มิชาเอล บัลลัค พระรองแห่งเยอรมัน

ตลอดชีวิตของ มิชาเอล บัลลัค อดีตจอมทัพทีมชาติเยอรมัน คว้าแชมป์ต่างๆ มาครองมากมายได้ถึง 14 แชมป์ แต่คนก็มักจะไปจดจำว่าเขาเป็น "เจ้าพ่อรองแชมป์" ซะมากกว่า สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าเวลาจะได้รองแชมป์ที "ไกเซอร์น้อย" มักจะได้แบบคอมโบจนเป็นที่จดจำ


เด็กหนุ่มจากเยอรมันตะวันออกเริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งกับทีมเยาวชน เชมนิต ซึ่งเป็นทีมท้องถิ่น และได้เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับ เชมนิตเซอร์ ซึ่งปัจจุบันทีมนี้อยู่ในระดับลีกา 3 โดยเขาเริ่มต้นด้วยการเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ และถึงแม้จะเล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นมากที่สุดคือการทำประตูแบบถล่มทลายของเขา


เจ้าของเสื้อหมายเลข 13 ทีมชาติเยอรมัน เกือบจะจบอาชีพนักฟุตบอลก่อนวัยอันควร เมื่อเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าสมัยที่ยังเป็นนักเตะเยาวชน เชมนิต โดยแพทย์เปิดเผยว่าเขาควรหันหลังให้กับฟุตบอล เพราะไม่อยากให้ บัลลัค เสี่ยงที่จะเดินไม่ได้ แต่โค้ชเยาวชนของทีมกลับคิดว่าเส้นทางชีวิตลูกหนังของเขายังไม่จบ โดยจัดการให้นักเตะแยกซ้อมกับทีม

การฝึกซ้อมครั้งนั้นเป็นการฟื้นฟูสภาพร่างกายเพียงอย่างเดียว และได้หล่อหลอมให้ บัลลัค กลายเป็นนักเตะที่ไม่ยอมแพ้ สู้จนถึงนาทีสุดท้าย และทำให้เขากลับมาแข็งแรงและแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ จนกลายเป็นบุคลิกของเจ้าตัวในเวลาต่อมา

ในปี 1995 บัลลัค ในวัย 19 ปี พา เชมนิตเซอร์ เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกา 2 ลีกรองของเยอรมัน และสามารถยึดตัวหลักของทีม ก่อนจะซัดไป 10 ประตูจากการลงเล่น 34 นัด ซึ่งจากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเด็กหนุ่มรายนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไกลจนถึงบุนเดสลีกา


ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของ บัลลัค ที่จะพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่บุนเดสลีกาและต้องการค้าแข้งในลีกสูงสุดของประเทศ ทำให้นักเตะทุ่มชนิดเต็มร้อย และหลังจากจบซีซั่นเขาก็ได้รับการติดต่อจาก ไกเซอร์สเลาเทิร์น ทีมน้องใหม่ในลีกสูงสุดของเยอรมัน และเจ้าตัวก็ตอบตกลงย้ายไปร่วมทัพ ซึ่งนั่นกลายเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้

ในซีซั่น 1997-98 บัลลัค เริ่มต้นด้วยการนั่งเป็นตัวสำรอง ก่อนที่เขาจะได้ลงเล่นและกลายเป็นแกนหลักของทีม โดยมิดฟิลด์ตัวเก่งพา ไกเซอร์ ขึ้นนำจ่าฝูงบุนเดสลีกา และสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกไปแบบม้วนเดียวจบ และถึงแม้ว่าซีซั่นถัดมาจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ เขาก็ยังคงเล่นได้ยอดเยี่ยม ก่อนจะย้ายไปร่วมทัพ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในเวลาต่อมา


บัลลัค พา "ห้างขายยา" ขึ้นเป็นจ่าฝูงของลีกในปี 1999 โดยในช่วงท้ายของฤดูกาล พวกเขามีแต้มนำ บาเยิร์น มิวนิค อยู่ 3 คะแนน และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ เลเวอร์คู่เซ่น แพ้ในนัดสุดท้าย ขณะที่ "เสือใต้" คว้าชัยชนะและแซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปแบบหน้าตาเฉย ซึ่งคนเจ็บปวดที่สุดก็คงจะเป็นกองกลางจอมทุ่มเทผู้นี้ เพราะเขาเป็นคนสกัดพลาดทำให้ทีมเสียประตูก่อนจะแพ้ 0-2 ซึ่งนั่นเป็นเหมือนการเริ่มต้นคำสาป


หลังจากนั้น บัลลัค ก็ถูกเรียกติดทีมชาติเยอรมัน ในชุดชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ฟุตบอลยูโร 2000 ที่เบลเยียมและฮอลแลนด์ และ "อินทรีเหล็ก" ชุดนี้ก็ไม่สามารถชนะใครได้เลย แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะหลังจากนั้น "ไกเซอร์น้อย" ก็ติดทีมชาติมาตลอด ก่อนที่ในปี 2002 เขาจะเป็นรองแชมป์แบบติดๆ กันถึง 3 รายการ! โดยเข้าป้ายอันดับ 2 ในบุนเดสลีกา และเป็นรองแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ขณะที่ในถ้วยยุโรป ถึงแม้จะพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ แต่ก็ต้องพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด ยอดทีมแห่งสเปน อย่างชอกช้ำแบบสุดๆ

