หลังการถอนตัวของทีมมหินทรา ค่ายรถจากอินเดีย ทำให้การคับเคี่ยวในรุ่น Moto3 ฤดูกาล 2018 นั้นเหลือเพียงแค่รถจาก Honda กับ KTM เท่านั้น ซึ่งสถานการณ์แบบนี้จะยิ่งทำให้การขับเคี่ยวระหว่าง 2 โรงงานนั้นจะทวีความเดือดยิ่งขึ้น มีดรามาเพิ่มขึ้น เหมือนกับมวยนัดชิงเหรียญทองในโอลิมปิคยังไงอย่างงั้น
Honda NSF250RW
ปีที่แล้ว Honda ปล่อยหมัดเด็ด น็อค KTM หงายท้องลงไปนอนกลางเวที ตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล เรียกได้ว่าแพ้แบบไร้ทางสู้ จนทำให้ KTM ต้องกลับมาทำการบ้านอย่างหนักและหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมาเอาคืนเพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหดอย่าง Honda ให้ได้ในปีนี้
แม้ผลงานจะเป็นรองฮอนด้าแบบทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น แต่ดูเหมือนว่า KTM นั้นยังมั่นใจในรถ RC250GP ของตัวเองนั้นเป็นรองแค่นิดๆ ไม่ได้ห่างอะไรมากนัก ผลในงานปี 2017 ไม่ควรจะแพ้หลุดรุ่ยขนาดนี้ ซึ่งพวกเค้าเชื่อว่าความสามารถของนักแข่งตัวคือสาเหตุที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในปีที่แล้ว จน ทำให้ทีมจากออสเตรียตัดสินใจรื้อนโยบายการจัดการใหม่กันเลยทีเดียว
KTM RC250GP
จากเดิม ทีม Aki Ajo นั้นจะเปรียบเสมือนเป็นทีมโรงงานอย่างไม่เป็นทางการของ KTM ซึ่งทีมนี้จะได้รับการดูแลโดยตรงจากโรงงานรวมถึงผู้สนับสนุนหลักอย่าง Red Bull ทำให้ทีมอื่นที่ใช้รถ RC250GP นั้นตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองแบบกลายๆ เมื่อเป็นแบบนี้ ทีมเหล่านั้นก็จะดึงนักแข่งฝีมือดีมาอยู่ด้วยได้ค่อนข้างลำบาก ทำให้ KTM สามารถดึงเด็กที่คิดว่าฝีมือดีหน่อยมาอยู่กับทีมได้แค่ปีละ 2-3 คนเท่านั้น ซึ่งบังเอิญว่าตัวเลือกนักแข่งทีมใหญ่ของ KTM ปีที่แล้วนั้นเหมือนโดนแจ็คพ็อต เข็นไม่ขึ้นกันทั้งคู่ สถานการณ์ก็เลยย่ำแย่หนัก
เอาไงดี
ต่างกับ Honda ที่ดูแลรถทุกทีม(หรือเกือบทุกทีม)แบบเท่าเทียม ทำให้ทีมเหล่านั้นจัดการเรื่องนักแข่งได้ดีกว่า นอกจากนี้ รถ NSF250RW ของค่ายปีกนกนั้นก็มาดี 2 ปีติดแล้ว ทำให้พวกเค้าสามารถคว้าชัยชนะไปแบบถล่มถลายถึง 17 จาก 18 สนาม ยังไม่ต้องนับโพเดี่ยมอีกเพียบ ทำคะแนนประเภทโรงงานทิ้งห่าง KTM ถึงเกือบๆ 200 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างชั้นกันมาก เหมือนย้อนเวลากลับไปเหมือนกับปี 2013 ซึ่งเป็นปีแรกของรุ่นนี้ ที่ตอนนั้น KTM เอาชนะ Honda อย่างขาดลอย (ตอนนั้น Honda เหมือนกับเอาปืนสั้นลูกโม่มาสู้กับปืนกลของ KTM 555)
KTM เลยตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยใช้วิธีเดียวกันกับ Honda ซึ่งทีม Red Bull KTM Ajo จะมีสถานะเป็นแค่ทีมลูกค้าทีมนึงของ KTM เท่านั้นรวมถึงทีมจะเหลือนักแข่งแค่คนเดียวด้วย นั่นก็คือ Darryn Binder น้องชายของแบรด บินเดอร์ แชมป์โลกโมโต 3 เมื่อปี 2016
