เป็นกระทู้แรกที่ตั้งนะคะอาจดูเขียนรกๆหรือตัวเล็กตัวใหญ่อ่านไม่สะดวกตาบ้างก็ขอโทษด้วยนะคะ
จขกท.อายุ17แล้วค่ะเกิด2544
เราย้ายมาอยู่ กทม.ตั้งแต่ม.1อายุประมาณ12-13ปีได้ค่ะตอนนี้เราอาศัยอยู่กับทางฝั่งครอบครัวของคุณพ่อเนื่องจากคุณแม่มีเงินส่งเราไม่พอและด้วยหน้าที่การงานที่ไท่แน่นอนอีกทั้งฝั่งครอบครัวทางแม่ก็ไม่ได้มีรายได้ดีค่ะอาศัยทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆแต่ทางฝั่งครอบครัวคุณพ่อมีฐานะการเงินที่สามารถส่งเราเรียนได้ค่ะเราจึงต้องย้ายมาฝั่งนี้ ยอมรับค่ะในความคิดของจขกท.เป็นเด็กขี้เกียจไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นแต่ด้วยความที่เรารู้สถานะของตัวเองว่าทำไมถึงต้องย้ายมาที่นี่ เราก็ไม่ได้ถึงกับว่าเปลี่ยนตัวเองเลยเสียทีเดียว เราใช้คำว่า "ต้องทำ" กับสิ่งที่เราไม่อยากทำมากกว่าค่ะ คนอื่นๆจึงมองว่าเราเป็นเด็กขยันด้วยเหตุนี้หรือเปล่าเพราะมีแต่คนชมไม่ว่าทั้งการเรียนหรืออะไรก็จะมีคนชมว่าเราขยัน ส่วนตัวเราเองใช้คำว่าต้องทำมากกว่าไม่งั้นเราจะทำสิ่งนันไม่ได้เพราะความขี้เกียจบดบังจริงๆค่ะ
ข้างบนคือเกริ่นเรื่องที่มาของการได้มาอยู่ครอบครัวทางฝั่งพ่อและตัวของเราเองนะคะ ไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่านค่ะ คิดว่าใจความสำคัญที่อยากจะถามและปรึกษาชาวพันทิปอยู่ด้านล่างต่อไปนี้ค่ะ
เรามาอยู่นี่ได้ตอนม.1มาเข้าเรียนที่กทม.ค่ะ เราไม่สนิทกับญาติฝั่งคุณพ่อเลยสักคนยกเว้นย่า ทางบ้านนี้มีคนอยู่ถ้านับปัจจุบันด้วยมี7คนค่ะอาศัยอยู่ที่คอนโดซึ่งมันก็กว้างสำหรับคนประมาณ2-3คนแหละค่ะแต่มันเล็กมากที่จะมาอาศัยด้วยกัน7คน แต่ปกติก็ไม่ได้ครบ7คนหรอกค่ะ บ้างก็กลับมาแค่ช่วงวันหยุด ที่เรามีปัญหากับครอบครัวนี้มีอยู่4คนค่ะ
สองคนแรกที่จะกล่าวถึง
พี่สาวคนที่สองของพ่อค่ะ ช่วงนั้นยอมรับเลยเป็นเด็กไม่ดี ขโมยเงินมาเป็นพันค่ะ น่าจะ3-4พันได้สรุปเขาจับได้ค่ะ เราเลยไม่ค่อยสู้หน้ากับเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยกโทษให้เรานะคะ เราเหลิงกับของในinternetมากเกินไปเอง ปัญหาของเราคือมองหน้าเขาไม่ติดค่ะ พี่สาวคนที่สองของพ่อมีลูกค่ะ ซึ่งลูกเขาโตจนทำงานแล้วค่ะ คงเรียกเขาได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องเรา