โลกปัจจุบันที่เราสื่อสารกันผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก เราได้รู้จักกับคำว่า Cyberbullying ซึ่งเป็นการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือหรือช่องทางในการก่อภัยคุกคาม ล่อลวง และกลั่นแกล้งกัน
ในยุคแรก ๆ คำนี้จะรู้จักคุ้นเคยกันมากในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันขยายวงกว้างไปยังกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม เช่น คนมีชื่อเสียง นักร้อง นักแสดง นักการเมือง นักธุรกิจ องค์กร และสถาบันต่าง ๆ
คนไทยเริ่มรู้จักและซึมซับกับคำว่า Cyberbullying มากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีการดำเนินชีวิตในยุคนี้ของผู้คนในสังคมออนไลน์ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งคนไทยมีนิสัยชอบดราม่า เมื่อมีข่าวประเภทนี้เกิดขึ้น ก็จะเข้าไปกดไลค์ กดแชร์ กันอย่างถล่มทลาย หรือให้คอมเมนท์กันแบบจัดเต็ม โดยไม่สืบที่มาของข้อมูลหรือข้อเท็จจริง และไม่สนว่าจะมีผลกระทบต่อใคร อย่างไรบ้าง
ผลก็คือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อโดนกระทำหรือกลั่นแกล้งนั้น มักจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเครียด สภาพจิตใจย่ำแย่ บางคนถึงขนาดตัดสินใจจบชีวิตตนเองก็มีมาก หรือถ้าเป็นพวกองค์กรหรือสถาบันที่โดนประณามหยามเหยียด ก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์หรือความน่าเชื่อถือขององค์กรทีต้องใช้เวลาสั่งสมกันหลายปี จนทำให้เกิดการฟ้องร้องกันมากมายหลายกรณี
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อปี 2559 พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 70 เคยถูกรังแกผ่านโลกไซเบอร์ด้วยรูปแบบ ต่าง ๆ ได้แก่ การถูกนินทา ด่าทอ ล้อเลียนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยปัญหา Cyberbullying เป็นปัญหาที่ใหญ่มากและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับวิธีการรับมือหากตกเป็นเหยื่อ ก็ควรใช้ความนิ่งและสงบให้มากที่สุด เพื่อหาวิธีแก้ไขวิกฤติหรือปัญหานั้น ๆ ด้วยการใช้ความรู้และเหตุผล เนื่องจากเวลาที่เหยื่อได้รับรู้ข้อมูลในทางลบหรือเท็จ สมองส่วนอารมณ์จะทำงานทันที จึงไม่เป็นการดีที่จะใช้อารมณ์ในการโต้ตอบ
การทำร้ายหรือทำลายใคร โดยสักแต่ว่าใช้ปลายนิ้วสัมผัสคีย์บอร์ดฆ่าคน ให้คิดกลับกันว่า หากเราเป็นบุคคลนั้น เราจะต้องรับตราบาปนั้นติดตัวไปตลอดชีวิต เราจะมีความสุขหรือ
สังคมปัจจุบันที่ผลักดันให้เราต้องคลุกคลีอยู่ในโลกโซเชียล เราก็ควรจะอยู่อย่างเท่าทัน มีสติตื่นรู้ เคารพในสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหตุหรือร่วมขบวนการทำร้ายใครด้วยปลายนิ้วเราเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เหยื่อ CYBERBULLYING เพิ่มขึ้น นักวิชาการแนะรับมืออย่างรู้เท่าทัน HTTP://WWW.CH3THAILAND.COM/NEWS/SEMINAR/9908
Cyberbullying ปลายนิ้วที่ฆ่าคนบนสังคมออนไลน์
ในยุคแรก ๆ คำนี้จะรู้จักคุ้นเคยกันมากในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันขยายวงกว้างไปยังกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม เช่น คนมีชื่อเสียง นักร้อง นักแสดง นักการเมือง นักธุรกิจ องค์กร และสถาบันต่าง ๆ
คนไทยเริ่มรู้จักและซึมซับกับคำว่า Cyberbullying มากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีการดำเนินชีวิตในยุคนี้ของผู้คนในสังคมออนไลน์ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งคนไทยมีนิสัยชอบดราม่า เมื่อมีข่าวประเภทนี้เกิดขึ้น ก็จะเข้าไปกดไลค์ กดแชร์ กันอย่างถล่มทลาย หรือให้คอมเมนท์กันแบบจัดเต็ม โดยไม่สืบที่มาของข้อมูลหรือข้อเท็จจริง และไม่สนว่าจะมีผลกระทบต่อใคร อย่างไรบ้าง
ผลก็คือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อโดนกระทำหรือกลั่นแกล้งนั้น มักจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเครียด สภาพจิตใจย่ำแย่ บางคนถึงขนาดตัดสินใจจบชีวิตตนเองก็มีมาก หรือถ้าเป็นพวกองค์กรหรือสถาบันที่โดนประณามหยามเหยียด ก็จะกระทบต่อภาพลักษณ์หรือความน่าเชื่อถือขององค์กรทีต้องใช้เวลาสั่งสมกันหลายปี จนทำให้เกิดการฟ้องร้องกันมากมายหลายกรณี
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อปี 2559 พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 70 เคยถูกรังแกผ่านโลกไซเบอร์ด้วยรูปแบบ ต่าง ๆ ได้แก่ การถูกนินทา ด่าทอ ล้อเลียนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยปัญหา Cyberbullying เป็นปัญหาที่ใหญ่มากและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับวิธีการรับมือหากตกเป็นเหยื่อ ก็ควรใช้ความนิ่งและสงบให้มากที่สุด เพื่อหาวิธีแก้ไขวิกฤติหรือปัญหานั้น ๆ ด้วยการใช้ความรู้และเหตุผล เนื่องจากเวลาที่เหยื่อได้รับรู้ข้อมูลในทางลบหรือเท็จ สมองส่วนอารมณ์จะทำงานทันที จึงไม่เป็นการดีที่จะใช้อารมณ์ในการโต้ตอบ
การทำร้ายหรือทำลายใคร โดยสักแต่ว่าใช้ปลายนิ้วสัมผัสคีย์บอร์ดฆ่าคน ให้คิดกลับกันว่า หากเราเป็นบุคคลนั้น เราจะต้องรับตราบาปนั้นติดตัวไปตลอดชีวิต เราจะมีความสุขหรือ
สังคมปัจจุบันที่ผลักดันให้เราต้องคลุกคลีอยู่ในโลกโซเชียล เราก็ควรจะอยู่อย่างเท่าทัน มีสติตื่นรู้ เคารพในสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหตุหรือร่วมขบวนการทำร้ายใครด้วยปลายนิ้วเราเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้