กำลังเตรียมงานสงกรานต์ไทยเฟสติวัลในเขตใต้ของอังกฤษ ตกลงกันในที่ประชุมว่าตีมชุดที่จะใช้ใส่ในงานคือชุดไทยโบราณ กลุ่มแม่บ้านบอกว่าเพราะตอนนี้กระแส "บุพเพสันนิวาส" กำลังมาแรง และกว่าผมจะถึงบางอ้อว่า "บุพเพสันนิวาส" คือละครไทยที่ดังเป็นพลุแตกในตอนนี้ก็เสียเวลาซึกไซ้ไล่เรียงไปสักพัก กลัวตกเทรนด์.....เลยกลับมาอ่านเรื่องย่อเอาแบบลวกๆ ก็ทราบว่าเป็นละครไทยย้อนยุคไปสมัยพระนารายณ์ฯ ประจวบเหมาะที่พึ่งจะอ่านประชุมพงศาวดาร "คำให้การของขุนหลวงหาวัด" (ฉบับหลวง) เหตุการณ์ในรัชสมัยพระนารายณ์จวนเจียนจะเสร็จ ก็ทำให้พอจะโยงเข้าหาละคร “บุพเพสันนิวาส” ได้ ผมก็ยังไม่ได้มีโอกาสดูละครนะครับ แต่ออกจะมั่นใจว่าแม้จะเป็น "ละครอิงประวัติศาสตร์" ยังไงๆ เสีย...ละครไทยก็ยังคือละครไทย คือจะต้องมีการสอดแทรกฉากประเภท ตบจูบ รัก ริษยา ตาเขียวปั๊ดในเนื้อหาแน่ๆ (เพื่อเรียกเรตติ้งเอาใจคอละครไทย)
ผมสังเกตุว่าละครไทยอิงประวัติศาสตร์เกือบทุกเรื่องมักจะดังเปรี้ยงปร้าง ดูอย่าง "พันท้ายนรสิงห์" "บางระจัน" จับขึ้นมาทำละครหรือหนังทีไรก็ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับทั้งผู้สร้าง(ด้านการเงิน)และผู้ชม(ด้านความบันเทิง) แม้จะเป็นละครประเภท "ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า" คือถูกสร้างเป็นละครตั้งแต่หลายๆ คนในที่นี้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำหลายเวอร์ชั่นหลายตอนก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ทำไม?
ในการพยายามมองสาเหตุว่าทำไมละครไทยอิงประวัติศาสตร์มักจะได้รับความนิยมสูงนั้น ผมมองว่า (คหสต)โครงร่างประวัติศาสตร์ไทยมีส่วนไม่น้อยเลย ตำราเรียนหรือหนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกนำและชำระมาจาก "พงศาวดาร" ซึ่งจะว่าไปแล้ว..... พงศาวดารเหล่านั้นก็คือบันทึกเหตุการณ์และกิจกรรมเกี่ยวกับและในราชสำนัก และถ้าจะพูดแบบให้เคร่งครัดขึ้นไปอีก "พงศาวดาร" ก็ถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแผ่นดินของแต่ละพระองค์ก็ว่าได้ ก็ต่อมาในภายหลังได้มีการพยายามรวบรวมพงศาวดารฉบับต่างๆ, บันทึกเหตุการณ์, ตำนาน, และรวมไปถึงจดหมายเหตุของชาวต่างชาติแล้วประมวลขึ้นเป็น "ประวัติศาสตร์ไทย" โดยที่ยึดพงศาวดารเป็นแกน(core) อีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นการ "สร้างความทรงจำร่วม" ในหมู่คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างมองข้ามไม่ได้ ก็คือท่วงทำนองและสถานะของประวัติศาสตร์ไทย (ที่ถือพงศาวดารเป็นแกน) มักจะเป็นไปในลักษณะ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีบุญญาภินิหารและกรุณาธิคุณ ซึ่งตรงนี้มักจะสร้างความลำบากใจต่อผู้สนใจและศึกษา ในกรณีที่เกิดมีความเห็นแย้งหรือต้องการเสนอมุมมอง/ทฤษฏีที่แผกไป อย่างเช่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีกลุ่มทหารชั้นนายพลเอกต้องการจะยื่นศาลฟ้องข้อหมิ่นฯ (ม.๑๑๒) ต่อนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ข้อหมิ่นฯ สมเด็จพระณเรศวรฯ ???
