สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งกับกระทู้ยาวๆ แปลมาให้อ่านกันครับ
ย้อนกลับไปเมื่อปี2011 ภายหลังที่มหากาพย์การซื้อทีมลิเวอร์พูลจบลงแล้ว นักข่าวของเดอะ การ์เดี้ยนใช้เวลาสามวันพูดคุยกับเจ้าของใหม่ของหงส์แดง ผู้ซึ่งแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษและทีมลิเวอร์พูลที่ตัวเขาเป็นเจ้าของ ก่อนที่การเข้าซื้อสโมสรจะเกิดขึ้น
จอห์นยอมรับว่าตัวเขาเองแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษและทีมลิเวอร์พูลมาก่อนเลย ในขณะที่ทอม บอกว่า เคยได้ยินทีมที่ชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อนบ้างแล้ว แล้วอะไรที่ทำให้เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ป บริษัทที่ดำเนินธุรกิจกีฬาในอเมริกา เจ้าของทีมบอสตัน เรดซ๊อกส์ และเจ้าของทีมรถแข่งแนสคาร์ “เร้าช์ มอเตอร์สปอร์ต” ตัดสินใจเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลที่พวกเค้าไม่รู้จักกันละ เรามาหาคำตอบกันครับ
จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เจ้าของทีมบอสตัน เรดซ๊อกส์อย่างจอห์น เฮนรี่ ซึ่งเป็นแฟนเบสบอลเข้ากระดูกดำ สนใจในสิ่งที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่าฟุตบอลอังกฤษได้รับความนิยมไปทั่วโลก และโอกาสในการทำเงินจากธุรกิจนี้นั่นเอง..
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะจดหมายอีเลคโทรนิคฉบับนึงแท้ๆ เป็นอีเมล์จากจากเดอะ คอปคนหนึ่งที่ชื่อโจ จานูสซิลสกี้ซึ่งเป็นพนักงาน(Senior Vice President for Boston Redsoxs coperate sales เพิ่มตำแหน่งจากลิงค์ของคุณpanoteครับ)ในเฟนเวย์ที่ส่งถึงจอห์น รายงานให้รับรู้ว่าลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษ กำลังเจอวิกฤตทางการเงิน และอาจจะถูกควบคุมกิจการ
“Please save my club” คือหนึ่งข้อความในจดหมายนั่น จอห์นเริ่มให้ความสนใจ แต่ก็ยอมรับว่า เขาอายุ60แล้ว เป็นแฟนอเมริกันเกมส์ขนานแท้ แต่ไม่รู้จักลิเวอร์พูลเลย ไม่รู้เลยว่าทีมนี้เคยคว้าแชมป์ลีคมาแล้ว 18ครั้ง จอห์นจึงได้นัดพบกับบุคคลคนหนึ่งที่จะเป็นคนสำคัญในการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรในเวลาต่อมา และพร้อมกับวาดภาพความคิดขึ้น โดยหวังจะใช้แนวทางเดียวที่เคยทำกับเรดซ๊อกส์ ซึ่งเฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปได้เข้าซื้อทีมในปี2002 (ภายหลังจอห์นก็ยอมรับว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกมากในแวดวงฟุตบอลอังกฤษ
“Liverpool and English football were a misery to me” says John W. Henry)
ก่อนที่เฟนเวย์จะเข้าซื้อบอสตัน เรดซ๊อกส์ ทีมได้ห่างหายจากแชมป์เวิลด์ซีรี่ส์มานานร่วม90ปี แถมเฟนเวย์ พาร์คสนามของทีมก็เก่ามาก แต่หลังจากที่เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปได้เป็นเจ้าของทีม ก็สามารถพาเรดซ๊อกส์กลับมาคว้าแชมป์เวิลด์ ซีรี่ส์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และยังได้มีการปรับปรุงสนามให้ดีขึ้นอีกด้วย โมเดลนี้ท้าทายจอห์น เฮนรี่อย่างมากกับการเข้าซื้อลิเวอร์พูลและทำให้ทีมหงส์แดงกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เหมือนที่ทำสำเร็จมาแล้วกับเรดซ๊อกส์ และถึงแม้จะรู้ว่าวิกฤติการเงินของลิเวอร์พูลจะทำให้ทีมอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่จะสามารถเข้ามาทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ยิ่งกว่าที่เคยได้จากเบสบอลเสียอีก
