สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ pantip ทุกคน
เราอยากมาขอแชร์ประสบการณ์ชีวิต เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายๆ ท่าน ที่เป็นผู้หญิงอวบ อ้วน และชอบทานขนม นม เนย ของทอด ของมัน Junk Food ทั้งหลาย ที่สำคัญไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ดูแลร่างกายตัวเอง กินแล้วนอน กินแล้วดูซีรีส์ กินไปนั่งทำงานไป พักผ่อนไม่เป็นเวลา นี่คือเราทั้งนั้นเลย
เราอายุ เพิ่งเข้าหลัก 4 ก่อนหน้านี้ เราเป็นผู้หญิงอวบ และมาอ้วน ประมาณอายุ 35 ปี เราน้ำหนักอยู่ประมาณ 70 กิโล สูง 163 แต่เราไม่อ้วนแบบอ้วนเตี้ยนะ เราจะมีพุง ซึ่งพุงเนี่ย มีตั้งแต่สมัยวัยสะรุ่นแล้ว ให้ผอมยังไง ก็มีพุง (ผอมสุดเคยหนัก 55 กิโล) และเป็นคนออกแบนๆ เลยทำให้ดูไม่อ้วนมาก แต่มีพุงค่ะ ชีวิตประจำวัน เราทำงานเกี่ยวกับท่องเที่ยว (มีบริษัทฯ ทัวร์) ก็จะเดินทางบ่อย และพักผ่อนไม่เป็นเวลา อย่าถามเรื่องออกกำลัง ไม่เคยอยู่ในหัวเท่าไร เป็นคนขี้เกียจออกกำลังเลยแหละ น้องสาวออกกำลังจนผอม ชวนเราออก เราก็ออกไม่ถึง 1 เดือน ไปทำงาน ก็ไม่ออกล่ะ
เรามาเข้าเรื่องล่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณกลางปี 2560 ที่ผ่านมา เรารู้สึกว่า พุงเราแข็งขึ้น แขม่วไม่ค่อยจะอยู่ (โดยปกติคนเราสามารถแขม่วพุงให้แฟบได้ประมาณนึง) ก็เลยลองออกกำลัง ท่าที่ลดพุงทั้งหลายอ่ะ ทำไปๆๆ มันก็ไม่เห็นลด และประมาณเดือนสิงหาคม เรากลับจากออกทัวร์จากประเทศหนึ่ง กลับมาท้องเสีย ทานไม่ได้อยู่ 2 วัน น้ำหนักมันลดไปประมาณ 3 โล และช่วงนั้นงานเยอะ ก็ทานไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำหนักลดไปอีก 2 โล รวมเป็นประมาณ 5 กิโล ผอมลง เห็นจากแขน ขา หน้า ได้ชัดเจน แต่ส่วนสำคัญคือ น้องพุง มันไม่ลดจ้า แถม มันเหมือนใหญ่ชัดขึ้น แต่อาการอื่นก็ไม่มีอะไรนะ
ผ่านมาอีก 2 เดือน เราก็สังเกต ตัวเอง ว่าสรุปมันผิดปกติอะไรนอกจากความใหญ่โตขึ้น ก็มี ประจำเดือนมาแบบกระปริดกระปรอย เกือบ 1 เดือน ใส่ผ้าอนามัยเกือบทั้งเดือน แต่ก็ไม่คิดอะไร พอดี ก่อนหน้า เราไปต่างประเทศ ที่เวลาต่างจากบ้านเรา มันก็คลาดเคลื่อนกันได้ เป็นเรื่องปกติ ก็ยังชะล่าใจ
จนกระทั่ง เดือนพ.ย. - ธ.ค. มีความรู้สึกนั่งเครื่องบินนานๆ มันอึดอัด และท้องมันใหญ่เหมือนคนท้องไปทุกวัน ลูกทัวร์ทักว่าเราท้องหมด และที่สำคัญ มันเหนื่อยง่าย และทานอะไรเข้าไปอิ่ม อืดท้องง่ายขึ้น และมีจุดพีค อยู่คืนก่อนจะวันปีใหม่ อยู่ๆ ก็ปวดท้อง ปวดบิดทางฝั่งขวา จะไส้ติ่งก็ไม่แน่ใจ ลำไส้แปรปรวนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ปวดเป็นๆ หายๆ เป็นชั่วโมง จนเราหลับไป ตื่นมาเช้า มันก็หายไป (ลืมบอก เราทานยาธาตุน้ำขาวช่วยด้วย) เราเลยมั่นใจว่า ต้องเกิดไรขึ้นแน่ๆ กับพุงที่เป็นอยู่
แต่เนื่องด้วย มีงานออกทัวร์ต่อเนื่อง จนปลายม.ค. ตัดสินใจมาหาหมอด้วยพุงโต โดยเฉพาะ เราทำประกันสังคม กับ รพ.ลานนา ที่จังหวัดเชียงใหม่ (บ้านอยู่เชียงใหม่) รพ.นี้ดีมากๆ เค้าเอาเรารีบเข้าหาคุณหมอให้วินิจฉัยโรคเลย แต่เบื้องต้นก็จะเจอคุณหมออายุรกรรม ส่งไปขั้นตอนต่างๆ
หมอถามว่า พี่ไม่ได้ตั้งครรภ์ แน่ใช่มั้ยครับ
