ตามประกาศกรมสุลกากร ที่ 60/2561 วันนี้ได้เอาข้อมูลที่อ่านแล้วทุกท่านคงเข้าใจนะค่ะ (ไม่ใช้ภาษากฏหมายเพราะบางคนไม่เข้าใจ)

เกิดกระแสด่ากันสนั่นโลกโซเชียลเมื่อวานนี้ หลังจากที่มีหลายสำนักข่าวออนไลน์พากันพาดหัวแบบไร้มาตรฐาน
ยุยงให้คนพากันเข้าใจผิดว่า ‘บินไปนอก แบกโน้ตบุ๊ก กล้องถ่ายรูป ต้องแจ้งศุลกากรทุกครั้ง’
พานให้คนเข้าใจผิดเป็นอย่างมาก แถมไม่อธิบายข้อมูลให้ละเอียดอีกต่างหาก จริงๆ
ตัวบทกฏหมายศุลกากรนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิด และเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้โดยสารเสียด้วยซ้ำ
แถมเป็นกฏหมายเก่าที่เคยมีมานานหลายสิบปีก่อนหน้านี้และถูกยกเลิกไป แต่เพิ่งมีประกาศให้มีผลบังคับใช้อีกครั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
     เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ขอเปิดประเด็นที่ขาเข้าก่อน ซึ่งหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่ากฏหมายศุลกากรบ่งบอกไว้ว่า
‘ของติดตัวผู้โดยสารที่ได้รับการยกเว้นอากร คือของใช้ส่วนตัวที่มีปริมาณสมควรสำหรับใช้ส่วนตนและมีมูลค่ารวมทั้งหมดไม่เกิน 20,000 บาท
(ซึ่งมิใช่ของต้องห้าม ของต้องกำกัด หรือเสบียง)’

     หมายถึงถ้าชัวร์ว่าไม่ได้ช็อปอะไรมาเกิน ‘20,000 บาท’ ก็สามารถเดินผ่านช่องเขียว (Nothing to Declare) เดินเชิดๆ ผ่านเลยออกไปได้
แต่ถ้าช็อปมาเกิน ก็กรุณาแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าช่องแดง (Goods to Declare) เพื่อให้เจ้าหน้าที่พิจารณาเก็บภาษี
แต่ถ้าช็อปมาเกินแล้วยังตีหน้าซื่อเดินเข้าช่องเขียว ถ้าถูกสุ่มตรวจเจอจะโดน ‘ข้อลงโทษหากหลีกเลี่ยงการสำแดง! – โดนปรับ 4 เท่าของมูลค่าของ
บวกค่าภาษีและอากร หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และของที่หลีกเลี่ยงการชำระอากรต้องถูกริบเป็นของแผ่นดิน
ตามกฎหมายศุลกากร’ ซึ่งเราก็ต้องยอมรับตามความจริงว่าทุกคนต่างเดินผ่านเข้าช่องเขียวกันทั้งนั้น และเจ้าหน้าที่ก็จะทำการสุ่มตรวจเอา
ตรงนี้พูดกันตรงๆ ก็เหมือนกับการวัดดวงนั่นแหละ ถ้าบอกว่าไม่มีมาตรฐาน… หรือจะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกระเป๋าทุกใบอย่างละเอียดไหมล่ะ
ก็คงโวยวายกันอีก และคิวต่อแถวคงยาวเฟื้อย
     หลายคนบ่นว่า 20,000 บาทมันน้อยเหลือเกิน น่าจะเพิ่มเป็นสักแสน มันก็ไม่ได้ไงเพราะตามกฎหมายภาษีศุลกากร
สินค้านำเข้าทุกอย่าง (ไม่ว่าทางใดก็ตาม) ต้องเสียภาษี หากเราจะอยากซื้ออะไรก็ควรซื้อในประเทศซึ่งสินค้าได้ผ่านการเสียภาษีอย่างถูกต้องมาแล้ว
ดังนั้นที่อะลุ่มอล่วยเพิ่มให้จากเดิม 10,000 บาทเป็น 20,000 บาท นี่ก็นับว่าอินเตอร์มากแล้ว และอย่าหาว่าเมืองไทยใจโหด
ของอเมริกาอนุญาตให้คนละ 800 เหรียญ ต่างกับเราไม่เท่าไหร่
     