หลังจากที่รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่ลิเวอร์พูล จอห์นและทอมได้นัดพบกับฟิลลิป ฮอลล์ ผู้บริหารจากInner Circle Sports ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำการเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ
นอกจากจะช่วยให้นักธุรกิจอเมริกัน เอลลิส ซอร์ท เข้าซื้อทีมซันเดอร์แลนด์แล้ว Inner Circle Sports ก็คือผู้ที่ช่วยจอร์จ จิลเลตต์และทอม ฮิคส์ สำหรับการเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูลในปี2002 นั่นเอง ทอม วอร์เนอร์เล่าให้นักข่าวเดอะ การ์เดี้ยนฟังว่า “
(ในตอนนั้น) ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจกีฬา ผมจึงพอรู้จะว่าพรีเมียร์ลีค เป็นอะไรที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายทั่วโลก ถึงแม้ผมจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ผมก็เคยได้ยินชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อน นะ”
ทอมยังบอกอีกว่า ตอนนั้นเค้าคิดว่าเฟนเวย์คงไม่คิดจะซื้อลิเวอร์พูลแน่
“หลังจากที่เราได้พบกับฟิลลิป และฟังที่สิ่งที่เขานำเสนอแล้ว ผมคิดว่าเฟนเวย์จะไม่ยื่นข้อเสนอซื้อลิเวอร์พูลแน่นอน พูดตามตรงเลยนะ ตอนนั้นผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก ผมมัวแต่ดูมือถือของผม เพราะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นที่ค้างอยู่ และก็คิดว่า ไม่มีทางเลยที่จอห์นจะลากพวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจฟุตบอลนี้”
แต่ จอห์น เฮนรี่กลับพบว่า ตัวเขาได้ถูกสโมสรลิเวอร์พูลตกเข้าให้แล้ว
หลังจากที่ได้ฟังฟิลลิป ฮอลล์ร่ายยาวถึงสถานการณ์ของลิเวอร์พูลแล้ว จอห์นพบว่าหลายๆอย่างช่างคล้ายกับเมื่อตอนก่อนที่เฟนเวย์จะเข้ามาซื้อบอสตัน เรดซ๊อกส์ซะเหลือเกิน ทั้งสองทีมล้วนเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน และก็ห่างหายจากความสำเร็จมานานด้วยเช่นกันทั้งคู่ และทั้งสองทีมต่างก็มีสนามที่เป็นประวัติศาสตร์และเป็นที่ที่มีความทรงจำหรับแฟนๆทั้งสองทีมเหมือนกัน จอห์นคิดว่าเขาน่าจะใช้ยุทธวิธีที่ใช้กับเรดซ๊อกส์ได้ผล นำมาใช้กับลิเวอร์พูลได้ และทำให้สโมสรกลับมามีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานได้อีกครั้ง
มีสิ่งหนึ่งที่จอห์นอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ จำนวนคนดูพรีเมียร์ลีกที่มากเกินจะคาดเดา ในแมทช์ชิงแชมป์ซุปเปอร์ โบวล์ อาจจะมีคนที่ไม่ได้อยู่ในอเมริกาสัก20ล้านคนที่ดูการถ่ายทอดสด แต่ในศึกแดงเดือด จะมีคนมากกว่า500ล้านคนทั่วโลกที่เฝ้าดูการแข่งขันอยู่หน้าจอทีวี ซึ่งฟิลลิป ฮอลล์ก็ได้พูดให้จอห์นฟังถึงรายได้ของแมนยูฯที่ตระกูลเกลเซอร์เป็นเจ้าของทีม พร้อมกับย้ำว่า ที่ลิเวอร์พูล เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปก็สามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน นั่นทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับจอห์นเป็นอย่างมาก 6สัปดาห์หลังจากการทำงานที่รวดเร็วและการต่อสู้กันในศาล ที่หน้าสำนักงานทนายความSlaughter & May กลางกรุงลอนดอน จอห์น เฮนรี่ ก็กลายเป็นจุดสนใจที่ไฟแฟลชจากกล้องนักข่าวส่องกระทบมากที่สุด เฟนเวย์ต้องเพิ่มเงินเป็น300ล้านปอนด์ เพื่อเอาชนะปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจจากสิงคโปร์ที่สนใจจะซื้อสโมสรด้วยเช่นกัน
...ลิเวอร์พูลรอดพ้นจากหายนะอย่างหวุดหวิดที่สุด...