แม้ว่าปีนี้ KTM จะตั้งใจกลับมาแก้มือให้ได้ แต่ดูเหมือนว่า รถของ KTM เองก็มีปัญหาไม่น้อยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่ฝีมือนักแข่งอย่างที่ผู้บริหารทีมเคยแก้ต่างไป โดยเฉพาะถ้าดูเวลาจากทดสอบที่เฆเรสล่าสุด 10 อันดับแรกมีรถ KTM อยู่แค่ 2 คันเท่านั้น จริงๆอันดับอาจจะบอกอะไรไม่ได้มาก แต่ระยะห่างของเวลาเนี่ยสิ ถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง รถ KTM ที่เร็วที่สุด นั้นตามรถของจอร์ช มาร์ตินอยู่ 0.6 วินาทีเลยทีเดียว
โอเคแหละว่านี่มันเป็นแค่การทดสอบ แต่ถ้าดูจากช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ รถของ Honda และ KTM จะไม่แยกกลุ่มกันชัดเจนขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นในการทดสอบหรือในการแข่ง ก็นะ หวังว่า KTM จะแก้ปัญหาได้ แต่ถึงตรงนี้ กำลังจะเปิดฤดูกาลอยู่แล้ว ก็บอกได้คำเดียวว่า เคทีเอ็มคงต้องเหนื่อยต่อ จะว่าไปแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่เหมือนกัน ถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ลูกค้าทีมใหญ่ๆอาจจะโบกมือบ๊ายบายได้หลังจบฤดูกาลนี้
นอกจากรถ NSF250RW ที่ดูดีมีสกุลแล้ว ฮอนด้ายังมีนักแข่งที่ฝีมือเด่นของรุ่นอยู่ในสังกัดเป็นกระบุง อย่าง 2 นักแข่งของทีม Gresini อย่างจอร์ช มาร์ติน #88 และฟาบิโอ ดิ จานนานโตนิโอ ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวเต็งที่จะได้ลุ้นแชมป์โลกกันทั้งคู่ อารอน แคเน็ทจากทีม EG0,0 ที่ก็เป็นอีกนักแข่งที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ รวมไปถึงอลองโซ่ โลเปซ จากทีม EG 0,0 ก็ขี่แบบมีทรง
Arón Canet
โดยเฉพาะในรายของ จอร์ช มาร์ตินกับแอรอน แคเน็ท ที่ดูแล้วน่าจะเป็น 2 นักแข่งที่จะขับเคี่ยวกันอย่างหนักไปตลอดทั้งฤดูกาล แม้ว่าแคเน็ทดูเหมือนจะมีเพียวสปีดที่เหนือว่านิดๆและเคยชนะมาแล้วหลายรายการ แต่ฟอร์มโดยรวมก็ไม่ได้ทิ้งหนีเจ้ามาร์ตินเท่าไหร่นัก คือขี่ดีกันทั้งคู่ อาจจะมีพลาด DNF บ้างแต่ก็ยังถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดีของรุ่นนี้ที่ล้มกันเป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าน่าจะวัดกันสนามต่อสนามเลยก็ว่าได้
Jorge Martín
ฤดูกาลนี้จะเป็นปีที่ 4 ของมาร์ติน ซึ่งผลงานปี 2017 นั้นต้องถือว่าทำได้เข้าตากรรมการมากๆ แถมยังดีต่อเนื่องมาถึงช่วงพรีซีซั่น ถ้าดูจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เค้าพีคที่สุดในรุ่นนี้ และปีหน้าคงถึงเวลาได้ขยับขึ้นไปรุ่น Moto2 แล้วล่ะ เพราะฉนั้น ชัยชนะ 4-5 สนามนี่น่าจะมีในกระเป๋าแน่ๆ จุดเด่นของเจ้ามาร์ตินคือเกาะโพเดี่ยมได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ
