บุพเพผีผลัก

กระทู้สนทนา
บทนำ


ที่ห้องพักฟื้น เปลือกตาหนักๆ ของพิริยาขยับได้บ้างแล้ว แต่ยังปวดๆ ตรงรอบเบ้าตา ซึ่งตาทั้งสองข้างของเธอยังถูกปิดผนึกไว้ด้วยอายแพ็ดอย่างแน่นหนา เธอพยายามจะขยับเขยื้อนร่างกาย แต่มันชาไร้ความรู้สึก ที่เธอทำได้ก็เพียงกระดิกเบาๆ ตรงปลายนิ้ว

“คุณหนู!  คุณหนูฟื้นแล้ว!” เสียงร้องนั้นดังขึ้นข้างตัว พิริยาเดาเอาจากน้ำเสียงว่าคนพูดคงอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบ

“โถ... ทูนหัวของป้า ขวัญเอ๋ยขวัญมานะคะ” พร้อมกันนั้น มืออุ่นจากใครสักคน ซึ่งอาจเป็นมือของผู้ที่แทนตนว่าป้า เลื่อนมาลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา ก่อนที่เสียงของผู้หญิงอีกคนจะเอ่ยตามขึ้นมา

“เป็นยังไงล่ะ คราวนี้แกจะเข็ดไหม ฉันเคยเตือนตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าอย่าขับรถเร็ว” ถ้อยประโยคฟังดูแปลกๆ เหมือนกำลังเยาะเย้ยถากถาง พิลึกคน

“คุณหญิงอย่าเอ็ดคุณหนูเลยค่ะ เท่านี้คุณหนูก็บอบช้ำมากแล้วนะคะ” หญิงผู้แทนตนว่าป้า แทรกเสียงเข้ามาขวาง มืออุ่นมือเดิมยังกระชับแน่นอยู่บนฝ่ามือเย็นของเธอ

“เอาเถอะๆ” เสียงหนักทุ้ม หากก็เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นและสุขุมของชายวัยประมาณหกเจ็ดสิบโผล่เสียงเข้ามาสมทบ “ยัยหนูรอดมาได้ก็บุญเท่าไหร่แล้วล่ะคุณหญิง” ถ้อยประโยคไม่ได้ห่วงหาอาทรมากไปกว่าคนก่อนหน้า ซึ่งไปๆ มาๆ พิริยาชักจะงง!!! ใครกันแวดล้อมเธอเต็มไปหมด???

“เป็นเพราะบุญบารมีของท่านนายพลนะสิคะ” เสียงของผู้แทนตัวว่าป้าเอ่ยขึ้นอีก “แล้วก็เพราะบุญของคุณหนูเองด้วยค่ะ”

“แต่ก็ไม่รู้ว่าตาจะบอดหรือเปล่านะสิ” เสียงห้าวทุ้มของชายวัยหกเจ็ดสิบแว่วขึ้นอีกครั้ง ทำเธอถึงกับตกใจ... เขาพูดว่าตาเธอจะบอด!

“ไม่ต้องห่วงครับ” อีกคนละที่แทรกเข้ามา แต่น้ำเสียงรายนี้ละไมกว่า ส่อแววว่าเป็นคนใจดี “หมอขอยืนยันว่าคนไข้จะสามารถมองเห็นเป็นปกติได้ภายในสัปดาห์นี้แน่นอนครับ”

แล้วพิริยาก็ได้ยินเสียงตัวเองถอนใจยาวอย่างโล่งอก  

“เออๆ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดี” ชายเสียงห้าวทุ้มกล่าว “เพราะถ้าขืนยัยหนูเป็นอะไรไป ฉันก็ไม่รู้จะไปหาลูกสาวจากไหนมาล้างน้ำส่งคืนลูกชายคุณประมุข”

ใครกันคุณประมุข? แล้วยังจะยัยคุณหนูที่คนพวกนี้พูดถึง ... อะไรกันวะเนี่ย?

“วางใจเถอะครับ คนไข้จะหายเป็นปกติในไม่ช้าแน่ๆ ครับ แล้วอีกสักพักพอยาชาหมดฤทธิ์ คนไข้จะสามารถขยับตัวและพูดอะไรได้มากขึ้นครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ"

"โอเค ขอบคุณมากหมอ" เสียงเย็นสุขุมเอ่ยบอก ก่อนที่เสียงเดียวกันนี้จะก้มลงมาพูดข้างหูๆ เธอ "พ่อต้องไปก่อนนะลิลลี่ พ่อกับคุณหญิงมีงานที่สโมสร"

ลิลลี่!? …ใครอีกล่ะเนี่ย?