..นอกจากที่จะคิดแบบนักธุรกิจแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากเรื่องเงินๆทองๆที่ทำให้จอห์นตัดสินใจเข้าซื้อลิเวอร์พูล จอห์น เฮนรี่ได้มีโอกาสไปพูดให้หอการค้าบอสตันฟัง พร้อมกับบอกถึงความคล้ายกันของบอสตันและลิเวอร์พูลในหลายๆเรื่อง
“ส่วนสำคัญมากๆที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อลิเวอร์พูลเพื่อให้ทีมหลุดพ้นจากหนี้สินและการล้มละลายที่นักธุรกิจอเมริกันคนอื่นก่อขึ้น คือความเหมือนกันของเมืองทั้งสอง ทีมทั้งสองทีม ประวัติศาสตร์ของทั้งคู่ และสนามของทั้งสองทีม ทำให้ผมอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ และอยากจะบอกว่าทั้งสองเมืองคล้ายเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริงๆ”
“ลิเวอร์พูลเป็นเมืองที่มีชาวไอริชอาศัยอยู่มาก ในขณะที่บอสตันก็เป็นเมืองที่มีชาวไอริชอเมริกันมากที่สุดในประเทศ บอสตันคือเมืองที่มีห้องสมุดสาธารณะเป็นแห่งแรก ในขณะที่ลิเวอร์พูลก็มีห้องสมุดที่ให้ยืมหนังสือได้เป็นแห่งแรกเช่นกันเป็นเมืองแห่งการศึกษาเหมือนๆกัน ทีมทั้งสองทีมมีสนามที่เป็นประวัติศาสตร์เหมือนกัน มีผู้เล่นทีน่าตื่นเต้นเหมือนๆกัน ที่บอสตันมีเดวิด ออร์ติส ที่ลิเวอร์พูลก็มีหลุยส์ ซัวเรส ทั้งสองยังมีคู่รักคู่แค้นที่ห้ำหั่นฟาดฟันกันทุกปีเหมือนกัน ลิเวอร์พูลมีเพื่อนรักเพื่อนแค้นชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในขณะที่บอสตัน เรดซ็อกส์ก็มีเพื่อรักหักเหลี่ยมโหดที่ชื่อ นิวยอร์ค แยงกี้ส์”
บอสตัน เซลติคส์ ทีมในNBA ใช้ใบโคลเวอร์ซึ่งถือเป็นตัวแทนชาวไอริช เป็นสัญญลักษณ์ของทีม
- ตั้งแต่ที่เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปเข้ามาเทคโอเวอร์ทีม มีการใช้หนี้จนหมด การต่อเติมสนาม การจ่ายเงินซื้อผู้เล่น ฯลฯ แม้ที่ผ่านมาจะหลงทิศหลงทางไปบ้าง แต่โดยรวมผมถือว่าเรามีเจ้าของทีมที่โอเคระดับหนึ่งเลยครับ ยิ่งปีนี้ทีมสามารถผ่านUCLรอบแบ่งกลุ่มได้เป็นครั้งแรก คงได้เห็นภาพชัดขึ้นเรื่องรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น โดยเฉพาะผลงานชิ้นโบว์แดงคือการที่เราได้ผจก.ทีมอย่างป๋าคลอปป์มานี่แหละครับ ที่ทำให้เรากลับมายืนอยู่ในระดับที่พอจะแข่งขันกับทีมใหญ่อื่นๆได้อีกครั้ง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ สรุปใจความ ย่อความ คัดลอก ตัดต่อจาก
https://www.theguardian.com/football/blog/2011/oct/12/liverpool-boston-red-sox-henry
https://www.theguardian.com/football/2011/oct/12/liverpool-john-henry-fenway
https://www.theguardian.com/football/blog/2011/oct/13/john-w-henry-liverpool-boston
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/john-w-henry-buy-liverpool-3020975
กระทู้ที่แล้วที่ควรจะเป็นตอนต่อของกระทู้นี้มากกว่าครับ สำหรับใครที่ผลาดไปคราวที่แล้ว
จอห์น เฮนรี่ บทเรียนจากบอสตัน เรดซ็อกส์สู่การบริหารลิเวอร์พูล
https://ppantip.com/topic/37421222
จอห์น เฮนรี่”ผมไม่เคยรู้จักทีมลิเวอร์พูลมาก่อนเลย” ทอม วอร์เนอร์”ส่วนผมพอจะได้ยินชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาบ้าง”
ย้อนกลับไปเมื่อปี2011 ภายหลังที่มหากาพย์การซื้อทีมลิเวอร์พูลจบลงแล้ว นักข่าวของเดอะ การ์เดี้ยนใช้เวลาสามวันพูดคุยกับเจ้าของใหม่ของหงส์แดง ผู้ซึ่งแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษและทีมลิเวอร์พูลที่ตัวเขาเป็นเจ้าของ ก่อนที่การเข้าซื้อสโมสรจะเกิดขึ้น