ขณะที่ในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 บัลลัค นำทัพ เยอรมัน โชว์ฟอร์มแกร่งในทัวร์นาเมนต์ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ และพาทีมเข้าสู่รอบรองชนะเลิศที่พบกับ "โสมขาว" ที่หลุดเข้ามาแบบสุดเซอร์ไพร์ส โดยเกมนั้นเป็นเกมที่อึดอัดแต่ก็มาได้มิดฟิลด์ตัวเก่งก็สวมทฮีโร่จัดการซัดประตูชัย ทว่าเจ้าตัวต้องพลาดลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล เนื่องจากโชคร้ายโดนใบเหลืองสะสมครบทำให้ติดโทษแบน ก่อนที่ "อินทรีเหล็ก" จะพ่าย 0-2 ได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์โลก และนับเป็นรองแชมป์รายการที่ 4 ภายในปีเดียวของ บัลลัค


หลังจบบอลโลก บัลลัค ย้ายเข้าไปร่วมทัพ บาเยิร์น และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม พาทีมคว้าแชมป์ลีกเยอรมัน ในซีซั่น 2002-2003, 2004-2005 และ 2005-2006 รวมทั้งแชมป์เดเอฟเบ โพคาลในปี 2003, 2005 และ 2006 อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเขาก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยตำนานของทีมอย่าง คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ และ ฟร้านซ์ เบคเคนเบาเออร์ ทำให้สถานการณ์ในทีมนั้นตึงเครียด

ขณะที่ในปี 2006 ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพนั้น บัลลัค พาทีมเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 3 และหลังจบรายการนี้เขาก็ประกาศแยกทางกับ บาเยิร์น โดยย้ายไปหาประสบการณ์ในต่างแดนเป็นครั้งแรกกับ เชลซี ที่อังกฤษ แบบไม่มีค่าตัว ภายใต้การคุมทัพของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในช่วงเวลานั้น


บัลลัค ช่วย "สิงห์บลูส์" คว้าแชมป์บอลถ้วยอย่างลีก คัพ และเอฟเอ คัพ ในปี 2007-2008 ก่อนในปีถัดมาเจ้าตัวจะได้รับบาดเจ็บ และมีการเปลี่ยนแปลงทีม โดย เชลซี ได้แต่งตั้ง อัฟราม แกรนท์ เข้ามาคุมทัพ แม้ผลงานในช่วงปีแรกจะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ในปีถัดมาหลังจากหายเจ็บ เขาก็กลับมาระเบิดฟอร์มเยี่ยมอีกครั้ง ด้วยการพายอดทีมแห่งกรุงลอนดอนเข้าชิงถ้วยแชมเปี้ยนลีกส์ กับ แมนฯ ยู ไนเต็ด

แต่ก็เหมือนกับพระเจ้าไม่เป็นใจ เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นผู้ชนะในเกมนั้นไปในการยิงจุดโทษตัดสิน ขณะที่ถ้วยลีกคัพ เชลซี ก็พ่ายให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บอีก ส่วนในศึกพรีเมียร์ลีก ถึงแม้ยอดทีมแห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ พยายามทำแต้มไล่กวด "ปีศาจแดง" แต่ก็ไม่เพียงพอที่พวกเขาะแซงหน้าทำให้เข้าป้ายเพียงแค่รองแชมป์เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นในศึกยูโร 2008 นัดชิงชนะเลิศ เยอรมัน เจอกับ สเปน และพวกเขาก็โดน "กระทิงดุ" เฉือนไป 1-0 จนทำให้ในปีนั้น "ไกเซอร์น้อย" เป็นรองแชมป์ถึง 4 รายการอีกครั้ง!  

ในซีซั่น 2009-2010 เชลซี ภายใต้การคุมทัพของ คาร์โล อันเชล็อตติ นั้นมี บัลลัค เป็นตัวหลักและมีส่วนช่วยทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ แต่ว่าในนัดชิงฟุตบอลถ้วย กองลางเยอรมันโชคร้ายสุดๆ ถูก เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง เข้าเสียบสกัดจนเจ็บหนักและพลาดไปเล่นในศึกเวิลด์ คัพ ที่แอฟริกาใต้ ก่อนที่เขาจะประกาศอำลาทีมชาติเยอรมัน ในปี 2012 บัลลัค ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นให้ เลเวอร์คูเซ่น อีกครั้งในช่วงปั้นปลายอาชีพการค้าแข้ง ก่อนจะตัดสินใจยุติบทบาทนักฟุตบอลอาชีพของตัวเองด้วยวัย 36 ปี พร้อมปิดตำนานกองกลางหมายเลข 13


สำหรับ บัลลัค หากดูจากผลงานที่ผ่านๆ มานั้น จะเห็นว่าเขาคว้าแชมป์กับทีมมาอย่างมากมาย แต่ด้วยการที่ดันเป็น 4 รองแชมป์ในปีเดียวถึง 2 ครั้ง ก็ทำให้ถูกมองว่านั่นคือ "มิสเตอร์รองแชมป์" โดยถึงแม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสแชมป์โลกหรือแชมป์ยูโรเลยก็ตาม แต่ชายผู้นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทให้กับทีมถึงที่สุด เป็นผู้นำที่น่ายกย่อง และไม่เคยแสดงความย่อท้อออกมา จนทำให้กลายเป็นที่รักของแฟนบอลทั่วโลก และเป็นนักเตะที่คนรุ่นหลังสมควรยึดถือเป็นแบบอย่าง


credit : www.siamsport.co.th
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่