หรือบางทีมันอาจจะมากกว่า 20 ข้อนะ
มันเปลี่ยนชีวิตเราทั้งหมดไม่ได้หรอก แต่เราอาจจะได้เปลี่ยนตัวเอง มองอะไรใหม่ๆ ในมุมที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นกว่าการต้องวิ่งตามใคร
จากที่ไม่มั่นใจที่จะเริ่มเที่ยวคนเดียว จนวันนี้เริ่มเที่ยวคนเดียวด้วยการเดินทางแบบลำบากๆ ใช้รถสาธารณะ โดยเฉพาะ 90% ของการเดินทาง เดินทางด้วยรถไฟตลอด ปั่นจักรยาน ขับมอเตอร์ไซค์ ไม่ชอบนั่งเครื่องบินเที่ยว เดินทางไปที่ต่างๆ ทำทุกอย่างคนเดียว จนรู้สึกว่าติดใจการเที่ยวคนเดียว ถึงขนาดเปิดเพจ "จะเที่ยวคนเดียว" ขึ้นมา และได้รู้ว่ายังมีคนเหมือนเราอีกเยอะ และเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนได้ลองเที่ยวคนเดียวได้ ในข้อจำกัดหลายๆ อย่างของการเป็นมนุษย์เงินเดือน แถมยังเป็นผู้หญิงอีก การเที่ยวคนเดียวตั้งแต่ไปมา เลยลองไปแบบลำบากดูบ้าง ไม่ติดสบายดูบ้าง
แค่ทุกวันนี้ทำงานเป็นสาวออฟฟิศมันก็เจอแต่เรื่องเดิมๆอยู่แล้ว แต่ถ้าเราลองออกจาก comfort zone ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง มันก็ไม่เสียหายเลย ทำงานออฟฟิศที่เราถนัด แต่ก็ทำงานที่รักด้วยการเขียนบล็อกเล่าเรื่องไปด้วย ชอบนะ มันทำให้เราได้อะไรในหลายๆสังคมมากขึ้น ซึ่งทุกอย่างเวลาเดินทางเราเล่าความรู้สึกผ่านเพจตลอดเวลาอยู่แล้ว ทีนี้อยากรวบรวมข้อดีที่เราได้จากการเที่ยวคนเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมา มาลองทำกระทู้ดูบ้าง เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นที่ยังลังเลว่า ไอ้การเที่ยวคนเดียวมันดียังไงนะ เราเป็นคนมีเพื่อนปกติ แต่เวลางานไม่ตรงกันเลยไปเที่ยวกับเพื่อนน้อยลง เพื่อนขอไปด้วยหลายครั้งแต่ก็นัดไม่ได้ แถมไปแบบลำบากเกรงว่าเพื่อนไม่รอดแน่ เลยไปคนเดียวซะเลย ถ้าอยากไปแล้วรอทุกอย่างพร้อม ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องได้ไปไหนกันพอดี
รูปที่ลงถ่ายเองทั้งหมด ทั้งเซลฟี่ ทั้งขาตั้งกล้อง มันก็ต้องลองกันไปเรื่อยๆ ไปเที่ยวคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่มีรูปตัวเอง แถมรูปอาจจะเยอะกว่าตอนไปเที่ยวกับเพื่อนอีกด้วย
หลายๆ คนบอกว่าการเที่ยวคนเดียวมันเป็นเหมือนการออกไปค้นหา
อะไรบางอย่างที่เราขาดหาย
อะไรบางอย่างที่เราต้องการแก้ไข
อะไรบางอย่างที่เราต้องการเติมเต็ม
อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ซึ่งแต่ละคนคงมีเหตุผลที่แตกต่างกัน
สำหรับเรา เราก็ว่ามันก็พอจะได้อะไร อะไรอยู่บ้างนะ
มาแชร์กัน ว่าเราพอจะได้อะไรกลับมา และเปลี่ยนอะไร อะไร บางอย่างในตัวเองไปได้บ้าง จนอยากบันทึกไว้ในกระทู้นี้
1.ใจร้อนขึ้น
เปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนใจร้อนขึ้น