จอห์นยอมรับว่าตัวเขาเองแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลอังกฤษและทีมลิเวอร์พูลมาก่อนเลย ในขณะที่ทอม บอกว่า เคยได้ยินทีมที่ชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อนบ้างแล้ว แล้วอะไรที่ทำให้เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ป บริษัทที่ดำเนินธุรกิจกีฬาในอเมริกา เจ้าของทีมบอสตัน เรดซ๊อกส์ และเจ้าของทีมรถแข่งแนสคาร์ “เร้าช์ มอเตอร์สปอร์ต” ตัดสินใจเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลที่พวกเค้าไม่รู้จักกันละ เรามาหาคำตอบกันครับ
จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เจ้าของทีมบอสตัน เรดซ๊อกส์อย่างจอห์น เฮนรี่ ซึ่งเป็นแฟนเบสบอลเข้ากระดูกดำ สนใจในสิ่งที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะการได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่าฟุตบอลอังกฤษได้รับความนิยมไปทั่วโลก และโอกาสในการทำเงินจากธุรกิจนี้นั่นเอง..
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะจดหมายอีเลคโทรนิคฉบับนึงแท้ๆ เป็นอีเมล์จากจากเดอะ คอปคนหนึ่งที่ชื่อโจ จานูสซิลสกี้ซึ่งเป็นพนักงาน(Senior Vice President for Boston Redsoxs coperate sales เพิ่มตำแหน่งจากลิงค์ของคุณpanoteครับ)ในเฟนเวย์ที่ส่งถึงจอห์น รายงานให้รับรู้ว่าลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษ กำลังเจอวิกฤตทางการเงิน และอาจจะถูกควบคุมกิจการ “Please save my club” คือหนึ่งข้อความในจดหมายนั่น จอห์นเริ่มให้ความสนใจ แต่ก็ยอมรับว่า เขาอายุ60แล้ว เป็นแฟนอเมริกันเกมส์ขนานแท้ แต่ไม่รู้จักลิเวอร์พูลเลย ไม่รู้เลยว่าทีมนี้เคยคว้าแชมป์ลีคมาแล้ว 18ครั้ง จอห์นจึงได้นัดพบกับบุคคลคนหนึ่งที่จะเป็นคนสำคัญในการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรในเวลาต่อมา และพร้อมกับวาดภาพความคิดขึ้น โดยหวังจะใช้แนวทางเดียวที่เคยทำกับเรดซ๊อกส์ ซึ่งเฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปได้เข้าซื้อทีมในปี2002 (ภายหลังจอห์นก็ยอมรับว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อีกมากในแวดวงฟุตบอลอังกฤษ “Liverpool and English football were a misery to me” says John W. Henry)
ก่อนที่เฟนเวย์จะเข้าซื้อบอสตัน เรดซ๊อกส์ ทีมได้ห่างหายจากแชมป์เวิลด์ซีรี่ส์มานานร่วม90ปี แถมเฟนเวย์ พาร์คสนามของทีมก็เก่ามาก แต่หลังจากที่เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปได้เป็นเจ้าของทีม ก็สามารถพาเรดซ๊อกส์กลับมาคว้าแชมป์เวิลด์ ซีรี่ส์ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และยังได้มีการปรับปรุงสนามให้ดีขึ้นอีกด้วย โมเดลนี้ท้าทายจอห์น เฮนรี่อย่างมากกับการเข้าซื้อลิเวอร์พูลและทำให้ทีมหงส์แดงกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เหมือนที่ทำสำเร็จมาแล้วกับเรดซ๊อกส์ และถึงแม้จะรู้ว่าวิกฤติการเงินของลิเวอร์พูลจะทำให้ทีมอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่จะสามารถเข้ามาทำเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ยิ่งกว่าที่เคยได้จากเบสบอลเสียอีก
