สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ยังไม่เคยเห็นผู้ชายเค้าอยู่ไฟหลังคลอดลูกกันนะครับ
อ่ะตอบจริงละ ขอก๊อปที่เคยออกความเห็นไว้มาลงใหม่อีกทีแล้วกัน
" ถ้าไม่พูดในแง่ค่านิยมการอยู่ไฟแบบสมัยใหม่ที่ทำไปเพื่อสบายตัว
ประมาณว่าเหมือนได้เข้าห้องอบซาวน่า หอมกลิ่นสมุนไพรอโรมาเทอราพี
ผ่อนคลาย มีความสุขชั่ววูบชั่ววาบ อะไรอย่างนั้น
แล้วมาย้อนกลับไป เพื่อทำความเข้าใจสภาพชีวิตในสมัยก่อนให้ดี
จะเห็นว่า การอยู่ไฟ เป็นภูมิปัญญาที่เกิดมาตั้งแต่สมัยที่คนเรายังไม่รู้จัก
ว่า เชื้อโรคคืออะไร ยาปฏิชีวนะคือสิ่งใด
การทำความสะอาดจนถึงระดับภาวะปลอดเชื้อต้องทำอย่างไร
วิชาสูตินรีเวช และการผดุงครรภ์สมัยใหม่ ปฏิบัติกันแบบไหน
ภาวะโภชนาการที่ดี และสุขอนามัยที่เหมาะสมต่อมารดาหลังคลอดและบุตร มีอะไรบ้าง
ก็สมัยก่อน ไม่ได้มีใครรู้เรื่องอะไรพวกนี้เลยสักอย่าง
การคลอดลูกแต่ละครั้ง มันจึงเป็นความเสี่ยงตายกันอย่างที่สุด สำหรับทั้งแม่และลูก
มีคุณแม่จำนวนมากต้องตายลงระหว่างการคลอดลูก
และยังมีอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ต้องตายลงด้วยภาวะแทรกซ้อน และการติดเชื้อหลังคลอด
คนสมัยก่อนก็รู้ ว่าคนคลอดลูกแล้วตายกันเยอะมาก
จึงพยายามที่จะคิดค้นหาวิธีช่วย ว่าทำอย่างไรจะให้ผู้หญิงท้องคลอดลูกออกมาแล้วไม่ต้องตายทั้งแม่และลูก
ทดลองกันไปต่างๆ มากมาย เท่าที่จะจินตนาการออก และคาดว่าน่าจะได้ผลดี
ซึ่ง การอยู่ไฟ ก็คือรูปแบบหนึ่งของความพยายามเพื่อจะหาทางช่วยชีวิตเหล่านั้น
คือ พอเห็นคนคลอดลูก แล้วมันมีเลือด มีน้ำอะไรบ้างไม่รู้ เฉอะๆแฉะๆ
ก็เลยคิดเอาความร้อนจากไฟมาไล่น้ำซะเลย
จึงจับ /บังคับ ทั้งแม่และลูก ให้มาถูกปิ้ง/อบ อยู่ในที่จำกัดแล้วสุมรมด้วยความร้อนจากเตาไฟ
( มีของแถมเป็นฝุ่นควันขนาดเล็ก ให้สูดรับเอาไปตกค้างอยู่ในปอด ทั้งในปอดทารกแรกเกิดและในปอดผู้ใหญ่ )
นัยว่าทำอย่างนี้แล้ว ตรงไหนที่เห็นเป็นน้ำๆ มันจะได้ระเหย
หายจากความเฉอะๆแฉะๆ แห้งไวทันใจ
แถมบางที่ยังมีแนวคิด อบไฟด้วย +อดอาหารด้วย
ห้ามกินโน่นนี่นั่น บังคับให้ผู้เป็นมารดาที่ควรต้องได้รับสารอาหารต่างๆอย่างเพียงพอต่อการสร้างเป็นน้ำนมช่วงแรกคลอดซึ่งสำคัญและมีคุณค่าสูงสุดสำหรับบุตร ให้กลับคงเหลือแต่ของกินอะไรก็ไม่รู้เพียงไม่กี่อย่าง (แต่ละที่ห้าม/และบังคับไม่เหมือนกัน /แล้วแต่ความเชื่อในพื้นที่นั้นๆ)
มันก็เลยได้มีตายกันไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ทั้งแม่และลูก
เพราะความทุกข์ทรมาน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความไม่ถูกสุขลักษณะ กับสภาพทุพโภชนาการของการอยู่ไฟ
แต่เรื่องพวกนี้ ก็ไม่มีปรากฏให้เป็นข่าวบันทึกจารึกไว้
ส่วนคนที่เหลือรอดมาได้ ก็เดชะบุญ
กลายเป็นสักขีพยาน ออกมาบอกได้เต็มปาก ว่าการอยู่ไฟเป็นเรื่องดีมาก
อยู่แล้วดี แข็งแรง ทั้งแม่(และลูก)
เป็นสิ่งควรส่งเสริมให้สตรีหลังคลอด อยู่ไฟอย่างนี้กันต่อไปอีกนาน ๆ ๆ ๆ ๆ
...นาน จนยังไม่เห็นวี่แววเลยว่าคนในสังคมนี้จะช่วยพากันข้ามพ้นความเชื่อฝังหัวแบบนี้ไปได้เมื่อไร "
