สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
มันก็เป็นเช่นนี้ ทุกยี่ห้อมั๊ง
โดยเฉพาะรถเจ้าตลาด อย่างวัสดุบุภายในรถ สัก 20 ปีก่อน มันจะเป็นไวนิล/ผ้า บุฟองน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแผงประตู แผงหน้าปัทม์ หลังคาก็เป็นผ้าบุ ที่มีวัสดุซับเสียง และช่วยลดความร้อนได้บ้าง (แม้บางคันจะเป็นกระดาษลังก็เหอะ !!!!?????)
แต่ปัจจุบัน วัสดุแผงประตู แผงหน้าปัทม์ จะเป็นวัสดุตระกูลพลาสติกแข็ง ๆ โดยมีการบุนุ่มเฉพาะตรงท้าวแขน ไรงี้ นอกนั้นแข็งโป๊ก
ก็มีข้อดี โดยเฉพาะแผงหน้าปัทม์ ตรงที่จะทนร้อนได้ดีขึ้น ไม่กรอบแตก แต่ต้องแลกมาด้วยความกระด้างไง
ส่วนวัสดุบุหลังคา ก็กลายเป็นคล้ายโฟม หรือกระดาษอัดขึ้นรูป ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทดแทนกันได้แค่ไหน หรือดีกว่าก็เป็นได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ ทำงานง่ายขึ้น
แต่รถสมัยนี้ ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น อย่างสัญญาณถอย กล้องหลัง อุปกรณ์ความสบายอย่างเกียร์ออโตเมติก ที่ไม้จะมีมานานแสนนาน แต่ก็เพิ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ก็ไม่เกิน 30 ปีที่ผ่านมา พวงมาลัยเพาเวอร์ แม้แต่รถคันจิ๋ว 1200 ซีซี อุปกรณ์ความปลอดภัย เบรคเอบีเอส ถุงลมนิรภัย สารพัดอุปกรณ์สำหรับ Active และ Passive Safety อุปกรณ์นำทาง จีพีเอส และอื่น ๆ ที่รถสมัยก่อนไม่มี
สิ่งที่รถทุกวันนี้มีมากกว่ารถวันวาน มันล้วนมีต้นทุน อย่างน้อยค่า Know How แล้วยังจะค่าเงินเฟ้อ
รถยนต์มันแพงขึ้นทั้งโลกนะ ผมว่า ในเมกาเอง สัก 40 ปีที่แล้ว รถบ้าน ๆ Mid Size Sedan คันนึง ก็ดูเหมือนไม่เกินแสนบาท คือ 5000 USD (อัตราแลกเปลี่ยนในเวลานั้น) ก็พอหาซื้อเชฟมาลิบู ฟอร์ดฟัลคอน ดอดจ์โคโรเนท เอเอ็มซีรีเบล ไรงี้ ซึ่งเป็นรถกระแสหลักได้ แต่วันนี้ แม้รถบ้าน ๆ เทียบเคึยงกับรถที่ว่า ก็ทะลุแสนไปไกล ไม่รู้ว่าน่าจะเลย 10000 USD ซะก็ไม่รู้
ซึ่งก็สอดคล้องกับบรรดาราคาข้าวของ ราคาอาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย อย่างน้ำมันตอนผมเรียนหนังสือ ก็ลิตรละ 2.10 บาทไง ข้าวราดแกงกับสองอย่างมีไข่ด้วย จานนึงก็ไม่เกิน 10 - 15 บาท ทองบาทละเท่าไร ก็สักไม่เกินพันบาท แต่เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับวุฒิป.ตรี ก้พันต้น ๆ นั่นแหละ
เลยไม่รู้ว่า เราถูกเอาเปรียบหรือเปล่า รถสมัยก่อน ระบบความปลอดภัย ความสิ้นเปลือง ระบบอำนวยความสะดวก การควบคุม การทรงตัว ล้วนไม่เอาจเทียบรถยุคปัจจุบัน เทียบรถบ้านต่อรถบ้านนะ รถยุโรปชั้นดีไม่เกี่ยว
สุดท้าย เมื่อเทียบกับรายได้ รถโคโรลล่า KE 20 รุ่นพื้นฐาน และไม่มีรถที่ราคาถูกว่า ราคาประมาณเจ็ดหมื่นบาทเศษ ไม่มีแอร์ วิทยุเอเอ็มเท่านั้น เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ พวงมาลัยไม่มีพาวเวอร์ เบรคหน้าอาจเป็นดรัมเบรคอีกตะหาก เงินเดือนจบใหม่ป.ตรี รับราชการ คงสัก 1200 บาท รถราคาประมาณ 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน
ทุกวันนี้ เงินเดือน ป.ตรี 15000 บาท โคโรลล่า ก็เก้าแสน ยังรักษาอัตราส่วน 60 เท่าของรายได้ไว้ได้ แต่ระบบความปลอดภัย ระบบอำนวยความสะดวก มันต่างกันลิบลับ หรือคุณคิดว่า KE 20 ปลอดภัยกว่าอัลติส ??