ย้อนกลับมาที่ละคร “บุพเพสันนิวาส” ผมมองว่าเป็นความ “แยบยล” และฉลาดของนักประพันธ์ที่ใช้ได้ “สร้างพื้นที่” ให้ “สามัญชน” ได้เข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ผ่านบทละคร อย่างที่ผมได้เรียนไปแล้วว่าสมัญชนแทบจะไม่ได้มีบทบาทในประวัติศาสตร์ไทยมากมายนัก สามัญชนอย่าง “ ไอ้เสมา” จากละครเรื่อง “ขุนศึก” ที่ได้มีโอกาสไปโลดแล่นในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ยุคพระณเรศวรถือว่าน่าติดตามทีเดียว หรือแม้แต่ “ชาวบ้านบางระจัน” ที่ว่ากันว่า มีการกล่าวถึงจริงๆ ไม่กี่บรรทัดในพงศาวดาร แต่ต่อมาเรื่องราวของชาวบ้านบางระจันถูกมาขยายความในพงศาวดาวฉบับพระราชหัตฯ ไม่กี่ร้อยปีมานี้เองจนถูกขยายทำเป็นละครปลุกใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในภายหลัง ตัวอย่างตรงนี้ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจได้ว่า สามัญชนอย่างเราๆ ท่านๆ มักจะภูมิใจ,ดีใจ และตื่นเต้นที่ได้เห็นสามัญชนด้วยกันเข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ (แม้จะเป็นการ “อิง” ประวัติศาสตร์ก็ตาม)
ยิ่งสามัญชนใน
ยุคดิจิตอลอย่างเกศสุรางค์(ทางที่ถูกควรจะเรียกว่าวิญญาณของเกศสุรางค์) ถูกเขียนให้ได้มีโอกาสเข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์แล้วก็ยิ่งชวนตื่นเต้นและติดตาม ในทำนองคล้ายๆ กับ
สาวสมัยใหม่อย่าง “มณีจันทร์” ในเรื่อง “ทวิภพ” ที่เข้าไปโลดแล่นในหน้าประวัติศาสตร์ไทยยุคสมัยร.๕ หรือจะรวมเอาขวัญใจสามัญชนอย่าง “แม่พลอย” จาก “สี่แผ่นดิน” ก็น่าจะพออธิบายได้ว่าเหตุใดละครอิงประวัติศาตร์ไทยที่มีสามัญชนมีบทบาทจึงได้รับความนิยมสูง
มีข้อที่น่าสังเกตุที่ชวนให้ขบคิดก็คือ บทบาทจริงและเหตุการณ์จริงของ “สามัญชน” ที่เป็นชาวต่างชาติอย่าง เจ้าพระยาวิไชยเยน (แสตนติน ฟอลคอล), ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาซะ), ท้าวทองกีบม้า (มากีร์ กีมาร์), หรือแม้แต่แหม่มแอนนนา บุคคลเหล่านี้ได้โลดแล่นและสร้างสีสันให้กับประวัติศาสตร์ไทยอย่างตื่นเต้นและชวนติดตาม ในขณะที่ “สามัญชนไทย” มีโอกาสเข้าไปโลดแล่นในพื้นที่ประวัติศาสตร์ไทยเพียงแค่ผ่านบทละครในลักษณะที่ต้อง “อิง”
เครดิต: https://maanow.com
…."บุพเพสันนิวาส" กับการสร้าง "พื้นที่" ให้สามัญชนเข้าไปโลดแล่นบนหน้าประวัติศาสตร์..../วัชรานนท์
ผมสังเกตุว่าละครไทยอิงประวัติศาสตร์เกือบทุกเรื่องมักจะดังเปรี้ยงปร้าง ดูอย่าง "พันท้ายนรสิงห์" "บางระจัน" จับขึ้นมาทำละครหรือหนังทีไรก็ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับทั้งผู้สร้าง(ด้านการเงิน)และผู้ชม(ด้านความบันเทิง) แม้จะเป็นละครประเภท "ผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า" คือถูกสร้างเป็นละครตั้งแต่หลายๆ คนในที่นี้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำหลายเวอร์ชั่นหลายตอนก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ทำไม?