Marcos Ramírez
ทางด้าน KTM นั้นแม้ว่าจะได้จอห์น แมคฟีมาขี่ให้อีกแรง แต่ผลงานปีที่แล้วก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับพวกข้างบนแถมเป็นการเปลี่ยนรถด้วย ก็ไม่รู้ว่าแมคฟีจะปรับตัวได้ไวแค่ไหน มาครอส รามิเรส เจ้าหมอนี่ขี่ได้ดีจริงๆในปี 2017 แต่กระดูกยังไม่เคี่ยวพอ ต้องรอดูว่าปีนี้จะพัฒนาได้แค่ไหน คือขี่ได้คงเส้นคงวา เร็ว แต่การช่วงชิงโอกาสในรอบท้ายๆยังต้องเฉียบขาดกว่านี้
Philipp Öttl
อังเดร มิกโน่จากทีมแอสปา, ฟิลลิป ออตเทิลนักแข่งจากเยอรมนี อาจจะดูมีแววแต่ก็ยังถือว่าอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งนักแข่งในระยะนี้มักจะขาดความคงเส้นคงวา ส่วนทางด้านของดาริน บินเดอร์นั้น ปีที่แล้วอาจจะวูบว๊าบในบางสนาม แต่โดยรวมแล้วยังน่าจะต้องการเวลาอีกพักใหญ่ ก็ต้องรอดูว่าในปีนี้ ลุงโจ้แกจะปั้นดินให้เป็นดาวได้เหมือนกับพี่ชายของเค้ามั้ย
สำหรับภาพและทิศทางของรุ่นในปีนี้ อย่างที่บอกไปข้างบน ส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่จอร์ช มาร์ตินกับ แอรอน แคนเน็ท เป็น 2 นักแข่งที่มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกมากที่สุด นอกจาก 2 คนนี้แล้ว เด็กหนุ่มจากโรม อย่างจานนานโตนิโอ น่าจะเป็นอีกคนที่พอมีสิทธิ์จะได้ลุ้นแชมป์โลก แต่อาจจะดูเป็นรองเพื่อนร่วมทีมและแคนเน็ทอยู่นิดหน่อย คือโพเดี่ยมคงได้ขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่น่าจะยังต้องเสริมความเคี่ยวไปอีกซัก 1 ฤดูกาล
Fabio Di Giannantonio
ส่วนพวกแถว 2 ที่พอจะมีโอกาสสอดแทรกได้อีกบ้าง อาจจะไม่ถึงกับแชมป์โลกแต่พอจะสร้างปัญหาให้กับพวกแถวหน้าได้ ก็น่าจะมี อิเน บาสเตียนินี่ เอิ่ม...ชื่อนี้กล่าวถึงจนเบื่อแล้วอ่ะ 555 เรียกได้ว่าท่าดีทีเหลวมาตลอด ปีที่แล้วก็เพิ่งจะมาฟื้นในช่วงสนามท้าย แต่เอาน่า รถยังเป็น Honda เหมือนเดิม ด้วยประสบการณ์ที่มีมากกว่าใคร อาจจะกลับมาขี่ดีอีกครั้งก็ได้
ถ้าว่ากันตามตรง ฤดูกาลที่ 5 นี่น่าจะเป็นโอกาสกับทีมใหญ่เป็นปีสุดท้ายของเจ้าตัวแล้วล่ะ เพื่อนๆเค้าหนีไปโมโต 2 กันหมดแล้ว ถ้ายังทำได้ไม่ดีอีก ก็ตัวใครตัวมัน ที่น่าสังเกตุปีนี้จะได้เปลี่ยนสีเสื้อไปเป็นสีฟ้าเขียวของทีม Leopard Racing จากที่อยู่โทนสีดำฟ้ามาตลอดแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ถูกโฉลก อิอิ
John McPhee
ฝั่ง KTM ดูเหมือนจะมีแค่อังเดร มิกโน่, มากอซ รามิเรซกับจอห์น แมคฟีที่น่าจะพอลุ้นโพเดี่ยมได้บ้าง โดยเฉพาะในรายของมากอซ รามิเรซที่ดูเผินๆแล้วน่าจะเป็นนักแข่ง KTM ที่ขี่ได้คงเส้นคงวาที่สุดในตอนนี้ ส่วนแมคฟี เนื่องจากเป็นนักแข่งจากเกาะอังกฤษ ที่ฟอร์มนี่แกว่งกันเหลือเกิน ผลงานปีที่แล้วก็ไม่ได้แย่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะปรับตัวให้เข้ากับรถ KTM ได้ดีแค่ไหน