ซึ่งพี่คนนี้เขาชอบทะเลาะกันกับพี่สาวคนที่สองของพ่อซึ่งก็คือแม่ของเขานั่นเองค่ะ ไม่อยากจะเขียนว่าเขาไม่เต็มหรือปัญญาอ่อนเพราะเราไม่มช่หมอค่ะ เอาเป็นว่าเราแค่รู้สึกอย่างนั้นแต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่าเพราะไม่เคยถามเจ้าตัวเองเลย พี่เขาชอบทะเลาะกับแท่ตัวเองเสียงดังกันค่ะ บางทีก็เรื่องไร้สาระบ้าง ที่รับไม่ได้คือเถียงกันไปไม่มีใครยอมใครเลยค่ะแล้วก็โมโหกันเถียงข้างๆคูๆใครอยู่ใกล้ๆจำต้องเอามาร่วมวงการทะเลาะบ้าๆนี่ด้วยการถามว่าใครผิด ??? แล้วเราจะตอบได้เหรอคะ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปตัดสินได้ แล้วเหตุการณ์ข้างต้นที่ได้กล่าวไปว่าเราเคยขโมยเงินแม่เขา(แต่เราคืนทุกบาททุกสตางค์แล้วนะ)เขาก็มาใส่ร้ายว่าเราขโมยบัตรแรบบิทเขาไป เราก็บริสุทธิ์ใจเพราะไม่ได้ขโมยจริงๆแต่เหมือนเขาจะไม่เชื่อ บางครั้งเราแอบได้ยินเขาเอาเรื่องเราไปบ่นให้แม่เขาฟังด้วยค่ะ แต่เรานึกเสียว่าเราเป็นคนสร้างสถานะการณ์ให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเองเราเลยทนไปค่ะ แต่ที่เราทนไม่ได้คือการทะเลาะกับแม่ของเขาเองค่ะ นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นบาวทีพี่เขาเหมือนจะไปทำร้ายร่างกายแม่เขาเองเลยค่ะ(ไม่ใช้อาวุธ********)วันนั้นคือวันที่เราทนไม่ได้ค่ะ ย่าเราก็อยู่ด้วย ย่าเราก็คงไม่ชอบให้เขาทะเลาะกันบางทีก็ร้องไห้ค่ะ แล้วย่าก็บอกว่าห้ามบอกป้า1นะ(พี่สาวคนแรกของพ่อค่ะตอนนี้ใช้แทนว่าป้า1นะคะพี่สาวคนที่สองของพ่อป้า2ละกันค่ะ) ตอนนั้นเขาทะเลาะอะไรกันจำไม่ได้ค่ะ ป้า2กำลังนวดขาตัวเองอยู่เพราะเป็นไกด์ทัวร์เดินทั้งวันพี่เขาก็เข้าไปกดขาป้า2แล้วป้า2ก็บอกให้หยุดเพราะว่าเจ็บจนหน้าแดงเลยค่ะ เราไม่เคยเห็นสิ่งแบบนี้เลยสักครั้งในบ้านฝั่งคุณแม่ ไม่เคยเห็นลูกคนใดทำร้ายแม่ในบ้านฝั่งแม่ทำร้ายกันเลยค่ะ เราไม่รู้จะทำยังไงตอนนั้นเหมือนแค่อยากหนีไปให้ไกลๆจากจุดตรงนี้พอ ป้า2บแกว่าให้ไลน์ไปบอกป้า1ให้ไล่พี่เขาออกไปจากบ้านนี้(ป้า1เป็นเจ้าของห้องในคอนโดที่เราอาศัยอยู่ค่ะคนอื่นๆเลยต้องเกรงใจ)พี่และย่าลอกว่าห้ามบอกป้า1 เราสับสนค่ะ เราเลยลุกไปเปิดประตูแต่พี่เขามาขวางแล้วบอกว่าจะไปไหนถ้าออกไปข้างนอกแบ้วบอกป้า1เขาไม่ให้ไปค่ะ เราเลยเขวี้ยงโทรศัพท์ไปทางโต๊ะคอมของเราแล้วบอกว่า
"โทรศัพท์ก็อยู่นู้นจะบอกยังไง ถอย!"
