หากพูดถึงเรื่องที่อยู่อาศัย หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงการมีบ้านเป็นของตนเอง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ การเดินทางสะดวกสบายเชื่อมต่อกับการคมนาคมอื่นๆ อยู่ในสังคมที่ดี แต่ด้วยราคาบ้านเพื่อตอบความฝันเหล่านี้ได้ ปัจจุบันมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ทำให้หลายคนไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรือจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะซื้อบ้านได้ไหว เพราะบ้านเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ที่ใช้เวลาในการผ่อนค่อนข้างนาน
วันนี้
K-Expert จึงอยากจะมาแนะนำ สัญญาณที่แสดงถึงความพร้อมในการซื้อบ้าน เพื่อให้เพื่อนๆ ใช้เป็นจุดสังเกตในการตัดสินใจซื้อบ้านในฝันกัน
สัญญาณแรก ราคาบ้านในฝันเหมาะกับรายได้ เพราะโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะให้ความสำคัญกับความสามารถในการผ่อนชำระซึ่งคิดอยู่ที่ประมาณ 40% ของรายได้ เช่น ต้องการซื้อบ้านในราคา 2 ล้านบาท หากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.12% และระยะเวลาขอกู้อยู่ที่ 30 ปี เราจะต้องผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 14,900 บาท เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 37,300 บาทต่อเดือน (37,300 x 40% = 14,920 บาท) นั่นเอง แต่หากเรามีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนอยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถยนต์ เงินในส่วนที่เราผ่อนรถยนต์อยู่นั้นก็จะถูกนำมาหักออกจากความสามารถในการผ่อนต่อเดือนของเรา ทำให้เราสามารถผ่อนได้น้อยลง ก็จะทำให้วงเงินที่ได้ลดลงด้วยเช่นกัน
สัญญาณที่สอง มีเงินดาวน์บ้านในฝันพร้อม การขอกู้บ้านในฝันนั้น วงเงินที่ทางธนาคารส่วนใหญ่จะอนุมัติ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 80% นั่นแปลว่าหากเราต้องการกู้บ้านที่ราคา 2 ล้านบาท เราจะได้เงินจากการกู้เพียง 1,600,000 บาทเท่านั้น ในส่วนจำนวนเงินที่เหลือ 400,000 บาทนั้น ผู้ซื้ออย่างเราๆ จะต้องเป็นคนที่หามาจ่ายด้วยตนเอง หรือก็คือเงินดาวน์นั่นเอง ก่อนจะซื้อก็อย่าลืมเงินก้อนนี้กันด้วย ทั้งนี้นอกจากเงินดาวน์แล้ว เราต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกได้แก่ ค่าโอน 2%ของราคาประเมิน ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ ค่าประเมินหลักทรัพย์ 2,500 – 3,500 บาท ขึ้นอยู่กับลักษณะบ้าน ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าตกแต่งบ้าน และค่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็สำคัญนะครับ
สัญญาณที่สาม เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินกันเพื่อบรรเทาสิ่งที่ไม่คาดคิด แนะนำให้เก็บโดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน และรวมจำนวนเงินที่ต้องผ่อนบ้านเข้าไปด้วย เช่น เดิมค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท และค่าใช้จ่ายหากมีการผ่อนบ้านอยู่ที่ 14,900 บาท เท่ากับเราต้องมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอยู่ที่ 179,400 บาท ( (15,000 + 14,900) x 6 ) โดยอาจจะเก็บไว้ในรูปแบบเงินฝาก หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่สามารถซื้อขายแล้วจะได้รับเงินในวันทำการถัดไป เงินก้อนนี้จะเป็นหลักประว่าแม้จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้ไม่สามารถหาเงินได้ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาไปอีก 6 เดือนนั่นเอง
