เขียนเรื่องความรักจากมุมมองของผู้หญิงวัย 40+

ช่วงนี้ มีกระทู้อยู่สองกระทู้ที่ดิฉันค่อนข้างจะติดใจ  อันแรก ถามประมาณว่า มีด้วยหรือคู่ที่อยู่กันไปนาน ๆ เพราะหน้าที่ แต่ไม่ได้รักกันแล้ว (วัดความรักจากอะไรคะ และคิดว่ารักคืออะไร)  อมยิ้ม19    กับอีกกระทู้ถามถึงมุมมองของความรักจากคนอายุ 30+ แต่มุมมองของดิฉันค่อนข้างที่จะยาวเลยขออนุญาตตั้งกระทู้เขียนถึงเรื่องนี้ละกันนะคะ


         เป็นมุมมองของความรักจากสายตาของผู้หญิงวัย 40+ ที่กว่าจะมาถึงวัยนี้ ก็ผ่านโลก ผ่านความรัก ผ่านความทุกข์ ผ่านความไม่สมหวัง ผ่านความเจ็บปวดรวดร้าว ผ่านทั้งน้ำตาแห่งความสมหวังและผิดหวัง  ผ่านการใส่แว่นสายตาสีกุหลาบมองชีวิตมาแล้ว มาจนวันนี้ สิ่งที่มองผ่านสายตาที่บางครั้งต้องพึ่งแว่น มันไม่ถูกเคลือบฉาบด้วยสีชมพูกุหลาบอีกแล้ว หากแต่เป็นแว่นใสที่มองเห็นสภาพอะไรตามความเป็นจริง  

อมยิ้ม03


         เลยอยากเขียนแชร์ไว้ตรงนี้ค่ะ เผื่อน้อง ๆ หลาน ๆ จะได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งและพลวัตของความรักและความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนรูปไปเมื่อเวลาผ่านไป

พอคุณอายุ 40++

      -    คุณเลิกฝันถึงเจ้าชายขี่ม้าขาว รูปสวย รวยทรัพย์ นับวิชา หน้าตาดี มีมารยาท ชาติตระกูลเด่น มาขอคุณแต่งงานหรือมาตามตื๊อจีบคุณแล้ว แต่คุณก็ยังเลือกและเลือกมากกว่าแต่ก่อนด้วย เพราะประสบการณ์ตรงของคุณและที่มองเห็นของคนอื่นทำให้คุณเป็นคนแบบนั้น

      -    คุณเลือก “ความเข้าใจ ความเข้ากันได้ การยอมรับข้อเสียของกันและกัน ความรับผิดชอบ” มากกว่าจะมองปัจจัยภายนอกอื่น ๆ

     -    คุณเป็นฝ่ายที่ต้องรับฟังและเป็นที่ปรึกษาของคนทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นน้องวัยกระเตาะ รุ่นเพื่อน รุ่นพี่ จนกระทั่งบางครั้งคุณเป็นที่ระบายปัญหาของคนรุ่นน้า รุ่นอา รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ที่มาแก้ความเข้าใจของคุณเสียใหม่ว่า ที่คุณเห็นเค้าอยู่กันมาสาม สี่ ห้า ทศวรรษแล้วบางครั้งอาจมีท่าทางหวานชื่นด้วย เอ้า มันไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นหรอก ปัญหาที่เค้าเจอในเรื่องรักและความสัมพันธ์ก็วนเวียนอยู่ในแบบเดียวกับรุ่นหลาน รุ่นลูก เจอนั่นแหละ  เพียงแต่เค้าอาจจะนั่งทับมันได้นานกว่าและเค้าอาจจะมีศิลปะในการ “ทน” กับปัญหาได้มากกว่า

     -    คุณเปิดใจกว้างมากขึ้น และยอมรับว่า รักมันมีพลวัต การอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขบางครั้ง หมายถึง การต้องห่างออกมาเพื่อเว้นระยะให้ความสัมพันธ์ได้หายใจและเติบโตต่อไป