เขาก็ยอมถอยนะคะแล้วหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นยังไงเราออกบ้านไปตอน4โมงกว่ากลับมาบ้านสองทุ่มค่ะ ตอนนั้นป้า1กลับมาแล้วค่ะ สภาพตอนเรามาถึงคือทุกคนอยู่พร้อมกันที่ห้องโถงกลาง เราทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะกลับมาดูการ์ตูนตามปกติ แต่คนอื่นๆถูกป้า1เทศน์ไปค่ะ แล้วเราได้ยินว่าป้า1ให้พี่เขามาขอโทษในเราในเรื่องที่เขาทำจนทำให้เรากลับบ้านมาดึกๆแบบนี้ เราได้ยินค่ะ แต่เราไม่สนใจดูการ์ตูนต่อไปจนดึกเรายังไม่เลิกดูค่ะพี่เขาก็มาขอโทษเราตอนที่เรากำลังอ่านไลน์ของป้า1ที่ส่งมาตอน6โมงกว่าว่าให้ไปตามหาน้อง เราใส่หูฟังมองจอคอมค่ะ เขาก็มาขอโทษเราแต่เราไม่ได้พูดอะไรไม่พยักหน้าทำเพียงแค่รับรู้ถึงการขอโทษเขาเท่านั้นเองค่ะ เขาอยู่แบบนั้นสักพักไม่รู้ว่าทนสภาพนิ่งเฉยเราไม่ไหวหรือคิดไปเองว่าเราให้อภัย? จากนั้นมาเราไม่เคยมองหน้าสองแม่ลูกนี้ติดเลยค่ะ ไม่คุยเรื่องที่ไม่จำเป็นหากมีเรื่องจำเป็นจำตอบแค่เท่าที่รู้นอกเหนือจากนั้นจะใช้คำว่า" ค่ะ /ไม่/ใช่ " บางทีก็แค่พยักหน้าเท่านั้น และเราไม่แม้แต่กระทั่งร่วมโต๊ะอาหาร บางทีเราหิวแต่เห็นเขาสองคนนั่งกินก็กลายเป็นว่าวันนั้นเราไม่ได้กินข้าวไปเลยค่ะ ช่วงนั้นน้ำหนักลดจนป้า1ทักว่ากับข้าวบ้านไม่อร่อยเหรอ กลายเป็นว่าเหมือนเราตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปเลยค่ะ ทำเป็นเหมือนกับคนที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน
คนที่สามที่จะกล่าวถึงนะคะคือย่าค่ะ
พูดตรงๆเรารำคาญย่าเราค่ะ เขาเป็นคนแก่ที่ขี้โมโหขี้โวยวายห่วงนู่นห่วงนี่ แพ้ใจตัวเอง ดื้อ หัวรั้นค่ะ บางทีพี่ที่เป็นลูกป้า2 เขามาแกล้งแหย่ล้อเลียนคนที่ย่าไม่ชอบให้ฟัง ย่าก็โกรธค่ะ ย่าเลยพูดทั้งวาจาหยาบคายออกมา เท่าที่เห็นนะคะ บ้านทางฝั่งพ่อตั้งแต่เราอยู่มาจนถึงอายุ17ไม่เคยได้ยินใครพูดคำหยาบมากๆแบบนี้นอกจากย่าเราค่ะ ซึ่งเราไม่ชอบเลยทั้งๆที่เขาก็สามารถพูดดีๆได้ เวลาที่โดนพี่เขาแกล้งเขาก็จะทำเสียงดังซึ่งเป็นอันรบกวนห้องอื่นๆมากเลยค่ะ เข้าใจไหมคะ เราอาศัยอยู่คอนโดที่ซึ่งเป็นที่ที่ควรจะให้เกียรติกัน อยู่สงบๆไม่รบกวน แต่ย่าเราทำเสียงดังออกไปข้างนอกบางทีเราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนพอออกจากลิฟต์มาก็ได้ยินเสียงย่าเราคนแรกเลยค่ะ ถ้าเราเป็นคนอื่นที่อาศัยอยู่ชั้นนี้คงทำเรื่องย้ายแล้วจ่ายตังเพิ่มเพื่อไปอยู่ชั้นอื่นแล้วล่ะค่ะ เราเถียงกับเขาเยอะมากในบรรดาญาติฝั่งพ่อเพราะเรารำคาญเขาค่ะ บางอย่างก็ห่วงจนเกินไป บางทีแกเหงาๆของแกมั้งคะตามประสาคนแก่ที่จะนั่งระลึกถึงเรื่องเก่าๆแต่ไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ย่าเราระลึกกลับเป็นเรื่อง*******แย่ๆ****** และเป็นเรื่อง*****นินทา******คนอื่นไปได้ ซึ่งเราไมอบคนแก่ขี้นินทาเลยค่ะ แต่นิสัยคนแก่ท่าจะแก้ยาก เดี๋ยวนี้เราเลยปฏิบัติกับเขาเหมือนที่เราปฏิบัติกับป้า2และลูกของเขาค่ะ เราไม่พูดคุย เรานิ่งเฉย แต่ถ้าเขาใช้ให้เราทำอะไรที่เราทำได้เราก็ทำค่ะ แค่จะไม่พูดไม่จา ไม่หือไม่อืออะไรกับเขาทั้งนั้นค่ะ เขาถามเรื่องส่วนตัวเรา เราก็ไม่คุยไม่บอกค่ะ นิ่งเงียบ
มาถึงคนสุดท้ายคนที่สี่ที่จะกล่าวถึงนะคะ ป้า1ค่ะ
(ขอบคุณมากๆที่มาอ่านปัญหาของเราจนถึงตรงนี้นะคะ ขอขอบคุณและขอคำแนะนำด้วยค่ะ)
กับป้า1เราไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเท่ากับสามคนแรกที่กล่าวถึงเลยนะคะ เขาเป็นคนที่ห่วงเราที่สุด เขาเครียดกับเรื่องเรามากๆ ซึ่งเราก็รู้สึกโอเค แต่บางทีเวลาเราคุยกับเขาเราก็อยากที่จะคุยเรื่องสัพเพเหระไร้สาระบ้างแต่เขาก็พาเราเข้าวิชาการหมดเลยค่ะ เรารู้ว่าอยากให้เราคิดเป็น แต่เรารู้สึกอึดอัดค่ะ เราไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา เพราะอึดอัดค่ะเราไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายกับคนวิชาการอย่างป้า1 แล้วเหตุผลแค่อยากคุยเรื่องไร้สาระของเราเพียงเพราะ "อยาก" มันจะเป็นเหตุผลที่ดีแล้วเหรอ สู้เขาพูดวาการให้เราเรียนรู้ดีกว่ามั้ยแต่เราอึดอัดนะ นี่คือสิ่งที่เราคิดและไม่อยากบอกเขาค่ะ
สุดท้ายเหมือนเรามีสองบุคลิกอยู่ด้วยกันเลยค่ะ เราเลือกที่จะปฏิบัติเอง เราอยู่กับเพื่อนและอยู่กับพ่อหรือครอบครับฝั่งแม่จะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแต่พอกลับเข้ามาในความเป็นจริงที่เราอยู่ปัจจุบันคือบ้านฝั่งพ่อ สิ่งที่เราทำคือเงียบ ใบหน้าเรียบเฉย น้อยมากที่จะยิ้ม อะไรที่เราเคยหัวเราะเรื่องเล็กๆที่ทำให้เราหัวเราะเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง พ่อ หรือญาติฝั่งแม่และแม่ เรากลับไม่หัวเราะและรู้สึกมันไม่น่าหัวเราะเอาเสียเลย
เราจะแก้ปัญหาในจุดต่างๆที่เล่าไปยังไงดี ทุกวันนี้เราเหมือนแค่คนที่หนีปัญหาก็เท่านั้นเอง ทุกคนที่เรามีปัญหาด้วยต่างมีอายุมากหมด เมื่อพวกเขาอายุปานนี้แล้วพวกเขาจะปรับตัวให้เข้ากับเด็กอย่างเราได้เหรอคะ มันคงยากมาก