นอกจากนี้ ยังมีรถที่ ขนาดไม่เล็กว่า KE 20 แต่สะดวกสบายกว่า และระบบความปลอดภัยดีกว่า อย่างพวกอีโคคาร์ทั้งหลาย
แล้วที่เห็น ๆ คือ ในยุคนี้ ใคร ๆ ก็เข้าถึงรถยนต์ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากกกกก........ ตกลงมันแพงขึ้น หรือถูกลง กันแน่ แม้ตัวเลขราคาจะสูงมาก แต่สิ่งที่เป็นไป มันดูสวนทาง ใคร ๆ ก็มีรถ ดังนั้น บางที สิ่งที่เห็น ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปในทุกกรณีมั๊ง
โดยเฉพาะรถเจ้าตลาด อย่างวัสดุบุภายในรถ สัก 20 ปีก่อน มันจะเป็นไวนิล/ผ้า บุฟองน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแผงประตู แผงหน้าปัทม์ หลังคาก็เป็นผ้าบุ ที่มีวัสดุซับเสียง และช่วยลดความร้อนได้บ้าง (แม้บางคันจะเป็นกระดาษลังก็เหอะ !!!!?????)
แต่ปัจจุบัน วัสดุแผงประตู แผงหน้าปัทม์ จะเป็นวัสดุตระกูลพลาสติกแข็ง ๆ โดยมีการบุนุ่มเฉพาะตรงท้าวแขน ไรงี้ นอกนั้นแข็งโป๊ก
ก็มีข้อดี โดยเฉพาะแผงหน้าปัทม์ ตรงที่จะทนร้อนได้ดีขึ้น ไม่กรอบแตก แต่ต้องแลกมาด้วยความกระด้างไง
ส่วนวัสดุบุหลังคา ก็กลายเป็นคล้ายโฟม หรือกระดาษอัดขึ้นรูป ไม่รู้เหมือนกันว่ามันทดแทนกันได้แค่ไหน หรือดีกว่าก็เป็นได้ แต่ที่แน่ ๆ คือ ทำงานง่ายขึ้น
แต่รถสมัยนี้ ก็มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น อย่างสัญญาณถอย กล้องหลัง อุปกรณ์ความสบายอย่างเกียร์ออโตเมติก ที่ไม้จะมีมานานแสนนาน แต่ก็เพิ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ก็ไม่เกิน 30 ปีที่ผ่านมา พวงมาลัยเพาเวอร์ แม้แต่รถคันจิ๋ว 1200 ซีซี อุปกรณ์ความปลอดภัย เบรคเอบีเอส ถุงลมนิรภัย สารพัดอุปกรณ์สำหรับ Active และ Passive Safety อุปกรณ์นำทาง จีพีเอส และอื่น ๆ ที่รถสมัยก่อนไม่มี
สิ่งที่รถทุกวันนี้มีมากกว่ารถวันวาน มันล้วนมีต้นทุน อย่างน้อยค่า Know How แล้วยังจะค่าเงินเฟ้อ
รถยนต์มันแพงขึ้นทั้งโลกนะ ผมว่า ในเมกาเอง สัก 40 ปีที่แล้ว รถบ้าน ๆ Mid Size Sedan คันนึง ก็ดูเหมือนไม่เกินแสนบาท คือ 5000 USD (อัตราแลกเปลี่ยนในเวลานั้น) ก็พอหาซื้อเชฟมาลิบู ฟอร์ดฟัลคอน ดอดจ์โคโรเนท เอเอ็มซีรีเบล ไรงี้ ซึ่งเป็นรถกระแสหลักได้ แต่วันนี้ แม้รถบ้าน ๆ เทียบเคึยงกับรถที่ว่า ก็ทะลุแสนไปไกล ไม่รู้ว่าน่าจะเลย 10000 USD ซะก็ไม่รู้
ซึ่งก็สอดคล้องกับบรรดาราคาข้าวของ ราคาอาหาร สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย อย่างน้ำมันตอนผมเรียนหนังสือ ก็ลิตรละ 2.10 บาทไง ข้าวราดแกงกับสองอย่างมีไข่ด้วย จานนึงก็ไม่เกิน 10 - 15 บาท ทองบาทละเท่าไร ก็สักไม่เกินพันบาท แต่เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับวุฒิป.ตรี ก้พันต้น ๆ นั่นแหละ