      มาถึงประเด็นร้อนที่สำนักข่าวออนไลน์พาดหัวว่า ‘บินไปนอก แบกโน้ตบุ๊ก กล้องถ่ายรูป ต้องแจ้งศุลกากรทุกครั้ง’
นี่ก็เป็นการเข้าใจผิด เพราะกฏหมายจริงๆ เขียนไว้ว่า “การรับแจ้งของมีค่าที่ผู้โดยสารนำติดตัวออกไปนอกราชอาณาจักร:
สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ที่จะนำของมีค่าออกไป ซึ่งเป็นของเก่าที่ใช้แล้ว
และมีจำนวนหรือปริมาณพอสมควร รวมทั้งมีเครื่องหมาย เลขหมายที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น นาฬิกา กล้องถ่ายวิดีโอ กล้องถ่ายรูป
คอมพิวเตอร์สำหรับพกพา เพื่อเป็นหลักฐานในการขอรับการยกเว้นอากรในฐานะของใช้ส่วนตัวตอนนำติดตัวกลับเข้ามาพร้อมกับตน
ให้แจ้งต่อพนักงานศุลกากร ณ ห้องที่ทำการศุลการกรบริเวณห้องผู้โดยสารขาออก เมื่อพนักงานศุลกากรตรวจสอบของที่จะนำออกไปแล้ว
จะมอบใบรับแจ้งของมีค่าที่ผู้โดยสารนำติดตัวออกไปและจะนำกลับเข้ามาพร้อมกับตน เพื่อแสดงต่อพนักงานศุลกากรช่องแดงในวันเดินทางกลับเข้าประเทศไทย…
     ทั้งนี้ของมีค่าหรือของส่วนตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวไปขณะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรและใช้เป็นปกติวิสัยในระหว่างการเดินทาง
หรือเป็นเครื่องประดับการแต่งกายตามปกติ ไม่ต้องแจ้งต่อพนักงานศุลกากร” นั่นหมายถึงถ้าคุณมีโทรศัพท์มือถือสามหมื่นบาท
แมคบุ๊กสามสี่หมื่นที่ติดไปทำงาน กล้องถ่ายรูปส่วนตัวที่ใช้อยู่แล้ว นาฬิการาคาแพงที่อยู่บนข้อมือ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นได้
แต่สมมติว่าเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ และกังวลว่าขากลับเข้ามาจะมีปัญหาก็ควรยื่นไว้ก่อนออก เพื่อความสบายใจ
     ข้อปฏิบัตินี้ไม่ใช่ข้อบังคับ ย้ำว่าไม่ใช่ข้อบังคับ ย้ำว่าไม่ต้องยื่นทุกครั้ง และย้ำว่าไม่ต้องยื่นทุกคน
แต่ที่มีข้อปฏิบัตินี้ก็เพื่อเอื้อต่อผู้ที่จะนำของมีค่าออกไปปฏิบัติงาน อย่างกล้องถ่ายรูปราคาหลายแสนของช่างภาพมืออาชีพ
กล้องราคาเกือบล้านของทีมงานถ่ายหนังหรือละคร บางคนต้องใช้โน้ตบุ๊กราคาแพงไปทำงานต่างประเทศ
หรือเจ้าของแบรนด์นาฬิกาหรูต้องนำนาฬิกาหลายเรือนไปจัดแสดงในงานต่างประเทศ ฯลฯ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา
ไม่ต้องเกิดข้อซักถาม เวลาเดินทางกลับเข้าประเทศ

     เมื่อราว 30 ปีก่อนสมัยที่ยังใช้ดอนเมืองเป็นสนามบินหลัก ก็มีการเข้มงวดให้ไปบันทึกกันอยู่พักหนึ่ง
แต่ไม่นานก็ยกเลิกไปเพราะเจอทัวร์เข้าไปหลายๆ กรุ๊ปเข้าแถวยาวเหยียดล้นออกมานอกห้อง ตกไฟลท์กันเป็นแถว หลังๆ จึงมีเฉพาะคนไปทำงานถ่ายทำละคร กองแฟชั่น หรือพวกออกไปทำเอ็กซิบิชั่นที่จะไปยื่นแสดงอุปกรณ์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ เพื่อเซฟตัวเองตอนขาเข้า ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่อยากเอากระเป๋าแบรนด์เนม 7 ใบ หรือนาฬิกาหรู 7 เรือนที่ตนเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ไปหิ้วที่ฝรั่งเศสไม่ซ้ำวันแล้วนำกลับเข้ามาอีกครั้ง ก็สามารถนำไปบันทึกไว้ก่อนออกเดินทางก็ได้ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในขาเข้าดังที่ว่ามา
     อีกประเด็นหนึ่งที่ร้อนแรงไม่เบาก็คือข้อที่ระบุว่า “ของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรขาออกในเมือง
หรือร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารผู้โดยสารขาออก ณ สนามบิน จะต้องนำออกไปนอกราชอาณาจักรเท่านั้น หากนำกลับเข้ามาให้ผ่านการตรวจที่ช่องแดง (Goods to Declare) และชำระอากร"