เรา : พี่ไม่มีสามีค่ะ ไม่ตั้งครรภ์แน่นอน
หมอ : พี่ไม่อึดอัดหรือครับเนี่ย มันใหญ่มาก เหมือนคนท้องสัก 7-8 เดือน มันเหมือนเป็นน้ำในช่องท้องเลย
เรา : พี่เริ่มอึดอัดมากงัย เลยมาตรวจก่อน
หมอ : งั้นพี่ไปเจาะเลือด อุลตราซาวก่อนนะครับ แล้วมาดูผลกัน (วันนั้น งดข้าวงดน้ำไปพร้อมตรวจ)
เรา : ได้ค่ะ
ในใจตอนนั้น ก็กลัวนะ จะเจอก้อนอะไรกันนะ มันคืออะไรอ่ะ ก็อ่านกระทู้พันทิพเยอะ อ่านจากกูเกิ้ลไปเยอะมาก สารพัดที่เราจะใกล้เคียงเป็น เอาว่ะ เป็นไรเป็นกัน จะได้รู้กันไป
ไปเจาะเลือดรอ และถูกส่งไปห้องอัลตราซาว ต้องปวดฉี่ก่อนนะ เค้าถึงเรียก พอคุณหมอเรียกก็ไปนอนให้เค้าคลำ ด้วยเครื่องมือ หมอตกใจกับท้อง หมอบอกมาดูกันว่าคืออะไร และหมอก็ให้ดูจอ มันเป็นก้อนน้ำสีดำๆ ใหญ่ๆ เท่าลูกแตงโม มันบังหมดเลย ตับ ไต ใส้ พุง มันเลยทำให้เราอืดท้องง่าย และหมอบอกว่า มันเห็นไม่ชัด สงสัยต้องส่งไป CT SCAN เครื่องอุโมงค์ เพื่อฉีดสีเข้าไปให้เห็น (กรี๊ด !!!!!!!!!!!!!)
จากนั้น ก็รอฟังผลอุลตราซาว หมออายุรกรรมพูดเหมือนหมอในห้องซาว เลยต้องนัดเข้าอุโมงค์ อีกครั้ง แต่เนื่องด้วยเรามีงานออกทัวร์อีก 2 กรุ๊ป จึงขอเลื่อนคุณหมอ ไปเข้าอุโมงค์ 19 ก.พ. ระหว่างนี้ ถ้าท้องอืด คุณหมอบอกให้ทานยาธาตุน้ำขาว ไปก่อน
แล้วเราก็กลัวไปออกทัวร์อีก 2 ทริป ซึ่งในระหว่างออกทัวร์ เราก็คุยกับพุงเรานะ เหมือนเค้ามีชีวิต เราบอกว่าขอเราไปทำงานก่อนนะ อย่าเพิ่งมาแตกอะไรช่วงนี้นะ ตอนนั้น เราคิดแล้วล่ะ ว่ามันคือเนื้องอกอะไรสักอย่าง และเคยได้ยินว่าเนื้องอกแตก มันร้ายแรงมาก ก็เลยภาวนาให้งานเสร็จจะรีบมาจัดการตัวเอง
กลับจากออกทัวร์ กลับมาบ้านที่เชียงใหม่ และไปหาหมอ 19 ก.พ. คุณหมอก็ให้ไปเข้าอุโมงค์เลยจ้า ตื่นเต้น อุโมงค์นี้ มันเย็นดีเนอะ ต้องฉีดสารเคมีเข้าไปเพื่อให้อุโมงค์ถ่ายภาพได้ ซึ่ง รพ.นี้ ดีมาก ก่อนทำ ก็วัดความดัน วัดไข้ ระหว่างทำ ก็วัดตลอด คือใส่ใจคนไข้มาก ถามตลอดว่าเรามีอาการข้างเคียงอะไรมั้ย หลังฉีดสี เข้าไปแล้ว เสร็จจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ให้รถเข็นมารอรับ ไม่ให้เดินกลัวคนไข้มีอาการข้างเคียง (ใส่ใจดีแท้)
** อาการตอนฉีดสี สุดยอด มันร้อนตั้งแต่หัวยันเท้า ประมาณ 1-2 นาที **
เสร็จแล้วเราก็รอพบหมออายุรกรรม เพื่อรอฟังผลจ้า ใจพี่นี่ ตื่นเต้นมาก ว่าน้องก้อนที่เจอจะเป็นอะไรหนอ และมันก็มีผลออกมา จากการเข้าอุโมงค์ เป็นการสันนิษฐานเบื้องต้น ว่าเนื้อที่พบ เกิดมาจากรังไข่ อาจจะเป็นมะเร็งรังไข่ ประมาณ 46% คุณหมออายุรกรรมไม่รอช้า ส่งต่อเรา ไปแผนกสูตินรีเวชทันที เพื่อพบคุณหมอเฉพาะทาง และได้เจอคุณหมอ พญ. ที่เก่งในแผนกสูติที่นี่ เพราะระหว่างรอเข้าพบ มีแต่คนไข้เคสเร่งด่วนหาแต่คุณหมอท่านนี้ตลอดเลย (ตรงนั้น มีหมอสูติ 3 ท่าน) เมื่อได้เข้าพบ พญ. แกบอกว่า ไม่ตั้งครรภ์แน่นะ หมอดูแล้วว่า เนื้อที่เจอมันไม่ค่อยสวยเลยอ่ะ มันเกิดจากรังไข่ข้างขวา และมันสร้างน้ำขึ้นมาขนาดใหญ่มาก ทำให้เรามีอาการอืดท้องเวลาทานอะไรเข้าไป เอางัยดี และหมอก็บอกว่า ทนไหวมั้ย อยากจะให้เจออาจารย์หมอ อีกท่าน ที่เป็นอาจารย์ของหมอเอง แต่ท่านเข้าทุกๆ เสาร์-อาทิตย์ เราก็เลยบอกไปว่า รอได้ค่ะ ก็นัดมาพบวันอาทิตย์ 25 ก.พ.
