ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 10/3/2561 - เวรระงับด้วยเวรกลับไม่ได้

กระทู้คำถาม


สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ MC แอ๊ด (WANG JIE) เข้าประจำการครับ อมยิ้ม36

วันนี้ ขอเล่าเรื่องจากพระธรรมบทอีกสักครั้ง เพื่อเป็นคติเตือนใจ สำหรับคนผู้มีเวร หรือผู้ที่ถูกจองเวร ว่า ทั้งการผูกเวร ทั้งการจองเวร (จะเอาคืน) นั้น เปล่าประโยชน์ รังแต่จะสืบต่อไม่จบสิ้น และข้ามไปถึงชาติหน้าและชาติต่อๆไปอีกด้วยครับ

เรื่องมีอยู่ว่า....

บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง เมื่อพ่อตายไป ก็ทำงานเองทุกอย่างทั้งในนาและงานบ้าน ปรนนิบัติดูแลแม่อยู่  

ต่อมา แม่บอกเขาว่า "ลูกเอ๋ย แม่จักหาเมียมาให้เจ้า"

เขาตอบว่า "แม่ อย่างพูดอย่างนี้เลย ฉันจักปรนนิบัติแม่จนตลอดชีวิต"

"ลูกเอ๋ย เจ้าทำงานอยู่คนเดียวทั้งในนาและที่บ้าน ฉะนั้น แม่จึงไม่สบายใจเลย แม่จักหาเมียให้เจ้า"  

เขาแม้ห้ามหลายครั้ง แม่ก็ไม่ฟัง จึงนิ่งเสีย แล้วแม่ก็ออกจากเรือนไปสู่ตระกูลๆหนึ่ง

ขาถามแม่ว่า "แม่จะไปตระกูลไหน ?" เมื่อนางบอกตระกูลที่คิดจะไป ก็ห้ามแม่ไม่ให้ไปตระกูลนั้น แล้วบอกตระกูลที่มีหญิงที่ตนชอบ

แม่จึงไปตระกูลนั้น หมั้นกุลธิดาในตระกูลนั้นไว้แล้วกำหนดวันแต่งงาน จากนั้นจึงนำนางมาไว้ในเรือนของบุตร  

แต่ โชคร้าย กุลธิดานั้น เป็นหมัน !

แม่จึงพูดกับบุตรว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าให้แม่นำหญิงสาวมาให้ตามที่เจ้าชอบแล้ว แต่นางเป็นหมัน, ขึ้นชื่อว่าตระกูลที่ไม่มีบุตร ย่อมเสียหาย สืบต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม่จักนำหญิงอื่นมาอีก" ถึงแม้เขาห้ามว่า "อย่าเลย แม่" ก็ยังพูดอยู่ซ้ำๆซากๆ

หญิงหมันได้ยินคำนั้น จึงคิดว่า "ธรรมดาบุตร ย่อมไม่อาจขัดคำของพ่อแม่ บัดนี้แม่ผัวจักนำหญิงที่มีลูกได้มา แล้วก็คงจักใช้งานเราเยี่ยงนางทาสี, อย่ากระนั้นเลย เรานำเด็กสาวซักคนมาเสียเองเถิด" คิดแล้วจึงไปยังตระกูลๆหนึ่งแล้วขอกุลธิดาให้แก่สามี  

คนในตระกูลนั้นห้ามว่า "หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น"

"ฉันเป็นหมัน ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมเสียหาย สืบต่อไปไม่ได้ ลูกสาวของพวกท่าน ถ้ามีบุตร ก็จักได้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด พวกท่านโปรดยกนางให้สามีดิฉันเถิด"

พวกเขาจึงตอบรับ แล้วยกลูกสาวให้ นางจึงนำกุลธิดานั้นมาอยู่ด้วยกันในเรือนของสามี

ต่อมา หญิงหมันนั้น วิตกว่า "ถ้านังนี่มีลูก ก็จักเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติแต่ผู้เดียว, เราต้องหาวิธีทำให้นางไม่ได้ลูก" คิดแล้ว นางจึงพูดกับกุลธิดานั้นว่า "เมื่อไรเธอตั้งครรภ์ก็บอกฉันนะ"

กุลธิดานั้นตอบตกลง เมื่อตนตั้งครรภ์แล้ว ก็บอกแก่นาง นางก็เลี้ยงดูตนด้วยข้าวต้มและข้าวสวยเป็นนิจ

ภายหลัง หญิงหมันได้ให้ยาแท้งลูกปนกับอาหารแก่กุลธิดานั้น

กุลธิดาจึงแท้งลูก เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สอง นางก็บอกหญิงหมันอีก ฝ่ายหญิงหมันก็ทำให้นางแท้งลูกซ้ำอีกด้วยอุบายเดิม

แต่นั้น พวกหญิงสหายที่คุ้นเคยกัน ได้ถามนางว่า "หญิงร่วมสามี ทำอันตรายเธอบ้างไหม ?"

นางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้สหายทั้งหลายฟังแล้ว ก็ถูกตำหนิว่า "ยายโง่เอ๊ย ทำไมเธอทำอย่างนั้น ? หล่อนปรุงยาทำแท้งผสมข้าวให้เธอกิน เพราะกลัวว่าเธอจะเป็นใหญ่ ดังนั้นมันถึงทำให้เธอแท้ง,  เธออย่าได้ทำอย่างนี้อีกนะ"

ดังนั้น เมื่อเธอตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สาม จึงมิได้บอกหญิงหมันนั้น

ต่อมา หญิงหมันเห็นนางท้องโต จึงถามว่า "ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเธอตั้งครรภ์ ?"  เมื่อนางตอบว่า "เธอนำฉันมาแล้วทำให้ฉันแท้ง ๒ ทีแล้ว, ฉันจะบอกเธอทำไมเล่า ?"  

หญิงหมันคิดว่า "แย่แล้วสิเราตอนนี้" จึงหาจังหวะที่นางพลั้งเผลอ, เมื่อนางครรภ์แก่เต็มที่แล้ว จึงได้ช่องทางปรุงยาผสมข้าวให้นางกินอีก  

เมื่อถึงเวลาจะคลอด กุลธิดานั้นคลอดลูกไม่ได้ เพราะเด็กนอนขวางปากกำเนิด เวทนากล้าแข็งได้เกิดขึ้นแก่นางถึงขั้นจะเสียชีวิต แต่ก่อนจะสิ้นใจ นางตั้งความปรารถนาว่า "เราถูกมันทำให้พินาศแล้ว, มันเองนำเรามา ทำให้เราเสียลูกไปตั้งสามคนแล้ว, เราเองตอนนี้ก็จะพินาศไป, ณ บัดนี้ เราตายไปแล้ว ขอเกิดเป็นนางยักษิณีซึ่งสามารถเคี้ยวกินลูกๆของมันเถิด" แล้วตายไปเกิดเป็นนางแมวในเรือนนั้นเอง

ฝ่ายสามี จับผิดหญิงหมันได้แล้วกล่าวว่า "เธอทำให้ตระกูลของฉันขาดสูญ" แล้วใช้ทั้งศอกทั้งเข่าซ้อมนางจนตาย แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเอง

ต่อมา แม่ไก่ได้ออกไข่หลายฟอง นางแมว ก็มากินฟองไข่เหล่านั้นเสีย แม่ไก่ออกไข่มาอีกสองครั้ง นางแมวก็มากินเสียหมด

ในวาระสุดท้าย นางแมวมาอีก แม่ไก่จึงตั้งความปรารถนาว่า "มันกินไข่ของเราทั้งสามครั้ง ตอนนี้มันจะกินเราแล้ว เราตายไปเดี๋ยวนี้ ขอให้ได้กินมันพร้อมกับลูกของมันบ้างเถอะ" แล้วก็ถูกนางแมวกิน ตายไปเกิดเป็นแม่เสือ

ฝ่ายนางแมว เมื่อตายไป ได้เกิดเป็นแม่เนื้อ (สมัน)

ทุกคราวที่แม่เนื้อคลอดลูก แม่เสือก็มากินลูกๆของมันถึงสามครั้ง

เมื่อเวลาจะตาย แม่เนื้อ ตั้งความปรารถนาว่า "ลูกๆของเรา ถูกแม่เสือนี้กินตั้งสามครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันก็จักกินเราด้วย, ณ บัดนี้ เราตายไปแล้ว ขอให้ได้กินมันกับลูกของมันบ้าง" แล้วได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี

ส่วนแม่เสือ ตายแล้ว ไปเกิดเป็นธิดาของตระกูลๆหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี  เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลของสามี ที่บ้านใกล้ประตูพระนคร และคลอดบุตรคนหนึ่ง

นางยักษิณี แปลงร่างเป็นหญิงสหายของนางมาแล้วถามชาวบ้านว่า "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน ?"  