ฟิลลิป อ๊อทเทิ่ลก็อาจจะมีซัก 1-2 โพเดี่ยม ลิวิโอ ลอยจากทีมอวินเทีย ก็นะ อาจจะเคยขึ้นโพเดี่ยม แต่เหมือนฝีมือจะสู้คนอื่นไม่ได้ บูเลก้าจากทีม Sky เหรอ อืม... คงแบบนานๆมาที แต่ไม่น่าจะดีคงเส้นคงวาได้ตลอด ส่วนเจ้าฟ๊อกเกีย ซึ่งเป็นรุกกี้ ทีมคงยังไม่ไปกดดันเรื่องผลงานมากนัก
Dennis Foggia
จริงๆถือว่าทีม Sky VR46 นั้นเป็นทีมใหญ่นะ แต่ดูเหมือนว่าผลงานจะออกมาต่ำกว่าที่คาดเสมอ โดยเฉพาะในปีหลังๆ หรือว่าเลือกพาร์ทเนอร์ผิด 555 แต่ทีมของ Rossi อ่ะนะ จะให้ไปใช้รถของ HRC มันก็ดูกระไรอยู่ เว้นแต่ว่า KTM จะยกระดับรถ RC250GP ของตัวเองกลับขึ้นมาได้ นักแข่งในกลุ่มนี้ก็อาจจะกลับมาขี่ได้ดี เพราะฝีมือจริงๆแล้วก็ไม่ได้ขี่เหร่อะไร
D.Binner
ถ้าดูจากผลงานในช่วงพรีซีซั่น พวกที่อาจจะกลับมามีผลงานที่ดีอีกครั้ง นอกจากบาสเตียนนิเอนี่แล้ว ก็อาจจะมีนิโคโล่ อันโตเนลลี่อีกคน ที่พอได้กลับมาขี่รถ Honda แล้วดูเหมือนกว่าจะเข้ามือมากกว่า กลับกัน ที่น่าเป็นห่วงดูเหมือนจะเป็นรายของดาริน บินเดอร์ ที่พอได้มาอยู่กับทีมใหญ่แล้ว ผลงานนั้นดูตกไปกว่าเดิมซะอีก แต่ก็นะ ช่วงพรีซีซั่นอาจจะยังไม่เผยไต๋อะไรออกมานักก็ได้ แต่จริงๆดาริน บินเดอร์นั้น ยังไม่นิ่งเท่าพี่ชาย อันนี้ต้องดูว่าปีนี้จะดีขึ้นมั้ยสำหรับเรื่องนี้
ส่วนนักแข่งที่น่าจับตามอง ก็คงหนีไม่พ้น อลองโซ่ โลเปซ ที่เพิ่งจะขยับขึ้นมาแข่งในรุ่นนี้ให้กับทีมใหญ่อย่าง EG 0,0 โดยผู้จัดการทีมชื่อดังอย่าง อัลซาโมร่านั้นคาดหวังว่าลูกทีมของเค้าน่าจะเก็บโพเดี่ยมแรกได้ในปีนี้แหละ ซึ่งถ้าดูจากผลงานจากการทดสอบรถแล้วก็ต้องบอกว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก
Alonso Lopez
เป้าหมายของเจ้าโลเปซก็คือตำแหน่งนักแข่งหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ที่มีเจ้าฟ๊อกเกียคู่ปรับคนสำคัญจากทีม Sky ที่ขับเคี่ยวกันมาในรายการจูเนียร์ เวิร์ล แชมปเปี้ยนชิพเมื่อปีแล้วและเพิ่งจะขยับขึ้นมาในรุ่นโมโต 3 เหมือนกัน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเป็นนักแข่งอีกคนที่น่าสนใจ อีกคนที่ดูดีในช่วงพรีซีซั่นคือมาร์โค เบซเซคชี่ ที่ดูแล้วอาจจะเป็นนักแข่ง KTM ที่ทำผลงานได้ดีเกินคาด
Tatsuki Suzuki
ฝั่งนักแข่งเอเชียเรา เท็ตซึกิ ซูซูกิของทีม SIC58 น่าจะเป็นปีที่เติบโตของนักแข่งจากแดนซามูไรคนนี้ เช่นเดียวกันกับอายุมุ ซาซากิ ก็น่าจะยกระดับฝีมือของตัวเองขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน ดูทรงแล้วน่าจะมีแค่ 2 คนนี้สำหรับนักแข่งจากฝั่งตะวันออกที่น่าจะพอได้ออกกล้องถ่ายทอดสดกับเค้าบ้าง ส่วนเจ้าชิพของเรา ถ้าพูดกันตรงๆก็ต้องว่าเหนื่อย ที่พอจะได้ลุ้นก็คงเป็นสนามลุยฝนเหมือนเคย แต่ยังไงก็เอาใจช่วย สู้ๆ