หลังจากที่รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่ลิเวอร์พูล จอห์นและทอมได้นัดพบกับฟิลลิป ฮอลล์ ผู้บริหารจากInner Circle Sports ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำการเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ
นอกจากจะช่วยให้นักธุรกิจอเมริกัน เอลลิส ซอร์ท เข้าซื้อทีมซันเดอร์แลนด์แล้ว Inner Circle Sports ก็คือผู้ที่ช่วยจอร์จ จิลเลตต์และทอม ฮิคส์ สำหรับการเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูลในปี2002 นั่นเอง ทอม วอร์เนอร์เล่าให้นักข่าวเดอะ การ์เดี้ยนฟังว่า “(ในตอนนั้น) ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจกีฬา ผมจึงพอรู้จะว่าพรีเมียร์ลีค เป็นอะไรที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายทั่วโลก ถึงแม้ผมจะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ผมก็เคยได้ยินชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อน นะ”
ทอมยังบอกอีกว่า ตอนนั้นเค้าคิดว่าเฟนเวย์คงไม่คิดจะซื้อลิเวอร์พูลแน่ “หลังจากที่เราได้พบกับฟิลลิป และฟังที่สิ่งที่เขานำเสนอแล้ว ผมคิดว่าเฟนเวย์จะไม่ยื่นข้อเสนอซื้อลิเวอร์พูลแน่นอน พูดตามตรงเลยนะ ตอนนั้นผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก ผมมัวแต่ดูมือถือของผม เพราะกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นที่ค้างอยู่ และก็คิดว่า ไม่มีทางเลยที่จอห์นจะลากพวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจฟุตบอลนี้”
แต่ จอห์น เฮนรี่กลับพบว่า ตัวเขาได้ถูกสโมสรลิเวอร์พูลตกเข้าให้แล้ว
หลังจากที่ได้ฟังฟิลลิป ฮอลล์ร่ายยาวถึงสถานการณ์ของลิเวอร์พูลแล้ว จอห์นพบว่าหลายๆอย่างช่างคล้ายกับเมื่อตอนก่อนที่เฟนเวย์จะเข้ามาซื้อบอสตัน เรดซ๊อกส์ซะเหลือเกิน ทั้งสองทีมล้วนเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน และก็ห่างหายจากความสำเร็จมานานด้วยเช่นกันทั้งคู่ และทั้งสองทีมต่างก็มีสนามที่เป็นประวัติศาสตร์และเป็นที่ที่มีความทรงจำหรับแฟนๆทั้งสองทีมเหมือนกัน จอห์นคิดว่าเขาน่าจะใช้ยุทธวิธีที่ใช้กับเรดซ๊อกส์ได้ผล นำมาใช้กับลิเวอร์พูลได้ และทำให้สโมสรกลับมามีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานได้อีกครั้ง
มีสิ่งหนึ่งที่จอห์นอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ จำนวนคนดูพรีเมียร์ลีกที่มากเกินจะคาดเดา ในแมทช์ชิงแชมป์ซุปเปอร์ โบวล์ อาจจะมีคนที่ไม่ได้อยู่ในอเมริกาสัก20ล้านคนที่ดูการถ่ายทอดสด แต่ในศึกแดงเดือด จะมีคนมากกว่า500ล้านคนทั่วโลกที่เฝ้าดูการแข่งขันอยู่หน้าจอทีวี ซึ่งฟิลลิป ฮอลล์ก็ได้พูดให้จอห์นฟังถึงรายได้ของแมนยูฯที่ตระกูลเกลเซอร์เป็นเจ้าของทีม พร้อมกับย้ำว่า ที่ลิเวอร์พูล เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปก็สามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน นั่นทำให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับจอห์นเป็นอย่างมาก 6สัปดาห์หลังจากการทำงานที่รวดเร็วและการต่อสู้กันในศาล ที่หน้าสำนักงานทนายความSlaughter & May กลางกรุงลอนดอน จอห์น เฮนรี่ ก็กลายเป็นจุดสนใจที่ไฟแฟลชจากกล้องนักข่าวส่องกระทบมากที่สุด เฟนเวย์ต้องเพิ่มเงินเป็น300ล้านปอนด์ เพื่อเอาชนะปีเตอร์ ลิม นักธุรกิจจากสิงคโปร์ที่สนใจจะซื้อสโมสรด้วยเช่นกัน
...ลิเวอร์พูลรอดพ้นจากหายนะอย่างหวุดหวิดที่สุด...