สัญญาณที่สี่ ข้อมูลสำหรับใช้ในการยื่นกู้พร้อม เพราะบ้านถือเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ ที่ต้องมีการผ่อนชำระที่ค่อนข้างนาน ทำให้การอนุมัติของธนาคารจะให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ โดยจะดูจากข้อมูลทั้งในด้านรายได้ การทำงานประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา หนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ฯลฯ โดยตรวจสอบผ่านเอกสารหลักๆ คือ
1. ข้อมูลการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อแสดงความพร้อมว่า เรามีรายรับที่สามารถผ่อนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้
2. เอกสารแสดงว่าเราเป็นพนักงานของบริษัท เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แต่หากเรามีอาชีพค้าขาย หรือทำงานอิสระ ก็ต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือสัญญาจ้างงาน โดยในส่วนนี้จะแสดงถึงแหล่งที่มาของรายได้ว่า ได้มาได้อย่างไร ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ มีความสม่ำเสมอหรือไม่
นอกจากนี้ ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งแสดงการชำระหนี้ที่เรามีทั้งหมดทั้งอดีต และปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะแสดงย้อนหลัง 3 ปี หากผู้ที่จะซื้อบ้านเคยมีประวัติค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน หรือที่เรียกว่า หนี้ NPL ก็มีโอกาสที่ธนาคารจะไม่อนุมัติได้
จากสัญญาณที่ได้กล่าวมาทั้งหมด จะช่วยบอกว่า เราพร้อมแล้วที่จะมีบ้านเป็นของตนเองแล้วหรือยัง แต่เพื่อนๆ ต้องไม่ลืมว่า หนี้บ้านเป็นหนี้ที่ติดตัวเราไปในระยะยาว เพราะฉะนั้นเราควรตัดสินใจเลือกบ้านที่เหมาะกับเรามากที่สุด ทั้งในเรื่องราคา และความพร้อมทางการเงินของเราที่จะสามารถผ่อนได้ในระยะยาว หากคิดว่ายังไม่พร้อม การรอเพื่อสะสมเงินก็เป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้น
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ใช้สัญญาณอะไรในการตัดสินใจว่า ตนเองพร้อมที่จะซื้อบ้านแล้ว มาร่วมแชร์กันได้เลยนะครับ
4 สัญญาณ! บอกความพร้อมในการซื้อบ้าน
หากพูดถึงเรื่องที่อยู่อาศัย หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงการมีบ้านเป็นของตนเอง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ การเดินทางสะดวกสบายเชื่อมต่อกับการคมนาคมอื่นๆ อยู่ในสังคมที่ดี แต่ด้วยราคาบ้านเพื่อตอบความฝันเหล่านี้ได้ ปัจจุบันมีราคาที่สูงขึ้นเรื่อย ทำให้หลายคนไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรือจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะซื้อบ้านได้ไหว เพราะบ้านเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ที่ใช้เวลาในการผ่อนค่อนข้างนาน
วันนี้ K-Expert จึงอยากจะมาแนะนำ สัญญาณที่แสดงถึงความพร้อมในการซื้อบ้าน เพื่อให้เพื่อนๆ ใช้เป็นจุดสังเกตในการตัดสินใจซื้อบ้านในฝันกัน
สัญญาณแรก ราคาบ้านในฝันเหมาะกับรายได้ เพราะโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะให้ความสำคัญกับความสามารถในการผ่อนชำระซึ่งคิดอยู่ที่ประมาณ 40% ของรายได้ เช่น ต้องการซื้อบ้านในราคา 2 ล้านบาท หากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.12% และระยะเวลาขอกู้อยู่ที่ 30 ปี เราจะต้องผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 14,900 บาท เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 37,300 บาทต่อเดือน (37,300 x 40% = 14,920 บาท) นั่นเอง แต่หากเรามีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนอยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถยนต์ เงินในส่วนที่เราผ่อนรถยนต์อยู่นั้นก็จะถูกนำมาหักออกจากความสามารถในการผ่อนต่อเดือนของเรา ทำให้เราสามารถผ่อนได้น้อยลง ก็จะทำให้วงเงินที่ได้ลดลงด้วยเช่นกัน