อ่ะตอบจริงละ ขอก๊อปที่เคยออกความเห็นไว้มาลงใหม่อีกทีแล้วกัน
" ถ้าไม่พูดในแง่ค่านิยมการอยู่ไฟแบบสมัยใหม่ที่ทำไปเพื่อสบายตัว
ประมาณว่าเหมือนได้เข้าห้องอบซาวน่า หอมกลิ่นสมุนไพรอโรมาเทอราพี
ผ่อนคลาย มีความสุขชั่ววูบชั่ววาบ อะไรอย่างนั้น
แล้วมาย้อนกลับไป เพื่อทำความเข้าใจสภาพชีวิตในสมัยก่อนให้ดี
จะเห็นว่า การอยู่ไฟ เป็นภูมิปัญญาที่เกิดมาตั้งแต่สมัยที่คนเรายังไม่รู้จัก
ว่า เชื้อโรคคืออะไร ยาปฏิชีวนะคือสิ่งใด
การทำความสะอาดจนถึงระดับภาวะปลอดเชื้อต้องทำอย่างไร
วิชาสูตินรีเวช และการผดุงครรภ์สมัยใหม่ ปฏิบัติกันแบบไหน
ภาวะโภชนาการที่ดี และสุขอนามัยที่เหมาะสมต่อมารดาหลังคลอดและบุตร มีอะไรบ้าง
ก็สมัยก่อน ไม่ได้มีใครรู้เรื่องอะไรพวกนี้เลยสักอย่าง
การคลอดลูกแต่ละครั้ง มันจึงเป็นความเสี่ยงตายกันอย่างที่สุด สำหรับทั้งแม่และลูก
มีคุณแม่จำนวนมากต้องตายลงระหว่างการคลอดลูก
และยังมีอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ต้องตายลงด้วยภาวะแทรกซ้อน และการติดเชื้อหลังคลอด
คนสมัยก่อนก็รู้ ว่าคนคลอดลูกแล้วตายกันเยอะมาก
จึงพยายามที่จะคิดค้นหาวิธีช่วย ว่าทำอย่างไรจะให้ผู้หญิงท้องคลอดลูกออกมาแล้วไม่ต้องตายทั้งแม่และลูก
ทดลองกันไปต่างๆ มากมาย เท่าที่จะจินตนาการออก และคาดว่าน่าจะได้ผลดี
ซึ่ง การอยู่ไฟ ก็คือรูปแบบหนึ่งของความพยายามเพื่อจะหาทางช่วยชีวิตเหล่านั้น
คือ พอเห็นคนคลอดลูก แล้วมันมีเลือด มีน้ำอะไรบ้างไม่รู้ เฉอะๆแฉะๆ
ก็เลยคิดเอาความร้อนจากไฟมาไล่น้ำซะเลย
จึงจับ /บังคับ ทั้งแม่และลูก ให้มาถูกปิ้ง/อบ อยู่ในที่จำกัดแล้วสุมรมด้วยความร้อนจากเตาไฟ
( มีของแถมเป็นฝุ่นควันขนาดเล็ก ให้สูดรับเอาไปตกค้างอยู่ในปอด ทั้งในปอดทารกแรกเกิดและในปอดผู้ใหญ่ )
นัยว่าทำอย่างนี้แล้ว ตรงไหนที่เห็นเป็นน้ำๆ มันจะได้ระเหย
หายจากความเฉอะๆแฉะๆ แห้งไวทันใจ
แถมบางที่ยังมีแนวคิด อบไฟด้วย +อดอาหารด้วย
ห้ามกินโน่นนี่นั่น บังคับให้ผู้เป็นมารดาที่ควรต้องได้รับสารอาหารต่างๆอย่างเพียงพอต่อการสร้างเป็นน้ำนมช่วงแรกคลอดซึ่งสำคัญและมีคุณค่าสูงสุดสำหรับบุตร ให้กลับคงเหลือแต่ของกินอะไรก็ไม่รู้เพียงไม่กี่อย่าง (แต่ละที่ห้าม/และบังคับไม่เหมือนกัน /แล้วแต่ความเชื่อในพื้นที่นั้นๆ)
มันก็เลยได้มีตายกันไปอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ทั้งแม่และลูก
เพราะความทุกข์ทรมาน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความไม่ถูกสุขลักษณะ กับสภาพทุพโภชนาการของการอยู่ไฟ
แต่เรื่องพวกนี้ ก็ไม่มีปรากฏให้เป็นข่าวบันทึกจารึกไว้
ส่วนคนที่เหลือรอดมาได้ ก็เดชะบุญ
กลายเป็นสักขีพยาน ออกมาบอกได้เต็มปาก ว่าการอยู่ไฟเป็นเรื่องดีมาก
อยู่แล้วดี แข็งแรง ทั้งแม่(และลูก)
เป็นสิ่งควรส่งเสริมให้สตรีหลังคลอด อยู่ไฟอย่างนี้กันต่อไปอีกนาน ๆ ๆ ๆ ๆ
...นาน จนยังไม่เห็นวี่แววเลยว่าคนในสังคมนี้จะช่วยพากันข้ามพ้นความเชื่อฝังหัวแบบนี้ไปได้เมื่อไร "
แสดงความคิดเห็น
การอยู่ไฟหลังคลอดจำเป็นหรือป่าวครับ