แล้วมือหนาใหญ่ก็ลูบลงบนผมเธอสองสามที ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนพากันเดินออกไป ต่อจากนั้นฝ่ามืออบอุ่นของผู้ที่ชอบแทนตัวว่าป้าซึ่งมีเหงื่อท่วมฝ่ามือ ก็เลื่อนขึ้นมาลูบผมเธออีกครั้ง พร้อมกับโทนเสียงสลดหดหู่ว่า  

"โถ่...แม่คุณ ทูนหัวของป้า ท่านนายพลกับคุณหญิงนี่ก็ช่างกระไรเลย ลูกสาวเจ็บหนักขนาดนี้ ยังมีแก่ใจไปงานเลี้ยงที่สโมสร"

พิริยาพยายามขยับปากอยากจะพูดอยู่ตลอด แต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้เธอจึงรู้สึกว่าเสียงของตัวเองเริ่มชัดและฟังรู้เรื่องขึ้น

“ขะ...ขอ...น้ำ...หน่อย”

“คุณหนู! ... คุณหนูพูดได้แล้ว” เจ้าของมืออุ่นร้องโพล่ง โทนเสียงสลดหดหู่ถูกแทนที่ด้วยความดีอกดีใจ

“รอแป๊บนะคะ ป้าจะไปหยิบน้ำมาให้”

พร้อมกันนั้น เธอก็รู้สึกว่าเตียงถูกปรับระดับให้สูงขึ้น

“นี่น้ำค่ะคุณหนู” คุณป้าบอกพร้อมกับเอามือดันหลังเธอให้ตั้งขึ้น

เธอค่อยๆ ไล่มือขึ้นไปสัมผัสแก้วน้ำ และพยายามจะรับมันมาจากมือคุณป้า แต่คุณป้าขยับหลอดมาชิดกับริมฝีปากเธอ และกล่าวบอกอย่างห่วงใย

“ป้าถือแก้วให้ค่ะ คุณหนูค่อยๆ นะคะ เดี๋ยวจะสำลัก”

พูดไม่ทันขาดคำ พิริยาสำลักทันที ไอแค๊กๆ อยู่พักหนึ่ง จนคุณป้าต้องลูบหลัง

“โถ แม่คุณ ทูนหัวของป้า” น้ำเสียงของคุณป้าพูดคลอกับเสียงสะอื้น จนเธออยากจะเปิดผ้าปิดตาแล้วมองหน้าคุณป้า ทำไมถึงได้ห่วงใยกันขนาดนี้ เธอเอามือจับมืออุ่นๆ ของคุณป้าไว้

“ป...ป้า ...ร้องไห้ ทำไมคะ” เอ่ยกุกกักถามแผ่วเบาตามกำลังที่มี

คุณป้าที่ยังคงสะอึกสะอื้น บีบมือเธอแน่น

“ก็ป้ากลัวนี่คะ กลัวว่าคุณหนูลิลลี่ของป้าจะไม่กลับมาอีก”

“ค...คุณหนู...ลิลลี่?” หัวใจเธอเต้นระทึก ทั้งตกใจ ทั้งสับสน “ใครคะ ใครคือคุณหนูลิลลี่ ว่าแต่ ... คุณป้า...เป็นใครคะ?”

“โถ่เอ๋ย เวรกรรมแท้ๆ คุณหนูของป้า” คุณป้าสะอื้นหนักขึ้นไปอีก“นี่...ป้าชุ่ม... ป้าชุ่มไงคะ” เสียงพูดขาดเป็นช่วงๆ เพราะคุณป้าเอาแต่สะอึกสะอื้น แถมดึงตัวเธอเข้าไปกอด น้ำตาของคุณป้าซึมผ่านเสื้อมาที่แขนเธออยู่เนืองๆ

“ป้าชุ่ม?” พิริยายิ่งทวีความสับสน

“ค่ะ ป้าคือป้าชุ่มของคุณหนูลิลลี่ไงล่ะคะ”

ท่ามกลางเสียงสะอื้นของป้าชุ่มกับเสียงใจเธอที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จู่ๆ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ฝีเท้าหนักหน่วงเดินปึงปังอย่างกับโมโหใครสักสี่ห้าชาติก้าวเข้ามา พร้อมด้วยน้ำเสียงตวาดดุดัน

“ฟื้นแล้วเหรอ!”