สัญญาณที่สอง มีเงินดาวน์บ้านในฝันพร้อม การขอกู้บ้านในฝันนั้น วงเงินที่ทางธนาคารส่วนใหญ่จะอนุมัติ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 80% นั่นแปลว่าหากเราต้องการกู้บ้านที่ราคา 2 ล้านบาท เราจะได้เงินจากการกู้เพียง 1,600,000 บาทเท่านั้น ในส่วนจำนวนเงินที่เหลือ 400,000 บาทนั้น ผู้ซื้ออย่างเราๆ จะต้องเป็นคนที่หามาจ่ายด้วยตนเอง หรือก็คือเงินดาวน์นั่นเอง ก่อนจะซื้อก็อย่าลืมเงินก้อนนี้กันด้วย ทั้งนี้นอกจากเงินดาวน์แล้ว เราต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกได้แก่ ค่าโอน 2%ของราคาประเมิน ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ ค่าประเมินหลักทรัพย์ 2,500 – 3,500 บาท ขึ้นอยู่กับลักษณะบ้าน ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าตกแต่งบ้าน และค่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็สำคัญนะครับ
สัญญาณที่สาม เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินกันเพื่อบรรเทาสิ่งที่ไม่คาดคิด แนะนำให้เก็บโดยคำนวณจากค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน และรวมจำนวนเงินที่ต้องผ่อนบ้านเข้าไปด้วย เช่น เดิมค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท และค่าใช้จ่ายหากมีการผ่อนบ้านอยู่ที่ 14,900 บาท เท่ากับเราต้องมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอยู่ที่ 179,400 บาท ( (15,000 + 14,900) x 6 ) โดยอาจจะเก็บไว้ในรูปแบบเงินฝาก หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่สามารถซื้อขายแล้วจะได้รับเงินในวันทำการถัดไป เงินก้อนนี้จะเป็นหลักประว่าแม้จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้ไม่สามารถหาเงินได้ เราก็จะมีเวลาในการแก้ปัญหาไปอีก 6 เดือนนั่นเอง
สัญญาณที่สี่ ข้อมูลสำหรับใช้ในการยื่นกู้พร้อม เพราะบ้านถือเป็นหนี้สินก้อนใหญ่ ที่ต้องมีการผ่อนชำระที่ค่อนข้างนาน ทำให้การอนุมัติของธนาคารจะให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ โดยจะดูจากข้อมูลทั้งในด้านรายได้ การทำงานประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา หนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ฯลฯ โดยตรวจสอบผ่านเอกสารหลักๆ คือ
1. ข้อมูลการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อแสดงความพร้อมว่า เรามีรายรับที่สามารถผ่อนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นได้
2. เอกสารแสดงว่าเราเป็นพนักงานของบริษัท เช่น สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือน แต่หากเรามีอาชีพค้าขาย หรือทำงานอิสระ ก็ต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์ หรือสัญญาจ้างงาน โดยในส่วนนี้จะแสดงถึงแหล่งที่มาของรายได้ว่า ได้มาได้อย่างไร ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ มีความสม่ำเสมอหรือไม่
นอกจากนี้ ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งแสดงการชำระหนี้ที่เรามีทั้งหมดทั้งอดีต และปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะแสดงย้อนหลัง 3 ปี หากผู้ที่จะซื้อบ้านเคยมีประวัติค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน หรือที่เรียกว่า หนี้ NPL ก็มีโอกาสที่ธนาคารจะไม่อนุมัติได้
จากสัญญาณที่ได้กล่าวมาทั้งหมด จะช่วยบอกว่า เราพร้อมแล้วที่จะมีบ้านเป็นของตนเองแล้วหรือยัง แต่เพื่อนๆ ต้องไม่ลืมว่า หนี้บ้านเป็นหนี้ที่ติดตัวเราไปในระยะยาว เพราะฉะนั้นเราควรตัดสินใจเลือกบ้านที่เหมาะกับเรามากที่สุด ทั้งในเรื่องราคา และความพร้อมทางการเงินของเราที่จะสามารถผ่อนได้ในระยะยาว หากคิดว่ายังไม่พร้อม การรอเพื่อสะสมเงินก็เป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง เพื่อช่วยให้เราตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้น
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ใช้สัญญาณอะไรในการตัดสินใจว่า ตนเองพร้อมที่จะซื้อบ้านแล้ว มาร่วมแชร์กันได้เลยนะครับ