..นอกจากที่จะคิดแบบนักธุรกิจแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นนอกเหนือจากเรื่องเงินๆทองๆที่ทำให้จอห์นตัดสินใจเข้าซื้อลิเวอร์พูล จอห์น เฮนรี่ได้มีโอกาสไปพูดให้หอการค้าบอสตันฟัง พร้อมกับบอกถึงความคล้ายกันของบอสตันและลิเวอร์พูลในหลายๆเรื่อง “ส่วนสำคัญมากๆที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อลิเวอร์พูลเพื่อให้ทีมหลุดพ้นจากหนี้สินและการล้มละลายที่นักธุรกิจอเมริกันคนอื่นก่อขึ้น คือความเหมือนกันของเมืองทั้งสอง ทีมทั้งสองทีม ประวัติศาสตร์ของทั้งคู่ และสนามของทั้งสองทีม ทำให้ผมอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ และอยากจะบอกว่าทั้งสองเมืองคล้ายเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริงๆ”
“ลิเวอร์พูลเป็นเมืองที่มีชาวไอริชอาศัยอยู่มาก ในขณะที่บอสตันก็เป็นเมืองที่มีชาวไอริชอเมริกันมากที่สุดในประเทศ บอสตันคือเมืองที่มีห้องสมุดสาธารณะเป็นแห่งแรก ในขณะที่ลิเวอร์พูลก็มีห้องสมุดที่ให้ยืมหนังสือได้เป็นแห่งแรกเช่นกันเป็นเมืองแห่งการศึกษาเหมือนๆกัน ทีมทั้งสองทีมมีสนามที่เป็นประวัติศาสตร์เหมือนกัน มีผู้เล่นทีน่าตื่นเต้นเหมือนๆกัน ที่บอสตันมีเดวิด ออร์ติส ที่ลิเวอร์พูลก็มีหลุยส์ ซัวเรส ทั้งสองยังมีคู่รักคู่แค้นที่ห้ำหั่นฟาดฟันกันทุกปีเหมือนกัน ลิเวอร์พูลมีเพื่อนรักเพื่อนแค้นชื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในขณะที่บอสตัน เรดซ็อกส์ก็มีเพื่อรักหักเหลี่ยมโหดที่ชื่อ นิวยอร์ค แยงกี้ส์”
บอสตัน เซลติคส์ ทีมในNBA ใช้ใบโคลเวอร์ซึ่งถือเป็นตัวแทนชาวไอริช เป็นสัญญลักษณ์ของทีม
- ตั้งแต่ที่เฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปเข้ามาเทคโอเวอร์ทีม มีการใช้หนี้จนหมด การต่อเติมสนาม การจ่ายเงินซื้อผู้เล่น ฯลฯ แม้ที่ผ่านมาจะหลงทิศหลงทางไปบ้าง แต่โดยรวมผมถือว่าเรามีเจ้าของทีมที่โอเคระดับหนึ่งเลยครับ ยิ่งปีนี้ทีมสามารถผ่านUCLรอบแบ่งกลุ่มได้เป็นครั้งแรก คงได้เห็นภาพชัดขึ้นเรื่องรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น โดยเฉพาะผลงานชิ้นโบว์แดงคือการที่เราได้ผจก.ทีมอย่างป๋าคลอปป์มานี่แหละครับ ที่ทำให้เรากลับมายืนอยู่ในระดับที่พอจะแข่งขันกับทีมใหญ่อื่นๆได้อีกครั้ง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ สรุปใจความ ย่อความ คัดลอก ตัดต่อจาก
https://www.theguardian.com/football/blog/2011/oct/12/liverpool-boston-red-sox-henry
https://www.theguardian.com/football/2011/oct/12/liverpool-john-henry-fenway
https://www.theguardian.com/football/blog/2011/oct/13/john-w-henry-liverpool-boston
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/john-w-henry-buy-liverpool-3020975
กระทู้ที่แล้วที่ควรจะเป็นตอนต่อของกระทู้นี้มากกว่าครับ สำหรับใครที่ผลาดไปคราวที่แล้ว
จอห์น เฮนรี่ บทเรียนจากบอสตัน เรดซ็อกส์สู่การบริหารลิเวอร์พูล
https://ppantip.com/topic/37421222