(กลับบ้านมาวันนั้น ก็หดหู่ ใจนึงก็เครียดนะ อีกใจก็ไม่เครียดสิ เป็นอะไรก็เป็นรักษาได้ เราไม่มีอาการอื่นเลยนอกจากอืดท้อง ไม่หรอก เราไม่น่าจะเป็นมะเร็ง คิดบวก คิดบวก)
วันที่ 25 ก.พ. ก็มาถึง มาหาอาจารย์หมอ ซึ่งท่านเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งนรีเวช โดยเฉพาะ อาจารย์หมอพูดจากนิ่มมาก ไม่พูดอะไรให้น่ากลัวเลย แกให้ขึ้นเตียง คลำพุงเรา และบอกว่า โตมากเลยแต่มันโตสวยนะครับ อยู่ในที่ของเค้า (เอ่อ หมอคงเห็นจนเบื้อกับก้อนเนื้อพวกนี้) ดูหมอคันไม้คันมือ อยากจะเอาน้องก้อนออกมาเลยทีเดียว หมอบอกว่า พร้อมผ่ามั้ยครับ เราก็บอกพร้อมค่ะหมอ หมออยากเอาออกมาส่งตรวจผลชิ้นเนื้อดูนะครับ หมอก็นัดเลยจ้า วันที่ 26 ก.พ. มาตรวจร่างกายครั้งใหญ่ก่อนผ่าตัด และให้พยาบาลแจ้งหมออีกทีเพื่อดูคิวคุณหมอนัดมาผ่าตัด
วันที่ 26 ก.พ. เราก็มาตรวจร่างกาย (เรามีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง + ธาลัศซีเมียแบบแฝง + หัวใจโต) ต้องตรวจเช็คละเอียดก่อนผ่าตัดใหญ่ ทุกอย่างเรียบร้อยตอนประมาณบ่ายสาม พยาบาลโทรแจ้งอาจารย์หมอ ว่าจะให้เราผ่าวันไหน สรุป นัดมารอผ่าตัด 27 ก.พ. ช่วงเช้านะคะ (เร็วดีแท้)
วันที่ 27 ก.พ. วันผ่าตัดก็มาถึง อดน้ำอดอาหารมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า ปากแห้งมาก มาถึงโรงพยาบาล ก็ไปเจาะเลือด เอาเข็มคาไว้จนกระทั่งออกจากรพ. เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เป็นชุดรอผ่าตัดให้น้ำเกลือ แต่ห้องพิเศษยังไม่ได้ เราเลยไปนอนเล่นรอ ห้องพักฟื้นรอผ่าตัด ระหว่างนั้น ก็มีคนไข้มารอขูดมดลูก 2 ราย มาคุยเล่นเป็นเพื่อน ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ตื่นเต้นสิเทอ เรานี่น่าจะหนักกว่า ผ่าตัดคลอดเอาลูกออกอีกนะ อ่อ เค้าให้ยาถ่ายด้วยนะ แต่เราอ่ะถ่ายตั้งแต่เช้ามาเรียบร้อย (ปกติเป็นคนถ่ายทุกเช้า) มันก็ไม่ออกสิจ้ะ กินยาไป เนื่องด้วยไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็น 26 ก.พ. หมอนัดผ่าตัด 18.30 น. ประมาณ 16.00 พยาบาลก็พาเราไปกำจัดส่วนเกินที่น้องของเรา (อายพยาบาลที่สุด ณ จุดนี้) หลังจากนั้น ก็เตรียมไปขึ้นเขียงคร้า ประมาณ 17.30 น. เค้าก็พาเราไปส่งที่ห้องผ่าตัด บอกว่าคุณหมอมาแล้ว ตอนนั้น ห้องพิเศษ ได้แล้ว แม่กับน้องสาว เลยไปส่งหน้าห้องผ่าตัดและขึ้นไปรอเราที่ห้องพัก
เมื่อเข้าห้องผ่าตัดไปนะคะ ในนั้น น่าจะมีอยู่ประมาณ 6 ห้องผ่าตัด เหมือนไม่ว่างทุกห้องเลย เราก็ได้ยินเค้าคุยกันว่า เคสเรานัด 18.30 น. ทำไมอาจารย์ให้คนไข้มาเร็วขึ้น ยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องผ่าตัดก่อนหน้าเลย (คิดในใจ เมื่อกี้ผ่าอะไรไปอ่ะคะ กรี๊ดๆๆๆ) ประมาณ 18.15 น. เราก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องผ่าตัดเรียบร้อย หลังจากนั้น หมอดมยา ก็มาถามเราว่าเอาแบบไหนดี แต่หมอดูแล้ว น่าจะผ่านาน ขอดมยาสลบ ดีกว่ามั้ยคะ จะได้ไม่เจ็บ ใจจริงเราอยากได้ทั้งดมยา + บล็อคหลัง แต่เค้าให้เลือกอย่างเดียว ก็เลยได้ดมยาจ้า ก็อ่านมาเยอะ และเป็นเรื่องจริงตามประสบการณ์ของแต่ละคนเลยนะคะ เค้าเอาฝาครอบออกซิเจนมาให้สูดหายใจ นับ 1-5 ปิดสวิทซ์ทันทีจ้า มันไวมาก ตื่นมาอีกทีอยู่ห้องพักฟื้นรอหลังผ่าตัด เค้ามาเรียกให้เราตื่น เห็นนาฬิกาปลายเท้า 21.00 น. ตอนนั้น จับที่พุง มันหายไปหมดเลยจ้า ซี่โคร่งนี่ขึ้นมาเลย ท้องมันโหวงเหวงมาก ณ ตอนนั้น มันตึงๆ ตรงแผลผ่าตัดนะ แต่ไม่เจ็บ หรือมันปวดเกินความเจ็บก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าเมื่อยหลังมากต่อจากที่ฟื้นมาเนี่ย หลังจากนั้น เราก็พักฟื้นอยู่ที่ รพ. 7 วันจ้า ส่วนผลชิ้นเนื้อส่งไปตรวจ หมอนัดให้เรามาฟังผลอีกที 11 มีนาคม ระหว่างที่หมอมาเยี่ยมตอนพักฟื้น หมอบอกว่า จากที่หมอดูมันก้ำกึ่ง ก็ลุ้นผลกันต่อไป
อ่อ เราจะเอาภาพชิ้นเนื้อให้ดูนะ อย่าตกใจกันนะ
สรุปในท้องเรา มีเนื้องอกรังไข่ข้างขวาชนิดสร้างน้ำเมือกอยู่ ขนาดรวมน้ำเมือกประมาณ 30 CM หมอดูดน้ำเมือกออกได้ 7800 CC เทียบแล้วประมาณ 7 ลิตร (7 กิโลกรัม) และมีเนื้องอกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มดลูกประมาณ 6-7 ชิ้น ก็เลยตัดออกหมดค่ะ เพราะไม่ได้ใช้ คุณหมอยังเหลือรังไข่ข้างซ้ายไว้ให้ผลิต Hormones เนื่องจากยังเหลืออีกหลายปีอายุจะเกษียณ ดีกว่าให้กิน Hormones
วันที่ 11 มีนาคม ผลชิ้นเนื้อออกมา สรุป เราไม่ได้เป็นมะเร็งจ้า แต่ถ้ามาช้ากว่านี้ไม่แน่นะ อาจจะเป็น หมอบอกว่าผลเราอยู่ตรงกลาง ระหว่างเนื้อดี และเนื้อร้าย โล่งอกอย่างแรง
เลยมาเขียนให้เพื่อนๆ ทุกคนใส่ใจร่างกายและสุขภาพกันนะจ้ะ เรานิสัยไม่ดี แต่ต่อไปนี้ก็จะรักร่างกายให้มากขึ้น (พยายามทำตัวให้เป็นคนป่วยอยู่)
แผลผ่าตัดเรายาว 12 นิ้ว เลยจ้า (ใหญ่มาก) แต่ขอบคุณอาจารย์หมอ ท่านเก่งมาก ท่านเปิดหน้าท้องแบบบิกินนี ให้นะจ้ะ ยังคิดอยู่ว่าท่านจะผ่าแนวขวาง เราคงจะทรมานแผลมากกว่านี้ ช่วงนี้เราก็พักฟื้นไปจ้า ก็ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ เอารูปก่อนและหลังมาให้ดูด้วยจ้า
ก่อนผ่าตัด
หลังผ่าตัด
** สังเกตที่พุงมันหายไปเลยจ้า **
คนอวบบางท่าน ถ้าพุงคุณแข็ง คุณควรจะไปหาหมอให้ตรวจเลยนะคะ อย่าทิ้งไว้ !!! มันอาจจะไม่ใช่ไขมันนะจ้ะ
เราอยากมาขอแชร์ประสบการณ์ชีวิต เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายๆ ท่าน ที่เป็นผู้หญิงอวบ อ้วน และชอบทานขนม นม เนย ของทอด ของมัน Junk Food ทั้งหลาย ที่สำคัญไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ดูแลร่างกายตัวเอง กินแล้วนอน กินแล้วดูซีรีส์ กินไปนั่งทำงานไป พักผ่อนไม่เป็นเวลา นี่คือเราทั้งนั้นเลย