เล่นที่สำคัญ ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากทุกๆแหล่งด้วยครับ
[MotoGP] 2018 โมโต 3 ซีซั่นพรีวิว: Honda vs KTM - ศึกแห่งศักดิ์ศรีของคู่อริข้ามทวีป
ปีที่แล้ว Honda ปล่อยหมัดเด็ด น็อค KTM หงายท้องลงไปนอนกลางเวที ตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล เรียกได้ว่าแพ้แบบไร้ทางสู้ จนทำให้ KTM ต้องกลับมาทำการบ้านอย่างหนักและหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมาเอาคืนเพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหดอย่าง Honda ให้ได้ในปีนี้
แม้ผลงานจะเป็นรองฮอนด้าแบบทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น แต่ดูเหมือนว่า KTM นั้นยังมั่นใจในรถ RC250GP ของตัวเองนั้นเป็นรองแค่นิดๆ ไม่ได้ห่างอะไรมากนัก ผลในงานปี 2017 ไม่ควรจะแพ้หลุดรุ่ยขนาดนี้ ซึ่งพวกเค้าเชื่อว่าความสามารถของนักแข่งตัวคือสาเหตุที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในปีที่แล้ว จน ทำให้ทีมจากออสเตรียตัดสินใจรื้อนโยบายการจัดการใหม่กันเลยทีเดียว
จากเดิม ทีม Aki Ajo นั้นจะเปรียบเสมือนเป็นทีมโรงงานอย่างไม่เป็นทางการของ KTM ซึ่งทีมนี้จะได้รับการดูแลโดยตรงจากโรงงานรวมถึงผู้สนับสนุนหลักอย่าง Red Bull ทำให้ทีมอื่นที่ใช้รถ RC250GP นั้นตกอยู่ในสถานะที่เป็นรองแบบกลายๆ เมื่อเป็นแบบนี้ ทีมเหล่านั้นก็จะดึงนักแข่งฝีมือดีมาอยู่ด้วยได้ค่อนข้างลำบาก ทำให้ KTM สามารถดึงเด็กที่คิดว่าฝีมือดีหน่อยมาอยู่กับทีมได้แค่ปีละ 2-3 คนเท่านั้น ซึ่งบังเอิญว่าตัวเลือกนักแข่งทีมใหญ่ของ KTM ปีที่แล้วนั้นเหมือนโดนแจ็คพ็อต เข็นไม่ขึ้นกันทั้งคู่ สถานการณ์ก็เลยย่ำแย่หนัก
ต่างกับ Honda ที่ดูแลรถทุกทีม(หรือเกือบทุกทีม)แบบเท่าเทียม ทำให้ทีมเหล่านั้นจัดการเรื่องนักแข่งได้ดีกว่า นอกจากนี้ รถ NSF250RW ของค่ายปีกนกนั้นก็มาดี 2 ปีติดแล้ว ทำให้พวกเค้าสามารถคว้าชัยชนะไปแบบถล่มถลายถึง 17 จาก 18 สนาม ยังไม่ต้องนับโพเดี่ยมอีกเพียบ ทำคะแนนประเภทโรงงานทิ้งห่าง KTM ถึงเกือบๆ 200 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างชั้นกันมาก เหมือนย้อนเวลากลับไปเหมือนกับปี 2013 ซึ่งเป็นปีแรกของรุ่นนี้ ที่ตอนนั้น KTM เอาชนะ Honda อย่างขาดลอย (ตอนนั้น Honda เหมือนกับเอาปืนสั้นลูกโม่มาสู้กับปืนกลของ KTM 555)
KTM เลยตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยใช้วิธีเดียวกันกับ Honda ซึ่งทีม Red Bull KTM Ajo จะมีสถานะเป็นแค่ทีมลูกค้าทีมนึงของ KTM เท่านั้นรวมถึงทีมจะเหลือนักแข่งแค่คนเดียวด้วย นั่นก็คือ Darryn Binder น้องชายของแบรด บินเดอร์ แชมป์โลกโมโต 3 เมื่อปี 2016