ป้าชุ่มหายสะอื้น เสียงเศร้าถูกแทนที่เป็นเสียงอุทาน “คุณป่า! คุณพระช่วย!!!” พร้อมๆ กับจังหวะที่มือใหญ่ๆ ตะปบหมับลงบนแขนเธอ ทำเอาสะดุ้งสุดขีด

“คุณป่าใจเย็นก่อนค่ะ แค่นี้คุณหนูก็เจ็บมากพอแล้วนะคะ”

“ถอยไปครับป้าชุ่ม ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณหนูของป้าชุ่ม”

มือเขาบีบเค้นแขนเธอแบบไม่บันยะบันยัง  

“โอ๊ย!” พิริยาร้องเสียงหลง “ปล่อยนะ ฉันเจ็บ” เธอตะโกนใส่แบบไร้ทิศทาง เหมือนไส้เดือนตาบอด จิ้งจกหัวกุด หรือใครสักคนที่โดนทำร้ายในโลกมืด เธออยากเปิดเจ้าอายแพ็ดเกะกะนี้ออก เพื่อจะได้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทำไม่ได้ ขณะเดียวกันแขนทั้งสองก็ถูกเขาเขย่าแรงจนเจ็บระบม

“คุณมันผู้หญิงร้ายกาจ ลิลลี่! คุณมันฆาตกร!” แขนเธอถูกเขย่าจนหัวโคลงเคลง มึนงงจนบอกไม่ถูก

“คุณป่า คุณป่าปล่อยคุณหนูนะคะ” เสียงคุณป้าแทรกเข้ามา

“คุณพูดอะไร ฉันไม่รู้ ฉันไม่ได้ฆ่าใคร” พิริยาปฏิเสธน้ำตานองหน้า พร้อมๆ กับพบว่าร่างของตัวเองตอนนี้กำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ภายใต้แรงมหาศาลของเขา

“ปล่อยลิลลี่เดี๋ยวนี้นะนายป่า!” เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีที่ประตูห้องถูกผลักเสียงดังผลั๊วะ!

“คุณเขตต์!" เสียงป้าชุ่มเหมือนดีใจกับการก้าวเข้ามาของคนชื่อเขตต์  

"ช่วยคุณหนูลิลลี่ด้วยค่ะ” ป้าชุ่มแทรกขึ้น ก่อนที่ไหล่ของเธอจะถูกปลดปล่อย

พิริยาหน้ามืดวิงเวียนจนต้องรีบไถลหัวลงไปกองบนหมอน

"จะมายุ่งเรื่องนี้ทำไมนายเขตต์" เสียงดุดันเจ้าเก่าพูดอย่างฉุนเฉียว

“แต่ผลเลือดออกมาแล้ว นายแหกตาดูซะ!" คนชื่อเขตต์ส่งเสียงขัดขึ้น "แล้วภาพจากกล้องวงจรปิดตรงสี่แยก ก็ชี้ชัดว่าไอ้ตีนผีสิบแปดล้อนั่นต่างหาก ที่ขับรถฝ่าสัญญาณไฟ”

“นายพลอินทรเจ้านายแกคงจ่ายไปเยอะสินะ นายถึงได้หลักฐานงี่เง่าพวกนั้นมา” เสียงเขาหัวเราะกระหึ่มอยู่ในลำคอ “ฮึ !  ฉันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว  เงินก็ซื้อเกียรติของผู้พันเขตต์ศึกได้สำเร็จ”

“นายป่า!”