เราอายุ เพิ่งเข้าหลัก 4 ก่อนหน้านี้ เราเป็นผู้หญิงอวบ และมาอ้วน ประมาณอายุ 35 ปี เราน้ำหนักอยู่ประมาณ 70 กิโล สูง 163 แต่เราไม่อ้วนแบบอ้วนเตี้ยนะ เราจะมีพุง ซึ่งพุงเนี่ย มีตั้งแต่สมัยวัยสะรุ่นแล้ว ให้ผอมยังไง ก็มีพุง (ผอมสุดเคยหนัก 55 กิโล) และเป็นคนออกแบนๆ เลยทำให้ดูไม่อ้วนมาก แต่มีพุงค่ะ ชีวิตประจำวัน เราทำงานเกี่ยวกับท่องเที่ยว (มีบริษัทฯ ทัวร์) ก็จะเดินทางบ่อย และพักผ่อนไม่เป็นเวลา อย่าถามเรื่องออกกำลัง ไม่เคยอยู่ในหัวเท่าไร เป็นคนขี้เกียจออกกำลังเลยแหละ น้องสาวออกกำลังจนผอม ชวนเราออก เราก็ออกไม่ถึง 1 เดือน ไปทำงาน ก็ไม่ออกล่ะ
เรามาเข้าเรื่องล่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ประมาณกลางปี 2560 ที่ผ่านมา เรารู้สึกว่า พุงเราแข็งขึ้น แขม่วไม่ค่อยจะอยู่ (โดยปกติคนเราสามารถแขม่วพุงให้แฟบได้ประมาณนึง) ก็เลยลองออกกำลัง ท่าที่ลดพุงทั้งหลายอ่ะ ทำไปๆๆ มันก็ไม่เห็นลด และประมาณเดือนสิงหาคม เรากลับจากออกทัวร์จากประเทศหนึ่ง กลับมาท้องเสีย ทานไม่ได้อยู่ 2 วัน น้ำหนักมันลดไปประมาณ 3 โล และช่วงนั้นงานเยอะ ก็ทานไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำหนักลดไปอีก 2 โล รวมเป็นประมาณ 5 กิโล ผอมลง เห็นจากแขน ขา หน้า ได้ชัดเจน แต่ส่วนสำคัญคือ น้องพุง มันไม่ลดจ้า แถม มันเหมือนใหญ่ชัดขึ้น แต่อาการอื่นก็ไม่มีอะไรนะ
ผ่านมาอีก 2 เดือน เราก็สังเกต ตัวเอง ว่าสรุปมันผิดปกติอะไรนอกจากความใหญ่โตขึ้น ก็มี ประจำเดือนมาแบบกระปริดกระปรอย เกือบ 1 เดือน ใส่ผ้าอนามัยเกือบทั้งเดือน แต่ก็ไม่คิดอะไร พอดี ก่อนหน้า เราไปต่างประเทศ ที่เวลาต่างจากบ้านเรา มันก็คลาดเคลื่อนกันได้ เป็นเรื่องปกติ ก็ยังชะล่าใจ
จนกระทั่ง เดือนพ.ย. - ธ.ค. มีความรู้สึกนั่งเครื่องบินนานๆ มันอึดอัด และท้องมันใหญ่เหมือนคนท้องไปทุกวัน ลูกทัวร์ทักว่าเราท้องหมด และที่สำคัญ มันเหนื่อยง่าย และทานอะไรเข้าไปอิ่ม อืดท้องง่ายขึ้น และมีจุดพีค อยู่คืนก่อนจะวันปีใหม่ อยู่ๆ ก็ปวดท้อง ปวดบิดทางฝั่งขวา จะไส้ติ่งก็ไม่แน่ใจ ลำไส้แปรปรวนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ปวดเป็นๆ หายๆ เป็นชั่วโมง จนเราหลับไป ตื่นมาเช้า มันก็หายไป (ลืมบอก เราทานยาธาตุน้ำขาวช่วยด้วย) เราเลยมั่นใจว่า ต้องเกิดไรขึ้นแน่ๆ กับพุงที่เป็นอยู่
แต่เนื่องด้วย มีงานออกทัวร์ต่อเนื่อง จนปลายม.ค. ตัดสินใจมาหาหมอด้วยพุงโต โดยเฉพาะ เราทำประกันสังคม กับ รพ.ลานนา ที่จังหวัดเชียงใหม่ (บ้านอยู่เชียงใหม่) รพ.นี้ดีมากๆ เค้าเอาเรารีบเข้าหาคุณหมอให้วินิจฉัยโรคเลย แต่เบื้องต้นก็จะเจอคุณหมออายุรกรรม ส่งไปขั้นตอนต่างๆ
หมอถามว่า พี่ไม่ได้ตั้งครรภ์ แน่ใช่มั้ยครับ
เรา : พี่ไม่มีสามีค่ะ ไม่ตั้งครรภ์แน่นอน
หมอ : พี่ไม่อึดอัดหรือครับเนี่ย มันใหญ่มาก เหมือนคนท้องสัก 7-8 เดือน มันเหมือนเป็นน้ำในช่องท้องเลย
เรา : พี่เริ่มอึดอัดมากงัย เลยมาตรวจก่อน
หมอ : งั้นพี่ไปเจาะเลือด อุลตราซาวก่อนนะครับ แล้วมาดูผลกัน (วันนั้น งดข้าวงดน้ำไปพร้อมตรวจ)
