ข่มขืนใจ ที่สุดของครอบครัวบางที่และต้นทุนชีวิตต่างกัน

ก่อนจะเข้าเนื้อเรื่องและแสดงความคิดเห็น แนะนำ รบกวนอ่านรายละเอียดเนื้อเรื่องที่ทุกๆคนคงจะเข้าใจ
***จะไม่ขอกล่าวพาดพิงอะไรมาก กล่าวเรื่องย่อซึ่งเป็นเรื่องของผมและในครอบครัวที่หลายๆคนอาจจะไม่เคยเห็นและชีวิตจริงไม่มีใครกล้าโกหก ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงต้องเอามาพูดหรือเอามาแชร์ในพันทริป เพราะเจอมากับตัวเองที่แสนจะขมขืนใจตนเองมาตลอด ขอเข้าเรื่องเลยล่ะกัน
ขอย้อนกลับไปในสมัยตอนเด็กนิดหน่อย เดิมที่แม่ผมมีลูกสองคน ซึ่งผมเป็นพี่ชายและมีน้องอีก 1 คน หลังจากพ่อผมเสีย ยายซึ่งเป็นแม่ของแม่ ได้พรากพี่พรากน้องออกจากกัน โดยให้น้องไปอยู่กับพี่สาวของแม่ ( พี่สาวคนโต ) และไม่ให้เห็นหน้าแม่ ซึ่งผมเป็นพี่ชายยอมรับว่าลำบากใจและชีวิตลำบากสุดๆ เพราะทนอยู่กับครอบครัวของแม่ที่เห็นแก่ตัว รักลูกหลานไม่เท่ากัน ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น หลังจากยายได้พรากพี่และน้องสำเร็จ และแม่ผมจำใจต้องลงไปทำงานใน กรุงเทพ ส่วนผมเองก็อยู่กับตาและยายที่เชียงราย ยอมรับเลยว่าสภาพไม่ต่างจาก กุลีข้างถนน ถูกบังคับให้ย้ายที่นอนมานอนใกล้ๆห้องครัว โดยใช้ตู้ทั้งหมดมากั้นไว้ ผ้าห่มและมุงก็เก่า จะผิดไม่ผิดก็ถูกตีบ่อย เงินไปโรงเรียนไม่เคยได้รับสักบาท แต่ที่หนักที่สุด น้า ( น้องสาวสุดท้องของแม่ ) ได้ขโมยเงินยายของผมไป 1 พันบาท กล่าวหาว่าผมเป็นคนขโมย และพาผมไปที่สถานีตำรวจทั้งๆที่ไม่มีความผิดอะไร ซึ่งมาทราบความจริงในภายหลังว่า ยายกับน้าได้วางแผนเพื่อใส่ความผมนี้เอง ซึ่งคนที่เปิดเผยเรื่องนี้คือน้าเขย แกก็ยอมรับว่าเคยทำอะไรไม่ดีกับผมไว้เยอะ ซึ่งน้าเขยได้เปิดอู่ซ่อมรถ ลูกตนเองไม่ใช้นะ ใช้ผมนี้แหละ พอผมจะรีบกลับไปบ้าน น้าเขยไม่ให้ไป ก็ใช้เท้าเหยีอบหัวผม และใช้เหล็กลวดฟาดขา ไม่ได้เพียงเท่านี้ น้าเขยและน้าคนรอง ต่างก็ดูถูกว่า เด็กไม่มีพ่อ มีแม่ ระวังมันจะติดยา เรียนไม่จบ ดูมันสิ บ้าๆบอ นอกจากนี้ ตอนใกล้จบ ป.6 วันเลิกเรียน ด้วยคำว่าเด็ก อยากไปเล่นกับเพื่อน ไปนั่งเล่นเกมส์กับเพื่อนที่โรงเรียนและปั่นจักรยานไป ส่วนมากไปก็ประมาณ 30 นาที แล้วก็กลับไปทำงานบ้านตามปกติ อีกวัน น้าคนรอง ก็ไปบอกยาย ว่าผมปั่นจักรยานไปหาเพื่อน ยายดั้นโมโห ใช้สันมีดเหล็กเคาะหัวตอนผมกินข้าวไปโรงเรียน เลือดตกเต็มจานข้าว ตาเห็นเหตุการณ์แบบนั้น ก็เกิดการทะเลาะเรื่องใช้สันมีดเคาะหัวจนหัวแตก
***ตอนใกล้จะจบ ป.6 เกือบจะไม่ได้เรียนต่อ แต่โชคเข้าข้างหน่อยแม่ของผมขึ้นไปบ้านและพอแม่เห็นเหตุการณ์ที่ผมได้เจอมา บวกกับชาวบ้านผู้ที่เห็นเหตุการณ์แบบนั้น สงสารและเล่าให้แม่ฟัง บอกกับแม่ว่าให้มารับผมไปเลยวันที่ 31 มีนาคม 2547 เมื่อเวลามาถึง แม่ก็ให้ไปอยู่นครสวรรค์ซึ่งอยู่กับสามีใหม่ของแม่ หลังจากไปอยู่นครสวรรค์ แม่ก็ทะเลาะกับสามีใหม่ แต่ญาติฝั่งพ่อเลี้ยงยังดีหน่อยเลยแนะนำให้ผมไปบวชเรียนซะ หลังจากผมบวชเรียน บวชได้ 6 ปี ทำให้เข้าใจความลำบากที่แท้จริง แต่ทว่าในช่วงชีวิตอยู่ในวัด แม่ก็มาขอเงินค่อนข้างบ่อย และตอนผมกำลังจำวัด เข้ามาขอเงินตอนดึกประมาณตี่ 3 - 4 น. พร้อมกับสามีใหม่อีกคนหนึ่ง ซึ่งทำงานขับรถสามล้อใน กทม. ( ซึ่งสามีคนที่ 2 เป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ ได้เลิกกันแล้ว ) ทำให้จำภาพติดตาได้ เมาสุรา สูบบุหรี่ แถมทำงานไม่ค่อยทนมีปัญหากับที่ทำงานทุกครั้ง ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ แต่ผมก็เตือนด้วยความหวังดีทุกครั้ง ถ้าเราไม่รักตนเองแล้วใครที่ไหนจะมารักเรา มิหนำซ้า น้องสาวของแม่สุดท้องที่จังหวัดเชียงรายได้ผลาญที่นาและที่ดิน 20 ไร่ไป จนญาติพี่น้องต้องแตกแยกกัน เพราะยายไม่แบ่งที่นาให้ใคร นอกจากน้าผมคนเดียว เพราะยายคิดว่าได้แฟนเป็นตำรวจ ได้ผัวดี แต่ที่ไหนได้ เป็นเมียน้อย ของตำรวจอีกทีหนึ่ง ซึ่งอยู่สภานีตำรวจแม่ลาว จ.เชียงราย
***หลังจากบวชเรียนได้ 6 ปี ก็ได้ทำการลาสิกขา แต่เนื่องจากผลการเรียนดีเด่น ทำให้ได้ทุน SET ซึ่งเป็นทุนของฝรั่งจากประเทศอังกฤษได้เรียนต่อโปรแกรมสาขาวิชาภาษาอังกฤษ และส่งตัวเองเรียน ไม่เคยได้ขอเงินจากแม่เลย เพราะแม่ก็ไม่มี บางครั้งแม่ก็โมโหหาว่าผมไม่ช่วย ทั้งๆที่ตัวผมเองยังเอาตัวไม่รอด ไปบอกกับป้าว่า เด็กมหาลัยยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ พอป้ามาเล่าให้ฟังก็น้อยใจนิดหนึ่งซึ่งไม่ถูกต้อง หากชีวิตผมจบ แม่ผมก็ต้องจบด้วย เพราะไม่มีฐานมาทั้งคู่ แถมน้องชายของลุงก็มาว่า คนอย่างมันจะเก่งกว่าน้ามันไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เพราะน้องชายของลุงเป็นคนที่โอนเอียงง่าย และแล้วมีวันหนึ่งได้ออกตามหาญาติฝั่งพ่อจนเจอ ซึ่งได้แอบสอบถามแม่เล็กๆน้อยๆ พร้อมกับปรึกษาลุง ที่เคยเป็นหัวหน้าคุมงานพ่อ ที่ กรุงเทพ ซึ่งอยู่เขตราชเทวี จนในที่สุดเจอญาติฝั่งพ่อ จนบอกไม่ถูกว่า จะดีใจหรือเสียใจ ยิ่งพูดเหมือนยิ่งตื้นตันใจ
***ณ ปัจจุบันตอนนี้เรียนจบแล้ว ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 และทำงานด้านสายการบิน ตำแหน่ง Ticketing พอน้า ผมรุ้ว่าทำงานดี พยายามจะใช้แม่ผมเป็นเครื่องมือเพื่อจะขอเงินจากผม เพราะน้าผมไม่ทำงานทำการอะไรเลยยตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆแล้ว แม้กระทั่งไปบ้าน ขอใบทะเบียนบ้านเพื่อไปดำเนินเรื่องบัตรทองให้แม่ ยังต้องซื้อของไปเส้นเลยครับ อยากจะรู้ว่านี้คือญาติพี่น้องเขาทำกันแบบนี้หรอ..ผมเห็นครอบครัวอื่นไม่ใช้แบบนี้ ช่างต่างกันเหลือเกิน ไม่ใช้เพียงเท่านี้ แม้กระทั่งรูปถ่ายอัลบั้มสมัยผมเป็นเด็กและสมัยบวชเณร น้า ( น้องสาวแม่ผม ) เอาไปเผาทิ้งในกองขยะ เเละว่าแม่ของผมว่า จะไม่ให้เอาของแม่ผมไว้ในบ้าน พร้อมกับเสื้อผ้าแกไปทิ้งด้วย แต่ว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พาแม่ผมมากินเหล้าที่บ้านตา พร้อมน้องชายของลุง พอน้องชายของลุงเมา น้า (น้องสาวของแม่) ยุ่ให้ลุงมาตีแม่ผมเฉย ไม่อยากจะเชื่อว่าอะไรจะปานนั้น
****เพราะฉะนั้น จึงอยากจะแชร์เรียนราวให้ฟังและเสนอความคิดเห็นได้เลย บางครั้ง ผมก็ต้องการกำลังใจ..บ้าง ไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีใครวางแผนชีวิตให้ ยืนด้วยตนเองเพียงลำพัง เพื่อเดินหน้าต่อไป ที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องราวย่อๆ และเป็นความจริงที่ไม่เคยโกหกใคร แต่ ณ วันนี้ต้องการที่จะแชร์และขอคำแนะนำ กำลังใจเล็กๆน้อยจากเพื่อนๆชาว Pantip ครับ ( หากต้องการจะแชร์หรือ forward อนุญาตครับเพื่อเป็นอุทาหรณ์ไว้กับตนเอง )
**** หากพิมพ์ผิดคำหรือตกบกพร่อง ต้องขอภัย ณ ที่นี้ ****
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่