้ชื่อเสียงของอาหารไทยเป็นที่รู้จักหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ในสายตาของชาวต่างชาติ เค้ามองว่าอาหารไทยเป็นแบรนด์อาหารรสชาติดีมีระดับ ไม่ใช่อาหารฟาสฟู้ดหรืออาหารจานด่วนราคาถูกทั่วไป โดยมีข้อมูลว่าอาหารไทยติดอันดับ 1 ใน 4 อาหารยอดนิยมของโลก ดังนั้นในแง่การเติบโตของตลาดในต่างประเทศอาหารไทยจึงมีอนาคตที่สดใส ซึ่งไม่เพียงแต่จะขยายตลาดเชนร้านอาหาร หรืออาหารสดพร้อมเสริฟเท่านั้น แต่ตลาดของ อาหารแช่แข็ง หรือ อาหารสำเร็จรูป ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถขยายตลาดได้อีกมากเช่นกัน
โดยผู้ประกอบการไทย อย่างกลุ่มซีพี โดยเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ล่าสุดเห็นว่ามีการขยายตลาดไปยังฝั่งสหรัฐฯ โดยเข้าซื้อกิจการ บริษัทแบลลิซีโอ ฟู้ด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารแช่แข็งรายใหญ่ของสหรัฐฯ ถือเป็นการต่อยอดสินค้าประเภทอาหารจากประเทศไทยให้ต่างประเทศได้รู้จัก และเป็นช่องทางกระจายสินค้า โดยในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเมนูอาหารไทยที่หลากหลาย ส่งออกไปตีตลาดฝั่งสหรัฐอเมริกามากขึ้น เป็นผลดีต่อประเทศในแง่การส่งออกของประเทศที่สูงขึ้นและทำรายได้เข้าประเทศไทยเรามากขึ้นด้วย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่คาดหวังให้ประเทศไทยเราเป็นครัวของโลก
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เห็นว่าหากรัฐบาลอาศัยกระแส
"ออเจ้าฟีเวอร์" ช่วยปลุกกระแสให้คนไทยหันมาสนใจวัฒนธรรม และศึกษาประวัติศาตร์กันมากขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนรู้สึก
"อิน" ความเป็นไทยได้แบบนี้ไปนานๆ น่าจะเป็นผลดีในหลายๆด้าน ดังตัวอย่างในอดีต อย่างเช่นซีรี่อิงประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้เรื่องแดจังกึม ที่เคยสร้างปรากฏการณ์แดจังกึมฟีเวอร์ทั่วเอเชียมาแล้ว.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณรูปภาพจาก ไทยรัฐ
จากออเจ้าการะเกด... ถึงเส้นทางอาหารไทยสู่ครัวโลก
สิ่งที่เห็นจะเป็นไฮไลต์ประจำสัปดาห์ที่ละครออนแอร์ นอกจากบทเข้าพระเข้านางที่ดูแล้วฟินจิกหมอนไปตามๆกัน ก็เห็นจะเป็น "เมนูอาหาร" หลากหลายที่ออเจ้าการะเกด มักจะนำเสนอให้ผู้ชมได้ติดตามเฝ้าหน้าจอท้องร้องไปตามๆกัน ไม่ว่าจะเป็น “หมูกระทะ” “กุ้งเผา” “มะม่วงน้ำปลาหวาน” จนล่าสุดมาถึงเมนู "หมูโสร่ง" ที่จุดกระแสฮอตบนโลกโซเชียลแบบถล่มทลาย จนทำให้บรรดาแบรนด์ ต่าง ๆ เกิดไอเดีย รีบนำไปทำคอนเทนต์เรียกกระแสให้คนเข้ามาคลิกในเพจตัวเองได้อีก
จะว่าไปแล้วนั้น "อาหารไทย" เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทางการท่องเที่ยวบ้านเรา ใช้โปรโมทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ในอดีตมีไม่กี่เมนูขึ้นชื่อ ที่นักท่องเที่ยวรู้จักอาหารไทย อาทิ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ส้มตำ ฯลฯ แต่หลายปีที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเป็น "ครัวของโลก" โดยการนำอาหารไทย ร้านอาหารไทย ไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ผ่านโรดแมพการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ก็ทำให้ชื่อเสียงของอาหารไทยเป็นที่รู้จักหลากหลายมากยิ่งขึ้น
ในสายตาของชาวต่างชาติ เค้ามองว่าอาหารไทยเป็นแบรนด์อาหารรสชาติดีมีระดับ ไม่ใช่อาหารฟาสฟู้ดหรืออาหารจานด่วนราคาถูกทั่วไป โดยมีข้อมูลว่าอาหารไทยติดอันดับ 1 ใน 4 อาหารยอดนิยมของโลก ดังนั้นในแง่การเติบโตของตลาดในต่างประเทศอาหารไทยจึงมีอนาคตที่สดใส ซึ่งไม่เพียงแต่จะขยายตลาดเชนร้านอาหาร หรืออาหารสดพร้อมเสริฟเท่านั้น แต่ตลาดของ อาหารแช่แข็ง หรือ อาหารสำเร็จรูป ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถขยายตลาดได้อีกมากเช่นกัน
โดยผู้ประกอบการไทย อย่างกลุ่มซีพี โดยเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ล่าสุดเห็นว่ามีการขยายตลาดไปยังฝั่งสหรัฐฯ โดยเข้าซื้อกิจการ บริษัทแบลลิซีโอ ฟู้ด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารแช่แข็งรายใหญ่ของสหรัฐฯ ถือเป็นการต่อยอดสินค้าประเภทอาหารจากประเทศไทยให้ต่างประเทศได้รู้จัก และเป็นช่องทางกระจายสินค้า โดยในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเมนูอาหารไทยที่หลากหลาย ส่งออกไปตีตลาดฝั่งสหรัฐอเมริกามากขึ้น เป็นผลดีต่อประเทศในแง่การส่งออกของประเทศที่สูงขึ้นและทำรายได้เข้าประเทศไทยเรามากขึ้นด้วย สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่คาดหวังให้ประเทศไทยเราเป็นครัวของโลก
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เห็นว่าหากรัฐบาลอาศัยกระแส "ออเจ้าฟีเวอร์" ช่วยปลุกกระแสให้คนไทยหันมาสนใจวัฒนธรรม และศึกษาประวัติศาตร์กันมากขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้คนรู้สึก "อิน" ความเป็นไทยได้แบบนี้ไปนานๆ น่าจะเป็นผลดีในหลายๆด้าน ดังตัวอย่างในอดีต อย่างเช่นซีรี่อิงประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้เรื่องแดจังกึม ที่เคยสร้างปรากฏการณ์แดจังกึมฟีเวอร์ทั่วเอเชียมาแล้ว.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้