     หลายคนคงไม่รู้ว่านี่ก็เป็นกฏหมายเก่า เพราะจริงๆ “ตามหลักการในการจัดร้านค้าปลอดอากรขาออกในสนามบิน
เป็นการให้สิทธิ์แก่ผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อนำสินค้าปลอดอากรออกไปนอกราชอาณาจักร ตามประกาศกรมศุลการกรที่ 20/2549 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2549....” [ ] โดยผู้ซื้อจะต้องนำของที่ซื้อออกไปนอกราชอาณาจักรภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ซื้อ หากพ้นระยะเวลาที่กำหนดให้ร้านค้าปลอดอากรจัดทำบัญชีของที่มิได้นำออกภายในกำหนดตามแบบ กศก.66/1
และต้องรับผิดชอบในค่าภาษีอากรสำหรับของดังกล่าว…”
     อธิบายง่ายๆ ก็คือสินค้าในดิวตี้ฟรี จริงๆ แล้วต้องซื้อและนำออกนอกประเทศเท่านั้น หากนำกลับเข้ามาในประเทศ
ก็ถือให้รวมอยู่ในมูลค่า 20,000 บาทของที่คุณนำเข้า หากเกินต้องจ่ายค่าภาษีอากร แต่ไม่ใช่ว่าสินค้าทุกชิ้นที่ซื้อในดิวตี้ฟรีต้องเสียภาษี
(หลายคนสับสนตรงนี้)

     หลายคนคงงงเป็นไก่ตาแตก ตั้งคำถามว่า แล้วที่ผ่านมาคืออะไร?
     เมื่อกลางปีก่อนมีการยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรให้ตรวจสอบร้านค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่าทำผิดกฏหมายศุลกากร
ทั้งส่งเสริมให้นำสินค้าปลอดอากรเข้ามาบริโภคในประเทศ และกำหนดให้มีจุดส่งมอบสินค้าของร้านค้าปลอดอากรขาออกโดยไม่มีกฏหมายรองรับ
ตรงนี้ก็ไปไล่บี้กันเอาเองหรือจะตกลงเจรจากันอย่างไรก็อีกเรื่อง
(ซึ่งเชื่อผมเถอะว่า ทางออกน่าจะเป็นแบบที่คาดเดาได้ และเราทุกคนสบายใจ)  
แต่คุณต้องเข้าใจและยอมรับว่ากฏหมายศุลกากรเป็นแบบนี้จริงๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้
..................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

    [เรื่องทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ในเมืองไทย คือตัวกฎหมายมันมีอยู่ (ซึ่งก็ไม่ได้โหดร้ายไปกว่าบ้านเมืองอื่นเขา)
แต่เราอะลุ่มอล่วยกันมาเนิ่นนาน และมีคนใช้ช่องทางเลี่ยงกันอยู่แบบเห็นๆ ไม่ได้เสียเสมอภาคกันทุกคนอย่างแท้จริง
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียภาษีเพิ่ม อย่าซื้อ ถ้าซื้อแล้ว กลับมาก็เข้ามาเสียภาษีเสียดีๆ ทางช่องแดง (ซึ่งอาจได้รับการพิจารณาไม่เก็บภาษีก็ได้)
เพราะถ้าไม่แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่มาโป๊ะแตกที่ช่องเขียว อันนั้นต้องเสียค่าปรับบวกภาษี… อาน
     เหนือสิ่งอื่นใด อ่านกฏหมายข้อบังคับให้ละเอียดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ และอย่าไปบ่นให้เกิดดราม่าปนกับเรื่อง "ชนชั้น" "รวยจน" "คอรัปชั่น" "
เลือกปฏิบัติ" มันคนละประเด็นกันครับ ที่น่าผิดหวังคือสื่อออนไลน์ที่บอกว่าตัวเองเป็นมาตรฐานคนรุ่นใหม่
บางสำนักกลับพาดหัวได้แบบยุแยง และให้ข้อมูลชวนเข้าใจผิดอีกต่างหาก]
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่