แม้ว่าปีนี้ KTM จะตั้งใจกลับมาแก้มือให้ได้ แต่ดูเหมือนว่า รถของ KTM เองก็มีปัญหาไม่น้อยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่ฝีมือนักแข่งอย่างที่ผู้บริหารทีมเคยแก้ต่างไป โดยเฉพาะถ้าดูเวลาจากทดสอบที่เฆเรสล่าสุด 10 อันดับแรกมีรถ KTM อยู่แค่ 2 คันเท่านั้น จริงๆอันดับอาจจะบอกอะไรไม่ได้มาก แต่ระยะห่างของเวลาเนี่ยสิ ถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วง รถ KTM ที่เร็วที่สุด นั้นตามรถของจอร์ช มาร์ตินอยู่ 0.6 วินาทีเลยทีเดียว
โอเคแหละว่านี่มันเป็นแค่การทดสอบ แต่ถ้าดูจากช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ รถของ Honda และ KTM จะไม่แยกกลุ่มกันชัดเจนขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นในการทดสอบหรือในการแข่ง ก็นะ หวังว่า KTM จะแก้ปัญหาได้ แต่ถึงตรงนี้ กำลังจะเปิดฤดูกาลอยู่แล้ว ก็บอกได้คำเดียวว่า เคทีเอ็มคงต้องเหนื่อยต่อ จะว่าไปแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่เหมือนกัน ถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ลูกค้าทีมใหญ่ๆอาจจะโบกมือบ๊ายบายได้หลังจบฤดูกาลนี้
นอกจากรถ NSF250RW ที่ดูดีมีสกุลแล้ว ฮอนด้ายังมีนักแข่งที่ฝีมือเด่นของรุ่นอยู่ในสังกัดเป็นกระบุง อย่าง 2 นักแข่งของทีม Gresini อย่างจอร์ช มาร์ติน #88 และฟาบิโอ ดิ จานนานโตนิโอ ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวเต็งที่จะได้ลุ้นแชมป์โลกกันทั้งคู่ อารอน แคเน็ทจากทีม EG0,0 ที่ก็เป็นอีกนักแข่งที่น่าจับตามองในฤดูกาลนี้ รวมไปถึงอลองโซ่ โลเปซ จากทีม EG 0,0 ก็ขี่แบบมีทรง
โดยเฉพาะในรายของ จอร์ช มาร์ตินกับแอรอน แคเน็ท ที่ดูแล้วน่าจะเป็น 2 นักแข่งที่จะขับเคี่ยวกันอย่างหนักไปตลอดทั้งฤดูกาล แม้ว่าแคเน็ทดูเหมือนจะมีเพียวสปีดที่เหนือว่านิดๆและเคยชนะมาแล้วหลายรายการ แต่ฟอร์มโดยรวมก็ไม่ได้ทิ้งหนีเจ้ามาร์ตินเท่าไหร่นัก คือขี่ดีกันทั้งคู่ อาจจะมีพลาด DNF บ้างแต่ก็ยังถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ดีของรุ่นนี้ที่ล้มกันเป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าน่าจะวัดกันสนามต่อสนามเลยก็ว่าได้
ฤดูกาลนี้จะเป็นปีที่ 4 ของมาร์ติน ซึ่งผลงานปี 2017 นั้นต้องถือว่าทำได้เข้าตากรรมการมากๆ แถมยังดีต่อเนื่องมาถึงช่วงพรีซีซั่น ถ้าดูจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เค้าพีคที่สุดในรุ่นนี้ และปีหน้าคงถึงเวลาได้ขยับขึ้นไปรุ่น Moto2 แล้วล่ะ เพราะฉนั้น ชัยชนะ 4-5 สนามนี่น่าจะมีในกระเป๋าแน่ๆ จุดเด่นของเจ้ามาร์ตินคือเกาะโพเดี่ยมได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ
ทางด้าน KTM นั้นแม้ว่าจะได้จอห์น แมคฟีมาขี่ให้อีกแรง แต่ผลงานปีที่แล้วก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนกับพวกข้างบนแถมเป็นการเปลี่ยนรถด้วย ก็ไม่รู้ว่าแมคฟีจะปรับตัวได้ไวแค่ไหน มาครอส รามิเรส เจ้าหมอนี่ขี่ได้ดีจริงๆในปี 2017 แต่กระดูกยังไม่เคี่ยวพอ ต้องรอดูว่าปีนี้จะพัฒนาได้แค่ไหน คือขี่ได้คงเส้นคงวา เร็ว แต่การช่วงชิงโอกาสในรอบท้ายๆยังต้องเฉียบขาดกว่านี้
อังเดร มิกโน่จากทีมแอสปา, ฟิลลิป ออตเทิลนักแข่งจากเยอรมนี อาจจะดูมีแววแต่ก็ยังถือว่าอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งนักแข่งในระยะนี้มักจะขาดความคงเส้นคงวา ส่วนทางด้านของดาริน บินเดอร์นั้น ปีที่แล้วอาจจะวูบว๊าบในบางสนาม แต่โดยรวมแล้วยังน่าจะต้องการเวลาอีกพักใหญ่ ก็ต้องรอดูว่าในปีนี้ ลุงโจ้แกจะปั้นดินให้เป็นดาวได้เหมือนกับพี่ชายของเค้ามั้ย
สำหรับภาพและทิศทางของรุ่นในปีนี้ อย่างที่บอกไปข้างบน ส่วนตัวให้น้ำหนักไปที่จอร์ช มาร์ตินกับ แอรอน แคนเน็ท เป็น 2 นักแข่งที่มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์โลกมากที่สุด นอกจาก 2 คนนี้แล้ว เด็กหนุ่มจากโรม อย่างจานนานโตนิโอ น่าจะเป็นอีกคนที่พอมีสิทธิ์จะได้ลุ้นแชมป์โลก แต่อาจจะดูเป็นรองเพื่อนร่วมทีมและแคนเน็ทอยู่นิดหน่อย คือโพเดี่ยมคงได้ขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่น่าจะยังต้องเสริมความเคี่ยวไปอีกซัก 1 ฤดูกาล
ส่วนพวกแถว 2 ที่พอจะมีโอกาสสอดแทรกได้อีกบ้าง อาจจะไม่ถึงกับแชมป์โลกแต่พอจะสร้างปัญหาให้กับพวกแถวหน้าได้ ก็น่าจะมี อิเน บาสเตียนินี่ เอิ่ม...ชื่อนี้กล่าวถึงจนเบื่อแล้วอ่ะ 555 เรียกได้ว่าท่าดีทีเหลวมาตลอด ปีที่แล้วก็เพิ่งจะมาฟื้นในช่วงสนามท้าย แต่เอาน่า รถยังเป็น Honda เหมือนเดิม ด้วยประสบการณ์ที่มีมากกว่าใคร อาจจะกลับมาขี่ดีอีกครั้งก็ได้
ถ้าว่ากันตามตรง ฤดูกาลที่ 5 นี่น่าจะเป็นโอกาสกับทีมใหญ่เป็นปีสุดท้ายของเจ้าตัวแล้วล่ะ เพื่อนๆเค้าหนีไปโมโต 2 กันหมดแล้ว ถ้ายังทำได้ไม่ดีอีก ก็ตัวใครตัวมัน ที่น่าสังเกตุปีนี้จะได้เปลี่ยนสีเสื้อไปเป็นสีฟ้าเขียวของทีม Leopard Racing จากที่อยู่โทนสีดำฟ้ามาตลอดแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ถูกโฉลก อิอิ
ฝั่ง KTM ดูเหมือนจะมีแค่อังเดร มิกโน่, มากอซ รามิเรซกับจอห์น แมคฟีที่น่าจะพอลุ้นโพเดี่ยมได้บ้าง โดยเฉพาะในรายของมากอซ รามิเรซที่ดูเผินๆแล้วน่าจะเป็นนักแข่ง KTM ที่ขี่ได้คงเส้นคงวาที่สุดในตอนนี้ ส่วนแมคฟี เนื่องจากเป็นนักแข่งจากเกาะอังกฤษ ที่ฟอร์มนี่แกว่งกันเหลือเกิน ผลงานปีที่แล้วก็ไม่ได้แย่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะปรับตัวให้เข้ากับรถ KTM ได้ดีแค่ไหน