พวกชาวบ้านบอกว่า "นางคลอดบุตรอยู่ในห้อง"

นางยักษิณีฟังแล้วแสร้งพูดว่า "หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ ฉันจักขอดูเขาหน่อย" แล้วก็เข้าไปในห้องนั้น แสร้งทำเป็นว่ากำลังชมดูทารก พอชาวบ้านเผลอก็จับทารกเคี้ยวกิน แล้วก็จากไป

กุลธิดาตั้งครรภ์แล้วคลอดลูกคนที่สอง ทารกก็ถูกนางยักษิณีจับกินอีก

ครั้นหนที่สาม นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้วบอกว่า "พี่ นางยักษิณีตนหนึ่ง มากินลูกของฉันในที่นี้ตั้งสองคนแล้วก็ไป, ตอนนี้ ฉันจักกลับไปคลอดที่เรือนตระกูลฉัน" ว่าแล้วก็กลับไปยังเรือนตระกูลของตน คลอดบุตรที่นั่น  

ในกาลนั้น นางยักษิณี เป็นผู้ถึงคราวต้องไปส่งน้ำให้ท้าวเวสสุวรรณ  ซึ่งเป็นกฏที่เหล่ายักษิณีต้องทำ ต้องตักน้ำจากสระอโนดาดทูนบนศีรษะมาส่ง ตามวาระ ต่อเมื่อล่วงไปสี่หรือห้าเดือนจึงจะพ้นวาระ ยักษิณีตนอื่นๆ เมื่อตักน้ำไปส่งแล้ว มีร่างกายบอบช้ำ เสียชีวิตไปบ้างก็มี

ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วก็รีบไปสู่เรือนนั้น ถามว่า "หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน ?"  

พวกชาวบ้านบอกว่า  "ท่านจักพบเขาที่ไหนได้เล่า ? นางยักษิณีตนหนึ่งมากินลูกๆของเขาที่คลอดในที่นี้, ดังนั้นเขาจึงกลับไปเรือนตระกูลแล้ว"  

นางยักษิณีนั้นคิดว่า "มันไปไหนก็ช่าง จักไม่พ้นจากเราไปได้ดอก! ถูกพลังแห่งเวรกระตุ้นให้เกิดความอุตสาหะขึ้น จึงวิ่งบ่ายหน้าเข้าเมือง  

ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันที่จะตั้งชื่อลูก ให้ลูกอาบน้ำ ตั้งชื่อให้แล้วกล่าวกับสามีว่า "พี่ ตอนนี้ เราไปยังเรือนของเราเถิด" แล้วอุ้มลูกไปกับสามี  ตามหนทางซึ่งตัดผ่านไปถึงในท่ามกลางพระวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหาร แล้วขึ้นมารับเอาบุตร

เมื่อสามีกำลังอาบน้ำ นางยืนให้นมลูกอยู่ แลเห็นนางยักษิณีกำลังวิ่งมา ก็จำได้ จึงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า  "พี่! มาเร็วๆ  นี่คือนางยักษิณีนั้น" ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนกว่าสามีนั้นจะมาได้  จึงวิ่งกลับ มุ่งหน้าไปสู่ภายในวิหาร

ขณะนั้น พระบรมศาสดา กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท ฯ

นางกุลธิดานั้น  ให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้าแล้ว กราบทูลว่า "บุตรคนนี้ หม่อมฉันถวายแด่พระองค์แล้ว ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรหม่อมฉันด้วยเถิด"

สุมนเทพ ผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน

พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้วตรัสว่า  "อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา"  พระเถระก็เรียกนางยักษิณีมา  

นางกุลธิดา กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีมา"  

พระศาสดาตรัสว่า "นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย" แล้วตรัสกับนางยักษิณีผู้มาแล้วยืนอยู่ว่า "เหตุไรเธอจึงทำเช่นนี้ ?  ก็ถ้าพวกเธอไม่มาอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าเช่นเราแล้ว เวรของพวกเธอ ก็จักตั้งอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์  เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของอีกากับนกเค้า, พวกเจ้า ก่อเวรและจองเวรกันไปทำไม ? เพราะเวร ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร  มิใช่ระงับได้ด้วยเวร" แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

                                   นะ หิ เวเรนะ เวรานิ    สัมมันตีธะ  กุทาจะนัง
                                      อะเวเรนะ จะ สัมมันติ  เอสะ ธัมโม สะนันตะโน