จบแล้วค่ะ!!!!!!! นี่ไม่ใช่นิยาย เรื่องจริงทั้งหมดจากความทรงจำของจขกท.ช่วยment ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
ปัญหาครอบครัว(ยาว)เด็ก17
จขกท.อายุ17แล้วค่ะเกิด2544
เราย้ายมาอยู่ กทม.ตั้งแต่ม.1อายุประมาณ12-13ปีได้ค่ะตอนนี้เราอาศัยอยู่กับทางฝั่งครอบครัวของคุณพ่อเนื่องจากคุณแม่มีเงินส่งเราไม่พอและด้วยหน้าที่การงานที่ไท่แน่นอนอีกทั้งฝั่งครอบครัวทางแม่ก็ไม่ได้มีรายได้ดีค่ะอาศัยทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆแต่ทางฝั่งครอบครัวคุณพ่อมีฐานะการเงินที่สามารถส่งเราเรียนได้ค่ะเราจึงต้องย้ายมาฝั่งนี้ ยอมรับค่ะในความคิดของจขกท.เป็นเด็กขี้เกียจไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นแต่ด้วยความที่เรารู้สถานะของตัวเองว่าทำไมถึงต้องย้ายมาที่นี่ เราก็ไม่ได้ถึงกับว่าเปลี่ยนตัวเองเลยเสียทีเดียว เราใช้คำว่า "ต้องทำ" กับสิ่งที่เราไม่อยากทำมากกว่าค่ะ คนอื่นๆจึงมองว่าเราเป็นเด็กขยันด้วยเหตุนี้หรือเปล่าเพราะมีแต่คนชมไม่ว่าทั้งการเรียนหรืออะไรก็จะมีคนชมว่าเราขยัน ส่วนตัวเราเองใช้คำว่าต้องทำมากกว่าไม่งั้นเราจะทำสิ่งนันไม่ได้เพราะความขี้เกียจบดบังจริงๆค่ะ
ข้างบนคือเกริ่นเรื่องที่มาของการได้มาอยู่ครอบครัวทางฝั่งพ่อและตัวของเราเองนะคะ ไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่านค่ะ คิดว่าใจความสำคัญที่อยากจะถามและปรึกษาชาวพันทิปอยู่ด้านล่างต่อไปนี้ค่ะ
เรามาอยู่นี่ได้ตอนม.1มาเข้าเรียนที่กทม.ค่ะ เราไม่สนิทกับญาติฝั่งคุณพ่อเลยสักคนยกเว้นย่า ทางบ้านนี้มีคนอยู่ถ้านับปัจจุบันด้วยมี7คนค่ะอาศัยอยู่ที่คอนโดซึ่งมันก็กว้างสำหรับคนประมาณ2-3คนแหละค่ะแต่มันเล็กมากที่จะมาอาศัยด้วยกัน7คน แต่ปกติก็ไม่ได้ครบ7คนหรอกค่ะ บ้างก็กลับมาแค่ช่วงวันหยุด ที่เรามีปัญหากับครอบครัวนี้มีอยู่4คนค่ะ
สองคนแรกที่จะกล่าวถึง
พี่สาวคนที่สองของพ่อค่ะ ช่วงนั้นยอมรับเลยเป็นเด็กไม่ดี ขโมยเงินมาเป็นพันค่ะ น่าจะ3-4พันได้สรุปเขาจับได้ค่ะ เราเลยไม่ค่อยสู้หน้ากับเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยกโทษให้เรานะคะ เราเหลิงกับของในinternetมากเกินไปเอง ปัญหาของเราคือมองหน้าเขาไม่ติดค่ะ พี่สาวคนที่สองของพ่อมีลูกค่ะ ซึ่งลูกเขาโตจนทำงานแล้วค่ะ คงเรียกเขาได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องเรา ซึ่งพี่คนนี้เขาชอบทะเลาะกันกับพี่สาวคนที่สองของพ่อซึ่งก็คือแม่ของเขานั่นเองค่ะ ไม่อยากจะเขียนว่าเขาไม่เต็มหรือปัญญาอ่อนเพราะเราไม่มช่หมอค่ะ เอาเป็นว่าเราแค่รู้สึกอย่างนั้นแต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่าเพราะไม่เคยถามเจ้าตัวเองเลย พี่เขาชอบทะเลาะกับแท่ตัวเองเสียงดังกันค่ะ บางทีก็เรื่องไร้สาระบ้าง ที่รับไม่ได้คือเถียงกันไปไม่มีใครยอมใครเลยค่ะแล้วก็โมโหกันเถียงข้างๆคูๆใครอยู่ใกล้ๆจำต้องเอามาร่วมวงการทะเลาะบ้าๆนี่ด้วยการถามว่าใครผิด ??? แล้วเราจะตอบได้เหรอคะ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปตัดสินได้ แล้วเหตุการณ์ข้างต้นที่ได้กล่าวไปว่าเราเคยขโมยเงินแม่เขา(แต่เราคืนทุกบาททุกสตางค์แล้วนะ)เขาก็มาใส่ร้ายว่าเราขโมยบัตรแรบบิทเขาไป เราก็บริสุทธิ์ใจเพราะไม่ได้ขโมยจริงๆแต่เหมือนเขาจะไม่เชื่อ บางครั้งเราแอบได้ยินเขาเอาเรื่องเราไปบ่นให้แม่เขาฟังด้วยค่ะ แต่เรานึกเสียว่าเราเป็นคนสร้างสถานะการณ์ให้มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเองเราเลยทนไปค่ะ แต่ที่เราทนไม่ได้คือการทะเลาะกับแม่ของเขาเองค่ะ นับวันยิ่งหนักข้อขึ้นบาวทีพี่เขาเหมือนจะไปทำร้ายร่างกายแม่เขาเองเลยค่ะ(ไม่ใช้อาวุธ********)วันนั้นคือวันที่เราทนไม่ได้ค่ะ ย่าเราก็อยู่ด้วย ย่าเราก็คงไม่ชอบให้เขาทะเลาะกันบางทีก็ร้องไห้ค่ะ แล้วย่าก็บอกว่าห้ามบอกป้า1นะ(พี่สาวคนแรกของพ่อค่ะตอนนี้ใช้แทนว่าป้า1นะคะพี่สาวคนที่สองของพ่อป้า2ละกันค่ะ) ตอนนั้นเขาทะเลาะอะไรกันจำไม่ได้ค่ะ ป้า2กำลังนวดขาตัวเองอยู่เพราะเป็นไกด์ทัวร์เดินทั้งวันพี่เขาก็เข้าไปกดขาป้า2แล้วป้า2ก็บอกให้หยุดเพราะว่าเจ็บจนหน้าแดงเลยค่ะ เราไม่เคยเห็นสิ่งแบบนี้เลยสักครั้งในบ้านฝั่งคุณแม่ ไม่เคยเห็นลูกคนใดทำร้ายแม่ในบ้านฝั่งแม่ทำร้ายกันเลยค่ะ เราไม่รู้จะทำยังไงตอนนั้นเหมือนแค่อยากหนีไปให้ไกลๆจากจุดตรงนี้พอ ป้า2บแกว่าให้ไลน์ไปบอกป้า1ให้ไล่พี่เขาออกไปจากบ้านนี้(ป้า1เป็นเจ้าของห้องในคอนโดที่เราอาศัยอยู่ค่ะคนอื่นๆเลยต้องเกรงใจ)พี่และย่าลอกว่าห้ามบอกป้า1 เราสับสนค่ะ เราเลยลุกไปเปิดประตูแต่พี่เขามาขวางแล้วบอกว่าจะไปไหนถ้าออกไปข้างนอกแบ้วบอกป้า1เขาไม่ให้ไปค่ะ เราเลยเขวี้ยงโทรศัพท์ไปทางโต๊ะคอมของเราแล้วบอกว่า
"โทรศัพท์ก็อยู่นู้นจะบอกยังไง ถอย!"