เรา : ได้ค่ะ
ในใจตอนนั้น ก็กลัวนะ จะเจอก้อนอะไรกันนะ มันคืออะไรอ่ะ ก็อ่านกระทู้พันทิพเยอะ อ่านจากกูเกิ้ลไปเยอะมาก สารพัดที่เราจะใกล้เคียงเป็น เอาว่ะ เป็นไรเป็นกัน จะได้รู้กันไป
ไปเจาะเลือดรอ และถูกส่งไปห้องอัลตราซาว ต้องปวดฉี่ก่อนนะ เค้าถึงเรียก พอคุณหมอเรียกก็ไปนอนให้เค้าคลำ ด้วยเครื่องมือ หมอตกใจกับท้อง หมอบอกมาดูกันว่าคืออะไร และหมอก็ให้ดูจอ มันเป็นก้อนน้ำสีดำๆ ใหญ่ๆ เท่าลูกแตงโม มันบังหมดเลย ตับ ไต ใส้ พุง มันเลยทำให้เราอืดท้องง่าย และหมอบอกว่า มันเห็นไม่ชัด สงสัยต้องส่งไป CT SCAN เครื่องอุโมงค์ เพื่อฉีดสีเข้าไปให้เห็น (กรี๊ด !!!!!!!!!!!!!)
จากนั้น ก็รอฟังผลอุลตราซาว หมออายุรกรรมพูดเหมือนหมอในห้องซาว เลยต้องนัดเข้าอุโมงค์ อีกครั้ง แต่เนื่องด้วยเรามีงานออกทัวร์อีก 2 กรุ๊ป จึงขอเลื่อนคุณหมอ ไปเข้าอุโมงค์ 19 ก.พ. ระหว่างนี้ ถ้าท้องอืด คุณหมอบอกให้ทานยาธาตุน้ำขาว ไปก่อน
แล้วเราก็กลัวไปออกทัวร์อีก 2 ทริป ซึ่งในระหว่างออกทัวร์ เราก็คุยกับพุงเรานะ เหมือนเค้ามีชีวิต เราบอกว่าขอเราไปทำงานก่อนนะ อย่าเพิ่งมาแตกอะไรช่วงนี้นะ ตอนนั้น เราคิดแล้วล่ะ ว่ามันคือเนื้องอกอะไรสักอย่าง และเคยได้ยินว่าเนื้องอกแตก มันร้ายแรงมาก ก็เลยภาวนาให้งานเสร็จจะรีบมาจัดการตัวเอง
กลับจากออกทัวร์ กลับมาบ้านที่เชียงใหม่ และไปหาหมอ 19 ก.พ. คุณหมอก็ให้ไปเข้าอุโมงค์เลยจ้า ตื่นเต้น อุโมงค์นี้ มันเย็นดีเนอะ ต้องฉีดสารเคมีเข้าไปเพื่อให้อุโมงค์ถ่ายภาพได้ ซึ่ง รพ.นี้ ดีมาก ก่อนทำ ก็วัดความดัน วัดไข้ ระหว่างทำ ก็วัดตลอด คือใส่ใจคนไข้มาก ถามตลอดว่าเรามีอาการข้างเคียงอะไรมั้ย หลังฉีดสี เข้าไปแล้ว เสร็จจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ให้รถเข็นมารอรับ ไม่ให้เดินกลัวคนไข้มีอาการข้างเคียง (ใส่ใจดีแท้)
** อาการตอนฉีดสี สุดยอด มันร้อนตั้งแต่หัวยันเท้า ประมาณ 1-2 นาที **
เสร็จแล้วเราก็รอพบหมออายุรกรรม เพื่อรอฟังผลจ้า ใจพี่นี่ ตื่นเต้นมาก ว่าน้องก้อนที่เจอจะเป็นอะไรหนอ และมันก็มีผลออกมา จากการเข้าอุโมงค์ เป็นการสันนิษฐานเบื้องต้น ว่าเนื้อที่พบ เกิดมาจากรังไข่ อาจจะเป็นมะเร็งรังไข่ ประมาณ 46% คุณหมออายุรกรรมไม่รอช้า ส่งต่อเรา ไปแผนกสูตินรีเวชทันที เพื่อพบคุณหมอเฉพาะทาง และได้เจอคุณหมอ พญ. ที่เก่งในแผนกสูติที่นี่ เพราะระหว่างรอเข้าพบ มีแต่คนไข้เคสเร่งด่วนหาแต่คุณหมอท่านนี้ตลอดเลย (ตรงนั้น มีหมอสูติ 3 ท่าน) เมื่อได้เข้าพบ พญ. แกบอกว่า ไม่ตั้งครรภ์แน่นะ หมอดูแล้วว่า เนื้อที่เจอมันไม่ค่อยสวยเลยอ่ะ มันเกิดจากรังไข่ข้างขวา และมันสร้างน้ำขึ้นมาขนาดใหญ่มาก ทำให้เรามีอาการอืดท้องเวลาทานอะไรเข้าไป เอางัยดี และหมอก็บอกว่า ทนไหวมั้ย อยากจะให้เจออาจารย์หมอ อีกท่าน ที่เป็นอาจารย์ของหมอเอง แต่ท่านเข้าทุกๆ เสาร์-อาทิตย์ เราก็เลยบอกไปว่า รอได้ค่ะ ก็นัดมาพบวันอาทิตย์ 25 ก.พ.