                          เวรทั้งหลายในโลกนี้  ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย  ไม่ว่าในกาลไหนๆ
                          ก็แต่ว่า ย่อมระงับได้ ด้วยความไม่มีเวร, ธรรมข้อนี้ เป็นมาแต่โบราณ


ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีนั้น ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนา ได้สำเร็จประโยชน์แก่พุทธบริษัทผู้ประชุมกันอยู่เหมือนกัน
                          
พระศาสดา ได้ตรัสกะหญิงนั้นว่า "เจ้าจงให้บุตรของเจ้าแก่นางยักษิณีนี้เถิด"

นางทูลตอบว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว"

"เจ้าอย่ากลัวเลย, อันตรายจะไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้ ฯ   นางจึงได้ให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้น ฯ  

นางยักษิณีอุ้มทารกขึ้นมากอดจูบ แล้วคืนให้แก่ผู้เป็นแม่อีก และเริ่มร้องไห้ ฯ  

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามนางว่า "อะไรกันอีกล่ะนั่น ?"  

นางยักษิณีกราบทูลว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน หม่อมฉันแม้เลี้ยงชีพอยู่ได้ตามมีตามเกิด ยังไม่ได้อาหารพออิ่มท้อง, บัดนี้ หม่อมฉันจะเลี้ยงชีพได้อย่างไร" ?

ลำดับนั้น  พระศาสดา ตรัสปลอบนางว่า  "เจ้าอย่าวิตกเลย" แล้วตรัสกับกุลธิดานั้นว่า "เธอจงนำนางยักษิณีไป ให้อยู่ในเรือนของตน แล้วจงปรนนิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยชั้นดีนะ"

หญิงนั้น นำนางยักษิณีไปแล้วให้นางพักอยู่ในโรงกระเดื่อง ปรนนิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยชั้นดี ตามพระพุทธดำรัสสั่ง  

ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแก่นางยักษิณีนั้น ดุจทุบศีรษะของนางอยู่ฉะนั้น

นางจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้วบอกว่า "ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้  ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด"

แม้หญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในสถานที่คือ ในโรงสาก ข้างตุ่มน้ำ ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ  ริมประตูบ้าน, นางก็บอกว่า "ในโรงสากนี้ สากปรากฏดุจทุบหัวฉันอยู่, ที่ข้างตุ่มน้ำนี้ พวกเด็กๆชอบเอาน้ำซากเดนมาเททิ้ง, ที่ริมเตาไฟนี่ ฝูงสุนัขก็พากันมานอน, ที่ริมชายคานี้ พวกเด็กๆ ก็มาทำสกปรก, ที่ริมกองขยะนี้ ผู้คนก็มาเทขยะกัน, ที่ริมประตูบ้านนี้ พวกเด็กชาวบ้าน ก็มาเล่นพนันนับแต้มแข่งกัน" ดังนี้แล้ว ได้ห้ามที่ทุกแห่ง ฯ  

หญิงสหาย จึงให้นางยักษิณีพักอยู่ในที่สงัดนอกบ้าน แล้วนำโภชนาหารอย่างดีไปให้ ปรนนิบัตินางในที่นั้น นับแต่นั้น ฯ  

นางยักษิณีคิดว่า "เดี๋ยวนี้ หญิงสหายของเรานี้ เป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก, เอาเถิดเราจักตอบแทนบุญคุณสักประการหนึ่ง"  แล้วจึงบอกหญิงสหายว่า "ปีนี้จักมีฝนดี, เธอจงปลูกข้าวกล้าบนที่ดอน, ปีนี้จักมีฝนแล้ง เธอจงปลูกข้าวกล้าในที่ลุ่ม"  

ข้าวกล้าซึ่งชนทั้งหลายปลูกกัน เสียหายเพราะน้ำมากเกินไปบ้าง ด้วยน้ำน้อยบ้าง  ส่วนข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้น  ย่อมสมบูรณ์เต็มที่ ฯ

ชนเหล่านั้นถามว่า  "แม่คุณเอ๊ย ข้าวกล้าที่เธอปลูก ไม่เสียหายเพราะน้ำมากหรือน้ำน้อยเลย, เธอรู้ว่าฝนจะดีหรือฝนจะแล้ง แล้วจึงค่อยลงมือทำงานหรือ มันยังไงกันหนอ ?"        

นางบอกว่า "นางยักษิณีหญิงสหายฉัน บอกว่าฝนจะดีและฝนจะแล้งเมื่อไรแก่ฉัน, ฉันปลูกข้าวตามคำของนาง, ดังนั้น ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดี"

(ต่ออีกนิดครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่