เขาก็ยอมถอยนะคะแล้วหลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นยังไงเราออกบ้านไปตอน4โมงกว่ากลับมาบ้านสองทุ่มค่ะ ตอนนั้นป้า1กลับมาแล้วค่ะ สภาพตอนเรามาถึงคือทุกคนอยู่พร้อมกันที่ห้องโถงกลาง เราทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะกลับมาดูการ์ตูนตามปกติ แต่คนอื่นๆถูกป้า1เทศน์ไปค่ะ แล้วเราได้ยินว่าป้า1ให้พี่เขามาขอโทษในเราในเรื่องที่เขาทำจนทำให้เรากลับบ้านมาดึกๆแบบนี้ เราได้ยินค่ะ แต่เราไม่สนใจดูการ์ตูนต่อไปจนดึกเรายังไม่เลิกดูค่ะพี่เขาก็มาขอโทษเราตอนที่เรากำลังอ่านไลน์ของป้า1ที่ส่งมาตอน6โมงกว่าว่าให้ไปตามหาน้อง เราใส่หูฟังมองจอคอมค่ะ เขาก็มาขอโทษเราแต่เราไม่ได้พูดอะไรไม่พยักหน้าทำเพียงแค่รับรู้ถึงการขอโทษเขาเท่านั้นเองค่ะ เขาอยู่แบบนั้นสักพักไม่รู้ว่าทนสภาพนิ่งเฉยเราไม่ไหวหรือคิดไปเองว่าเราให้อภัย? จากนั้นมาเราไม่เคยมองหน้าสองแม่ลูกนี้ติดเลยค่ะ ไม่คุยเรื่องที่ไม่จำเป็นหากมีเรื่องจำเป็นจำตอบแค่เท่าที่รู้นอกเหนือจากนั้นจะใช้คำว่า" ค่ะ /ไม่/ใช่ " บางทีก็แค่พยักหน้าเท่านั้น และเราไม่แม้แต่กระทั่งร่วมโต๊ะอาหาร บางทีเราหิวแต่เห็นเขาสองคนนั่งกินก็กลายเป็นว่าวันนั้นเราไม่ได้กินข้าวไปเลยค่ะ ช่วงนั้นน้ำหนักลดจนป้า1ทักว่ากับข้าวบ้านไม่อร่อยเหรอ กลายเป็นว่าเหมือนเราตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปเลยค่ะ ทำเป็นเหมือนกับคนที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน
คนที่สามที่จะกล่าวถึงนะคะคือย่าค่ะ
พูดตรงๆเรารำคาญย่าเราค่ะ เขาเป็นคนแก่ที่ขี้โมโหขี้โวยวายห่วงนู่นห่วงนี่ แพ้ใจตัวเอง ดื้อ หัวรั้นค่ะ บางทีพี่ที่เป็นลูกป้า2 เขามาแกล้งแหย่ล้อเลียนคนที่ย่าไม่ชอบให้ฟัง ย่าก็โกรธค่ะ ย่าเลยพูดทั้งวาจาหยาบคายออกมา เท่าที่เห็นนะคะ บ้านทางฝั่งพ่อตั้งแต่เราอยู่มาจนถึงอายุ17ไม่เคยได้ยินใครพูดคำหยาบมากๆแบบนี้นอกจากย่าเราค่ะ ซึ่งเราไม่ชอบเลยทั้งๆที่เขาก็สามารถพูดดีๆได้ เวลาที่โดนพี่เขาแกล้งเขาก็จะทำเสียงดังซึ่งเป็นอันรบกวนห้องอื่นๆมากเลยค่ะ เข้าใจไหมคะ เราอาศัยอยู่คอนโดที่ซึ่งเป็นที่ที่ควรจะให้เกียรติกัน อยู่สงบๆไม่รบกวน แต่ย่าเราทำเสียงดังออกไปข้างนอกบางทีเราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนพอออกจากลิฟต์มาก็ได้ยินเสียงย่าเราคนแรกเลยค่ะ ถ้าเราเป็นคนอื่นที่อาศัยอยู่ชั้นนี้คงทำเรื่องย้ายแล้วจ่ายตังเพิ่มเพื่อไปอยู่ชั้นอื่นแล้วล่ะค่ะ เราเถียงกับเขาเยอะมากในบรรดาญาติฝั่งพ่อเพราะเรารำคาญเขาค่ะ บางอย่างก็ห่วงจนเกินไป บางทีแกเหงาๆของแกมั้งคะตามประสาคนแก่ที่จะนั่งระลึกถึงเรื่องเก่าๆแต่ไม่เข้าใจว่าเรื่องที่ย่าเราระลึกกลับเป็นเรื่อง*******แย่ๆ****** และเป็นเรื่อง*****นินทา******คนอื่นไปได้ ซึ่งเราไมอบคนแก่ขี้นินทาเลยค่ะ แต่นิสัยคนแก่ท่าจะแก้ยาก เดี๋ยวนี้เราเลยปฏิบัติกับเขาเหมือนที่เราปฏิบัติกับป้า2และลูกของเขาค่ะ เราไม่พูดคุย เรานิ่งเฉย แต่ถ้าเขาใช้ให้เราทำอะไรที่เราทำได้เราก็ทำค่ะ แค่จะไม่พูดไม่จา ไม่หือไม่อืออะไรกับเขาทั้งนั้นค่ะ เขาถามเรื่องส่วนตัวเรา เราก็ไม่คุยไม่บอกค่ะ นิ่งเงียบ
มาถึงคนสุดท้ายคนที่สี่ที่จะกล่าวถึงนะคะ ป้า1ค่ะ
(ขอบคุณมากๆที่มาอ่านปัญหาของเราจนถึงตรงนี้นะคะ ขอขอบคุณและขอคำแนะนำด้วยค่ะ)
กับป้า1เราไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเท่ากับสามคนแรกที่กล่าวถึงเลยนะคะ เขาเป็นคนที่ห่วงเราที่สุด เขาเครียดกับเรื่องเรามากๆ ซึ่งเราก็รู้สึกโอเค แต่บางทีเวลาเราคุยกับเขาเราก็อยากที่จะคุยเรื่องสัพเพเหระไร้สาระบ้างแต่เขาก็พาเราเข้าวิชาการหมดเลยค่ะ เรารู้ว่าอยากให้เราคิดเป็น แต่เรารู้สึกอึดอัดค่ะ เราไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา เพราะอึดอัดค่ะเราไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายกับคนวิชาการอย่างป้า1 แล้วเหตุผลแค่อยากคุยเรื่องไร้สาระของเราเพียงเพราะ "อยาก" มันจะเป็นเหตุผลที่ดีแล้วเหรอ สู้เขาพูดวาการให้เราเรียนรู้ดีกว่ามั้ยแต่เราอึดอัดนะ นี่คือสิ่งที่เราคิดและไม่อยากบอกเขาค่ะ
สุดท้ายเหมือนเรามีสองบุคลิกอยู่ด้วยกันเลยค่ะ เราเลือกที่จะปฏิบัติเอง เราอยู่กับเพื่อนและอยู่กับพ่อหรือครอบครับฝั่งแม่จะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะแต่พอกลับเข้ามาในความเป็นจริงที่เราอยู่ปัจจุบันคือบ้านฝั่งพ่อ สิ่งที่เราทำคือเงียบ ใบหน้าเรียบเฉย น้อยมากที่จะยิ้ม อะไรที่เราเคยหัวเราะเรื่องเล็กๆที่ทำให้เราหัวเราะเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง พ่อ หรือญาติฝั่งแม่และแม่ เรากลับไม่หัวเราะและรู้สึกมันไม่น่าหัวเราะเอาเสียเลย
เราจะแก้ปัญหาในจุดต่างๆที่เล่าไปยังไงดี ทุกวันนี้เราเหมือนแค่คนที่หนีปัญหาก็เท่านั้นเอง ทุกคนที่เรามีปัญหาด้วยต่างมีอายุมากหมด เมื่อพวกเขาอายุปานนี้แล้วพวกเขาจะปรับตัวให้เข้ากับเด็กอย่างเราได้เหรอคะ มันคงยากมาก
จบแล้วค่ะ!!!!!!! นี่ไม่ใช่นิยาย เรื่องจริงทั้งหมดจากความทรงจำของจขกท.ช่วยment ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