(กลับบ้านมาวันนั้น ก็หดหู่ ใจนึงก็เครียดนะ อีกใจก็ไม่เครียดสิ เป็นอะไรก็เป็นรักษาได้ เราไม่มีอาการอื่นเลยนอกจากอืดท้อง ไม่หรอก เราไม่น่าจะเป็นมะเร็ง คิดบวก คิดบวก)
วันที่ 25 ก.พ. ก็มาถึง มาหาอาจารย์หมอ ซึ่งท่านเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งนรีเวช โดยเฉพาะ อาจารย์หมอพูดจากนิ่มมาก ไม่พูดอะไรให้น่ากลัวเลย แกให้ขึ้นเตียง คลำพุงเรา และบอกว่า โตมากเลยแต่มันโตสวยนะครับ อยู่ในที่ของเค้า (เอ่อ หมอคงเห็นจนเบื้อกับก้อนเนื้อพวกนี้) ดูหมอคันไม้คันมือ อยากจะเอาน้องก้อนออกมาเลยทีเดียว หมอบอกว่า พร้อมผ่ามั้ยครับ เราก็บอกพร้อมค่ะหมอ หมออยากเอาออกมาส่งตรวจผลชิ้นเนื้อดูนะครับ หมอก็นัดเลยจ้า วันที่ 26 ก.พ. มาตรวจร่างกายครั้งใหญ่ก่อนผ่าตัด และให้พยาบาลแจ้งหมออีกทีเพื่อดูคิวคุณหมอนัดมาผ่าตัด
วันที่ 26 ก.พ. เราก็มาตรวจร่างกาย (เรามีโรคประจำตัว ความดันโลหิตสูง + ธาลัศซีเมียแบบแฝง + หัวใจโต) ต้องตรวจเช็คละเอียดก่อนผ่าตัดใหญ่ ทุกอย่างเรียบร้อยตอนประมาณบ่ายสาม พยาบาลโทรแจ้งอาจารย์หมอ ว่าจะให้เราผ่าวันไหน สรุป นัดมารอผ่าตัด 27 ก.พ. ช่วงเช้านะคะ (เร็วดีแท้)
วันที่ 27 ก.พ. วันผ่าตัดก็มาถึง อดน้ำอดอาหารมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า ปากแห้งมาก มาถึงโรงพยาบาล ก็ไปเจาะเลือด เอาเข็มคาไว้จนกระทั่งออกจากรพ. เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่เป็นชุดรอผ่าตัดให้น้ำเกลือ แต่ห้องพิเศษยังไม่ได้ เราเลยไปนอนเล่นรอ ห้องพักฟื้นรอผ่าตัด ระหว่างนั้น ก็มีคนไข้มารอขูดมดลูก 2 ราย มาคุยเล่นเป็นเพื่อน ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ตื่นเต้นสิเทอ เรานี่น่าจะหนักกว่า ผ่าตัดคลอดเอาลูกออกอีกนะ อ่อ เค้าให้ยาถ่ายด้วยนะ แต่เราอ่ะถ่ายตั้งแต่เช้ามาเรียบร้อย (ปกติเป็นคนถ่ายทุกเช้า) มันก็ไม่ออกสิจ้ะ กินยาไป เนื่องด้วยไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็น 26 ก.พ. หมอนัดผ่าตัด 18.30 น. ประมาณ 16.00 พยาบาลก็พาเราไปกำจัดส่วนเกินที่น้องของเรา (อายพยาบาลที่สุด ณ จุดนี้) หลังจากนั้น ก็เตรียมไปขึ้นเขียงคร้า ประมาณ 17.30 น. เค้าก็พาเราไปส่งที่ห้องผ่าตัด บอกว่าคุณหมอมาแล้ว ตอนนั้น ห้องพิเศษ ได้แล้ว แม่กับน้องสาว เลยไปส่งหน้าห้องผ่าตัดและขึ้นไปรอเราที่ห้องพัก
เมื่อเข้าห้องผ่าตัดไปนะคะ ในนั้น น่าจะมีอยู่ประมาณ 6 ห้องผ่าตัด เหมือนไม่ว่างทุกห้องเลย เราก็ได้ยินเค้าคุยกันว่า เคสเรานัด 18.30 น. ทำไมอาจารย์ให้คนไข้มาเร็วขึ้น ยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องผ่าตัดก่อนหน้าเลย (คิดในใจ เมื่อกี้ผ่าอะไรไปอ่ะคะ กรี๊ดๆๆๆ) ประมาณ 18.15 น. เราก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องผ่าตัดเรียบร้อย หลังจากนั้น หมอดมยา ก็มาถามเราว่าเอาแบบไหนดี แต่หมอดูแล้ว น่าจะผ่านาน ขอดมยาสลบ ดีกว่ามั้ยคะ จะได้ไม่เจ็บ ใจจริงเราอยากได้ทั้งดมยา + บล็อคหลัง แต่เค้าให้เลือกอย่างเดียว ก็เลยได้ดมยาจ้า ก็อ่านมาเยอะ และเป็นเรื่องจริงตามประสบการณ์ของแต่ละคนเลยนะคะ เค้าเอาฝาครอบออกซิเจนมาให้สูดหายใจ นับ 1-5 ปิดสวิทซ์ทันทีจ้า มันไวมาก ตื่นมาอีกทีอยู่ห้องพักฟื้นรอหลังผ่าตัด เค้ามาเรียกให้เราตื่น เห็นนาฬิกาปลายเท้า 21.00 น. ตอนนั้น จับที่พุง มันหายไปหมดเลยจ้า ซี่โคร่งนี่ขึ้นมาเลย ท้องมันโหวงเหวงมาก ณ ตอนนั้น มันตึงๆ ตรงแผลผ่าตัดนะ แต่ไม่เจ็บ หรือมันปวดเกินความเจ็บก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าเมื่อยหลังมากต่อจากที่ฟื้นมาเนี่ย หลังจากนั้น เราก็พักฟื้นอยู่ที่ รพ. 7 วันจ้า ส่วนผลชิ้นเนื้อส่งไปตรวจ หมอนัดให้เรามาฟังผลอีกที 11 มีนาคม ระหว่างที่หมอมาเยี่ยมตอนพักฟื้น หมอบอกว่า จากที่หมอดูมันก้ำกึ่ง ก็ลุ้นผลกันต่อไป
อ่อ เราจะเอาภาพชิ้นเนื้อให้ดูนะ อย่าตกใจกันนะ
สรุปในท้องเรา มีเนื้องอกรังไข่ข้างขวาชนิดสร้างน้ำเมือกอยู่ ขนาดรวมน้ำเมือกประมาณ 30 CM หมอดูดน้ำเมือกออกได้ 7800 CC เทียบแล้วประมาณ 7 ลิตร (7 กิโลกรัม) และมีเนื้องอกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มดลูกประมาณ 6-7 ชิ้น ก็เลยตัดออกหมดค่ะ เพราะไม่ได้ใช้ คุณหมอยังเหลือรังไข่ข้างซ้ายไว้ให้ผลิต Hormones เนื่องจากยังเหลืออีกหลายปีอายุจะเกษียณ ดีกว่าให้กิน Hormones
วันที่ 11 มีนาคม ผลชิ้นเนื้อออกมา สรุป เราไม่ได้เป็นมะเร็งจ้า แต่ถ้ามาช้ากว่านี้ไม่แน่นะ อาจจะเป็น หมอบอกว่าผลเราอยู่ตรงกลาง ระหว่างเนื้อดี และเนื้อร้าย โล่งอกอย่างแรง
เลยมาเขียนให้เพื่อนๆ ทุกคนใส่ใจร่างกายและสุขภาพกันนะจ้ะ เรานิสัยไม่ดี แต่ต่อไปนี้ก็จะรักร่างกายให้มากขึ้น (พยายามทำตัวให้เป็นคนป่วยอยู่)
แผลผ่าตัดเรายาว 12 นิ้ว เลยจ้า (ใหญ่มาก) แต่ขอบคุณอาจารย์หมอ ท่านเก่งมาก ท่านเปิดหน้าท้องแบบบิกินนี ให้นะจ้ะ ยังคิดอยู่ว่าท่านจะผ่าแนวขวาง เราคงจะทรมานแผลมากกว่านี้ ช่วงนี้เราก็พักฟื้นไปจ้า ก็ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ เอารูปก่อนและหลังมาให้ดูด้วยจ้า
ก่อนผ่าตัด
หลังผ่าตัด
** สังเกตที่พุงมันหายไปเลยจ้า **