เสียงคนทะเลาะกันฟังชุลมุน จับใจความอะไรไม่ได้เลย ป้าชุ่มซึ่งยังยืนอยู่ใกล้ๆ และจับมือเธอไว้แน่น

“ไม่เป็นไรแล้วนะคะคุณหนู” ป้าชุ่มกระซิบบอกพร้อมกับลูบไหล่ลงมาอย่างปลอบโยน

“นายเขตต์ ฟังไว้ให้ดี! เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป..."  แล้วเสียงกรรโชกก็เหมือนจะเบนทิศทางมาที่เธอ "ส่วนคุณ! ลิลลี่ ไม่มีวันที่ผมจะยอมยกโทษให้ จำไว้!!!” ตามด้วยเสียงก้าวเท้าปึงๆ และเสียงประตูห้องถูกเปิด

เขาออกไปแล้ว  เธอโล่งใจระคนสับสนมึนงง...
“ปวดหัวจังเลยค่ะ” เธอบอก
“อดทนหน่อยนะคะ ป้ากดเรียกคุณหมอแล้วนะคะ” ป้าชุ่มปรับระดับเตียงให้ต่ำลง ดวงตาทั้งสองของเธอยังถูกขังอยู่ในความมืด อาการชาตามร่างกายหายไปตอนนี้กลายเป็นความรู้สึกปวดระบม โดยเฉพาะไหล่ทั้งสองข้าง ที่โดนไอ้บ้านั่นขย้ำเมื่อกี้

เสียงเปิดประตู และมีคนเดินเข้ามา

“คุณหมอมาแล้วค่ะ คุณหนู”

“มีอาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“เวียนหัวค่ะ แล้วก็ปวดไปหมดทั้งตัว”

“เดี๋ยวหมอจะให้พยาบาลช่วยฉีดยาระงับปวดให้นะครับ ยาอาจมีฤทธิ์ทำให้ง่วง คนไข้อาจหลับไปนานหลายชั่วโมง”

เสียงสุภาพจากอีกคนเอ่ยต่อจากเสียงของคุณหมอ “น้องลิลลี่ไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ นายป่าจะไม่มีทางเข้ามาอาละอาดน้องลิลลี่ได้อีก เพราะพี่ให้ลูกน้องคอยดูแลอยู่หน้าห้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วครับ”

แล้วเขาก็สนทนาอะไรต่อไปอีกกับป้าชุ่ม ความที่น้ำเสียงเขาทั้งสุภาพละมุนและเนิบเย็น พิริยาพยายามจินตนาการถึงใบหน้าของเขา แต่ยังไม่ทันจินตนาการสำเร็จ ยาระงับอาการปวดที่หมอพูดถึงก็พาสติสัมปชัญญะของเธอจมดิ่งสู่ความมืดมิดอีกครั้ง


กลางห้วงฝันมัวซัว สายลมหนาวทะลวงลึกเข้ามาในกระดูก ราวกับจะกัดกร่อนกระดูกทุกซี่ของเธอให้แหลกเป็นผุยผง

พิริยาไม่รู้ว่าตัวเองนอนทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เธอรู้แค่ว่าเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองดูอยู่

เธอค่อยๆ หันไปมองอย่างหวาดระแวง ก่อนจะผงะ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อพบกับหญิงสาวผมยาวใบหน้าถูกปกคลุมด้วยเรือนผมเปื้อนเลือดลอยวูบขึ้นวูบลงอยู่กลางอากาศเบื้องหน้า

“ผะ... ผี!” พิริยาตะโกนลั่นจนคอหอยจะแตก แต่เสียงที่ลอดออกมากลับแหบพล่าและแผ่วเบา

“ฉันไม่ใช่ผีย่ะ!” ฝ่ายนั้นสวนกลับเสียงดุ "บอกแล้วไง ฉันก็แค่วิญญาณกระเด็นออกจากร่าง” แล้วก็ยกมืออันซีดขาวขึ้นปาดน้ำตา เสียงร้องฮือๆๆๆ ยังดังเป็นห้วงๆ ขณะเดียวกันลมเย็นพัดมาตีกระทบกับผมยาวสลวยให้สยายออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวโพลนอันโชกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด

“ธะ ... เธอ!” พิริยาขนแขนลุกซู่ชูชัน ปากเปิก สั่นงันงก “ถะ... ถ้า ไม่ใช่ผี... ละ...แล้วเธอเป็นใคร”
ผู้ถูกถามยกมือเท้าเอวและร้องแว้ด

“ยัยบุญเพิ้ง! ยัยเบ๊อะ!!!”  

ฉันพลัน พลังลึกลับบางอย่างก็แผ่รุนแรงมาจากเจ้าของเสียงแว๊ด ดูดกลืนพิริยาเข้าสู่ห้วงเหวแห่งความมืดมิดและเย็นเยียบ ก่อนที่ภาพความทรงจำพล่ามัวในสมองจะค่อยๆ ฉายชัดขึ้นทีละน้อย...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่