ฟิลลิป อ๊อทเทิ่ลก็อาจจะมีซัก 1-2 โพเดี่ยม ลิวิโอ ลอยจากทีมอวินเทีย ก็นะ อาจจะเคยขึ้นโพเดี่ยม แต่เหมือนฝีมือจะสู้คนอื่นไม่ได้ บูเลก้าจากทีม Sky เหรอ อืม... คงแบบนานๆมาที แต่ไม่น่าจะดีคงเส้นคงวาได้ตลอด ส่วนเจ้าฟ๊อกเกีย ซึ่งเป็นรุกกี้ ทีมคงยังไม่ไปกดดันเรื่องผลงานมากนัก
จริงๆถือว่าทีม Sky VR46 นั้นเป็นทีมใหญ่นะ แต่ดูเหมือนว่าผลงานจะออกมาต่ำกว่าที่คาดเสมอ โดยเฉพาะในปีหลังๆ หรือว่าเลือกพาร์ทเนอร์ผิด 555 แต่ทีมของ Rossi อ่ะนะ จะให้ไปใช้รถของ HRC มันก็ดูกระไรอยู่ เว้นแต่ว่า KTM จะยกระดับรถ RC250GP ของตัวเองกลับขึ้นมาได้ นักแข่งในกลุ่มนี้ก็อาจจะกลับมาขี่ได้ดี เพราะฝีมือจริงๆแล้วก็ไม่ได้ขี่เหร่อะไร
ถ้าดูจากผลงานในช่วงพรีซีซั่น พวกที่อาจจะกลับมามีผลงานที่ดีอีกครั้ง นอกจากบาสเตียนนิเอนี่แล้ว ก็อาจจะมีนิโคโล่ อันโตเนลลี่อีกคน ที่พอได้กลับมาขี่รถ Honda แล้วดูเหมือนกว่าจะเข้ามือมากกว่า กลับกัน ที่น่าเป็นห่วงดูเหมือนจะเป็นรายของดาริน บินเดอร์ ที่พอได้มาอยู่กับทีมใหญ่แล้ว ผลงานนั้นดูตกไปกว่าเดิมซะอีก แต่ก็นะ ช่วงพรีซีซั่นอาจจะยังไม่เผยไต๋อะไรออกมานักก็ได้ แต่จริงๆดาริน บินเดอร์นั้น ยังไม่นิ่งเท่าพี่ชาย อันนี้ต้องดูว่าปีนี้จะดีขึ้นมั้ยสำหรับเรื่องนี้
ส่วนนักแข่งที่น่าจับตามอง ก็คงหนีไม่พ้น อลองโซ่ โลเปซ ที่เพิ่งจะขยับขึ้นมาแข่งในรุ่นนี้ให้กับทีมใหญ่อย่าง EG 0,0 โดยผู้จัดการทีมชื่อดังอย่าง อัลซาโมร่านั้นคาดหวังว่าลูกทีมของเค้าน่าจะเก็บโพเดี่ยมแรกได้ในปีนี้แหละ ซึ่งถ้าดูจากผลงานจากการทดสอบรถแล้วก็ต้องบอกว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก
เป้าหมายของเจ้าโลเปซก็คือตำแหน่งนักแข่งหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ที่มีเจ้าฟ๊อกเกียคู่ปรับคนสำคัญจากทีม Sky ที่ขับเคี่ยวกันมาในรายการจูเนียร์ เวิร์ล แชมปเปี้ยนชิพเมื่อปีแล้วและเพิ่งจะขยับขึ้นมาในรุ่นโมโต 3 เหมือนกัน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเป็นนักแข่งอีกคนที่น่าสนใจ อีกคนที่ดูดีในช่วงพรีซีซั่นคือมาร์โค เบซเซคชี่ ที่ดูแล้วอาจจะเป็นนักแข่ง KTM ที่ทำผลงานได้ดีเกินคาด
ฝั่งนักแข่งเอเชียเรา เท็ตซึกิ ซูซูกิของทีม SIC58 น่าจะเป็นปีที่เติบโตของนักแข่งจากแดนซามูไรคนนี้ เช่นเดียวกันกับอายุมุ ซาซากิ ก็น่าจะยกระดับฝีมือของตัวเองขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน ดูทรงแล้วน่าจะมีแค่ 2 คนนี้สำหรับนักแข่งจากฝั่งตะวันออกที่น่าจะพอได้ออกกล้องถ่ายทอดสดกับเค้าบ้าง ส่วนเจ้าชิพของเรา ถ้าพูดกันตรงๆก็ต้องว่าเหนื่อย ที่พอจะได้ลุ้นก็คงเป็นสนามลุยฝนเหมือนเคย แต่ยังไงก็เอาใจช่วย สู้ๆ
เล่นที่สำคัญ ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากทุกๆแหล่งด้วยครับ