ในการพยายามมองสาเหตุว่าทำไมละครไทยอิงประวัติศาสตร์มักจะได้รับความนิยมสูงนั้น ผมมองว่า (คหสต)โครงร่างประวัติศาสตร์ไทยมีส่วนไม่น้อยเลย ตำราเรียนหรือหนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกนำและชำระมาจาก "พงศาวดาร" ซึ่งจะว่าไปแล้ว..... พงศาวดารเหล่านั้นก็คือบันทึกเหตุการณ์และกิจกรรมเกี่ยวกับและในราชสำนัก และถ้าจะพูดแบบให้เคร่งครัดขึ้นไปอีก "พงศาวดาร" ก็ถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแผ่นดินของแต่ละพระองค์ก็ว่าได้ ก็ต่อมาในภายหลังได้มีการพยายามรวบรวมพงศาวดารฉบับต่างๆ, บันทึกเหตุการณ์, ตำนาน, และรวมไปถึงจดหมายเหตุของชาวต่างชาติแล้วประมวลขึ้นเป็น "ประวัติศาสตร์ไทย" โดยที่ยึดพงศาวดารเป็นแกน(core) อีกด้านหนึ่งถือว่าเป็นการ "สร้างความทรงจำร่วม" ในหมู่คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างมองข้ามไม่ได้ ก็คือท่วงทำนองและสถานะของประวัติศาสตร์ไทย (ที่ถือพงศาวดารเป็นแกน) มักจะเป็นไปในลักษณะ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีบุญญาภินิหารและกรุณาธิคุณ ซึ่งตรงนี้มักจะสร้างความลำบากใจต่อผู้สนใจและศึกษา ในกรณีที่เกิดมีความเห็นแย้งหรือต้องการเสนอมุมมอง/ทฤษฏีที่แผกไป อย่างเช่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีกลุ่มทหารชั้นนายพลเอกต้องการจะยื่นศาลฟ้องข้อหมิ่นฯ (ม.๑๑๒) ต่อนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ข้อหมิ่นฯ สมเด็จพระณเรศวรฯ ???
ย้อนกลับมาที่ละคร “บุพเพสันนิวาส” ผมมองว่าเป็นความ “แยบยล” และฉลาดของนักประพันธ์ที่ใช้ได้ “สร้างพื้นที่” ให้ “สามัญชน” ได้เข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ผ่านบทละคร อย่างที่ผมได้เรียนไปแล้วว่าสมัญชนแทบจะไม่ได้มีบทบาทในประวัติศาสตร์ไทยมากมายนัก สามัญชนอย่าง “ ไอ้เสมา” จากละครเรื่อง “ขุนศึก” ที่ได้มีโอกาสไปโลดแล่นในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ยุคพระณเรศวรถือว่าน่าติดตามทีเดียว หรือแม้แต่ “ชาวบ้านบางระจัน” ที่ว่ากันว่า มีการกล่าวถึงจริงๆ ไม่กี่บรรทัดในพงศาวดาร แต่ต่อมาเรื่องราวของชาวบ้านบางระจันถูกมาขยายความในพงศาวดาวฉบับพระราชหัตฯ ไม่กี่ร้อยปีมานี้เองจนถูกขยายทำเป็นละครปลุกใจและได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในภายหลัง ตัวอย่างตรงนี้ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจได้ว่า สามัญชนอย่างเราๆ ท่านๆ มักจะภูมิใจ,ดีใจ และตื่นเต้นที่ได้เห็นสามัญชนด้วยกันเข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ (แม้จะเป็นการ “อิง” ประวัติศาสตร์ก็ตาม)
ยิ่งสามัญชนในยุคดิจิตอลอย่างเกศสุรางค์(ทางที่ถูกควรจะเรียกว่าวิญญาณของเกศสุรางค์) ถูกเขียนให้ได้มีโอกาสเข้าไปโลดแล่นในประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์แล้วก็ยิ่งชวนตื่นเต้นและติดตาม ในทำนองคล้ายๆ กับสาวสมัยใหม่อย่าง “มณีจันทร์” ในเรื่อง “ทวิภพ” ที่เข้าไปโลดแล่นในหน้าประวัติศาสตร์ไทยยุคสมัยร.๕ หรือจะรวมเอาขวัญใจสามัญชนอย่าง “แม่พลอย” จาก “สี่แผ่นดิน” ก็น่าจะพออธิบายได้ว่าเหตุใดละครอิงประวัติศาตร์ไทยที่มีสามัญชนมีบทบาทจึงได้รับความนิยมสูง
มีข้อที่น่าสังเกตุที่ชวนให้ขบคิดก็คือ บทบาทจริงและเหตุการณ์จริงของ “สามัญชน” ที่เป็นชาวต่างชาติอย่าง เจ้าพระยาวิไชยเยน (แสตนติน ฟอลคอล), ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาซะ), ท้าวทองกีบม้า (มากีร์ กีมาร์), หรือแม้แต่แหม่มแอนนนา บุคคลเหล่านี้ได้โลดแล่นและสร้างสีสันให้กับประวัติศาสตร์ไทยอย่างตื่นเต้นและชวนติดตาม ในขณะที่ “สามัญชนไทย” มีโอกาสเข้าไปโลดแล่นในพื้นที่ประวัติศาสตร์ไทยเพียงแค่ผ่านบทละครในลักษณะที่ต้อง “อิง”
เครดิต: https://maanow.com