     -    คุณลังเลที่จะวิจารณ์สิ่งที่ครั้งหนึ่งคุณคิดว่า “แปลก”  และ "ทำไมเขาถึงทนนะ ?"  ในความสัมพันธ์ของผู้อื่น เพราะคุณได้เห็นแล้วว่า มีหลายเรื่องที่ลึกซึ้ง และซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างคุณจะไปแกว่งปากวิจารณ์อย่างเสีย ๆ หาย ๆ ใส่สีตีไข่เสียปานนั้น

    -    คุณเรียนรู้ว่า KPI ของความรักไม่ใช่เพียงการได้รับช่อดอกกุหลาบ ของขวัญ คำหวาน ความพึงใจทางเพศสัมพันธ์ ความหวานชื่นกระหนุงกระหนิง แต่ยังมีมิติอื่น ๆ ที่แม้จะไม่หวานชื่นแต่เป็นตัวบอกระดับความลึกซึ้งของความรักได้ไม่แพ้กันเช่น ความรับผิดชอบ การเสียสละ ความอดทน การรู้จักยืดหยุ่นและผ่อนสั้นผ่อนยาว

     -    คุณเรียนรู้แล้วว่า ความรักไม่ได้วนอยู่กับการรัก เฝ้าเอาใจ ลุ่มหลง และถูกลุ่มหลงอย่างเดียว แต่ยังมีมิติอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับสังคมภายนอก ดังนั้น การใช้เหตุผลกับความรักในการพิจารณาความเข้ากันได้ของนิสัยใจคอ พื้นเพครอบครัว และอนาคตที่อาจจะมีร่วมกัน เป็นสิ่งที่ดูเหมือน “ดีดลูกคิดรางแก้ว” แต่ผลลัพธ์ในลูกคิดที่คำนวณออกมาแล้วจะเป็นตัวชี้วัดถึงความยั่งยืนของความรักของคุณ

    -    คุณรู้วิธีที่จะ “เป็นตัวเอง” และปล่อยให้คู่ของคุณ “ได้เป็นตัวเองบ้าง” ภายในขอบเขตกติกาที่ครอบครัวคุณตั้งไว้ ซึ่งอาจไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น และคุณได้เรียนรู้ด้วยว่า หากคุณเอามาตรฐานครอบครัวอื่นมา “ครอบ” ภายใน “ครัว” ของคุณโดยไม่ปรับแต่งให้เหมาะสม มันอาจนำคุณไปสู่หายนะ

    -    คุณรู้แล้วว่า ในความสัมพันธ์ บางครั้งมันไม่มีอะไรผิดถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ คนที่ทำผิดไป เบื้องหลังความผิดเขาอาจมีความผิดคุณหนุนจนทำให้เขาเดินมาถึงวันนี้ก็ได้ หรือ เบื้องหลังความผิดคุณ ก็อาจมีเขาเป็นตัวผลักดัน การกล่าวโทษซึ่งกันและกันอย่างไม่ตัดกรรมและไม่ปล่อยวาง จะไม่มีวันทำให้อะไรดีขึ้น และแม้บางครั้ง เหตุการณ์จะชัดแจ้งว่า คุณไม่ผิด แต่มันจะเริ่มผิดก็ต่อเมื่อคุณยอมทนต่อไป ไม่จากมา แต่ยังคงไม่รามือในการกล่าวโทษและชี้มูลเหยียบย่ำซ้ำความผิดของคู่คุณให้แย่ลงไปอีก

    -    คุณได้เรียนรู้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครนิยามความรักได้หรอก ว่ามันคืออะไรกันแน่ และควรต้องทำอย่างไร มันขึ้นอยู่กับพึงพอใจของคู่รักมากกว่า เพราะงั้น อย่าด่วนตัดสินใคร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่