เลยไม่รู้ว่า เราถูกเอาเปรียบหรือเปล่า รถสมัยก่อน ระบบความปลอดภัย ความสิ้นเปลือง ระบบอำนวยความสะดวก การควบคุม การทรงตัว ล้วนไม่เอาจเทียบรถยุคปัจจุบัน เทียบรถบ้านต่อรถบ้านนะ รถยุโรปชั้นดีไม่เกี่ยว
สุดท้าย เมื่อเทียบกับรายได้ รถโคโรลล่า KE 20 รุ่นพื้นฐาน และไม่มีรถที่ราคาถูกว่า ราคาประมาณเจ็ดหมื่นบาทเศษ ไม่มีแอร์ วิทยุเอเอ็มเท่านั้น เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ พวงมาลัยไม่มีพาวเวอร์ เบรคหน้าอาจเป็นดรัมเบรคอีกตะหาก เงินเดือนจบใหม่ป.ตรี รับราชการ คงสัก 1200 บาท รถราคาประมาณ 60 เท่าของรายได้ต่อเดือน
ทุกวันนี้ เงินเดือน ป.ตรี 15000 บาท โคโรลล่า ก็เก้าแสน ยังรักษาอัตราส่วน 60 เท่าของรายได้ไว้ได้ แต่ระบบความปลอดภัย ระบบอำนวยความสะดวก มันต่างกันลิบลับ หรือคุณคิดว่า KE 20 ปลอดภัยกว่าอัลติส ??
นอกจากนี้ ยังมีรถที่ ขนาดไม่เล็กว่า KE 20 แต่สะดวกสบายกว่า และระบบความปลอดภัยดีกว่า อย่างพวกอีโคคาร์ทั้งหลาย
แล้วที่เห็น ๆ คือ ในยุคนี้ ใคร ๆ ก็เข้าถึงรถยนต์ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากกกกก........ ตกลงมันแพงขึ้น หรือถูกลง กันแน่ แม้ตัวเลขราคาจะสูงมาก แต่สิ่งที่เป็นไป มันดูสวนทาง ใคร ๆ ก็มีรถ ดังนั้น บางที สิ่งที่เห็น ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปในทุกกรณีมั๊ง
แสดงความคิดเห็น
ทำไมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ค่ายรถยนต์เอาเปรียบผู้บริโภคมากจังเลยครับ
รถยนต์ในปัจจุบันแทบจะไม่เหลือความเป็นเหล็ก ส่วนที่เป็นเหล็กก็บางราวกับสังกะสี(ถึงแม้จะอ้างว่าแข็งกว่าทนกว่าก็เถอะ)
อะไรตัดออกได้ก็ตัด ลดต้นทุนได้ก็ลด ได้บาทสองบาทต่อคันก็เอา
ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ๆ สวนทางกับคุณภาพของรถและอะไหล่
รู้สึกเหมือนว่ารถถูกออกแบบมาให้ชนครั้งเดียวทิ้ง ชนเบา ๆ ก็พังซะยับยู่ยี่ ซ่อมแทบไม่ได้ หรือได้ก็ราคาตกเหว
รถสภาพเดิม ๆ ต่อให้ไม่มีอุบัติเหตุก็ไม่รู้ว่ารถจะขับไปได้สักกี่ปี
ล่าสุดผมก็เจอปัญหาคุณภาพของอะไหล่ตัวนึงที่น่าจะลดต้นทุนและเกิดปัญหา
คงได้แต่บ่นและทำใจ เฮ้ออ
ป.ล. 1 บ่นในฐานะลูกค้า ในฐานะผู้บริโภคคนนึงซึ่งได้แต่ตัดพ้อ ตราบใดที่ผู้ผลิตยังมองว่ารถเค้าติดตลาด ทำยังไงก็ขายได้ คนก็ซื้อ ผู้บริโภคก็คงได้แต่ทำใจยอมรับ ใช้รถแพง ๆ ที่สวนทางกับคุณภาพไป
ป.ล. 2 ไม่ได้เหมารวมทุกค่ายนะครับ บางค่ายที่มุ่งมั่นพัฒนาใส่คุณภาพรถ มากกว่ามุ่งมั่นรถต้นทุนก็มี