ตัดสินใจเร็วขึ้น หาข้อมูลเพียงไม่กี่นาที หรือไม่หาข้อมูลเลย ไปหาเอาข้างหน้า ไปลุ้นเอาเองดีกว่าว่า เดี๋ยววันนี้จะเจออะไรบ้าง เที่ยวแบบโนแพลนบ่อยขึ้น แบกเป้ไปเลยเนาะ เออออห่อหมกเอง คุยกับตัวเองเฉย ฮ่าๆๆ แล้วก็ไปกันเลย กลัวมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่ไป
ยิ่งถ้านั่งรถไฟบ่อยๆ จะรู้ว่ารถไฟออกตรงเวลามาก จะหงุดหงิด งอแง ถ้าต้องรอใครมาช้า เพราะเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ตกรถไฟ หากต้องรอใครหลายๆ คน งั้นไปคนเดียวดีกว่า ไม่อยากตกรถไฟ กลายเป็นคนใจร้อนและตรงต่อเวลาขึ้นเยอะเพราะต้องกำหนดเวลาเที่ยวเอง ศึกษาเวลาเดินรถสาธารณะ
2.ใจเย็นลง
เปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนใจเย็นลง
เอ้า! เมื่อกี้ยังใจร้อนอยู่เลย ความพอดีหามีไม่ ในความใจร้อนก็ยังมีความใจเย็นอยู่บ้าง เวลาออกไปเที่ยวจริงๆ หลายอย่างก็คงต้องรอ รอรถ รอคนผ่านมาให้ถามทาง รอพระอาทิตย์ขึ้น รอพระอาทิตย์ตก รอที่จะได้ภาพและวิวสวยๆ รอฝน รอพายุ หลาย ชม.ก็ต้องรอ อยู่ในสถานการณ์คับขันก็งอแงไม่ได้ ก็ต้องรอ ดีนะที่มีพื้นฐานเป็นคนใจเย็นอยู่แล้ว บางทีต้องรอนานจริงๆ แต่ยอม เพราะทำอะไรไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเราเลือกเอง ตัดสินใจเอง ช่วยไม่ได้ ก็ฝึกความอดทนกันไป
หงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องทน โดยเฉพาะการใช้ขนส่งสาธารณะบ้านเราด้วยแล้วล่ะก็
3.มีอิสระ
เปลี่ยนให้ชีวิตรู้จักคำว่าอิสระมากขึ้น
มีอิสระทางร่างกาย มีอิสระทางความคิด ตัวคนเดียว จะเลี้ยวซ้าย-ขวา ปีน ไต่ ก็คิดเอง ทำเอง แต่ก็ต้องรู้ลิมิต รับผิดชอบตัวเอง แต่หลังๆ เราคิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในที่ทำงานน้อยลงเพราะเริ่มรู้ตัวว่าเดี๋ยวออกมาข้างนอกคนเดียวจะต้องเจออะไรอีกเยอะที่ให้เราแก้ปัญหาเองมากกว่าในที่ทำงาน มันน่าตื่นเต้นกว่ากันเยอะเลย เอาเวลาคิดเรื่องจุกจิกในที่ทำงานมาคิดเรื่องเที่ยวดีกว่าว่าจะวางแผนการเที่ยวเองยังไงบ้าง ปัญหาจุกจิกจากที่ทำงานจะเบาลงไปเลยเมื่อเธอได้เจอปัญหาในโลกกว้าง เวลาต้องเดินทางคนเดียว
ความโชคดี โชคร้ายที่เจอมากับตัวเองจะสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในข้อนี้ด้วย
4.แต่งตามใจ
เปลี่ยนการแต่งตัวเวลาต้องเดินทางคนเดียว
แต่งหน้า หรือแต่งตัวล่ะ เดี๋ยวนี้เหรอ ไม่ค่อยแต่ง พอตอนออกจากบ้าน ยัดพร๊อบใส่กระเป๋าไปแต่งทีเดียว จัดชุดเก่งหรือชุดที่ซักเปลี่ยนได้ไปไม่กี่ตัวอะไรทำนองนี้ อยากใส่บ้าๆ บอๆ ก็ใส่ไป ไม่มีคนคอยทักว่าวันนี้แต่งหน้าบ้างก็ได้นะ หน้าศพมาก วันนี้แกแต่งตัวอะไรเนี่ย ฉันไม่อยากเดินกับแกเลย บางทีชุดนอนชุดเที่ยวนี่ชุดเดียวกันเลย เก็บกระเป๋าไปไม่กี่ชุด ใส่ซ้ำๆ ไปก็ไม่มีคนมาคอยจับผิด อีกอย่างกลายเป็นคนระมัดระวังในการแต่งตัวมากขึ้นเวลาต้องเดินทางคนเดียว และการแต่งตัวขึ้นรถไฟ ที่เราใช้บริการบ่อยๆ
5.เป็นนักวางแผน
เปลี่ยนจากตามคนอื่น แล้วมาวางแผนเองบ้าง
จะไปเที่ยวทีนึงก็ต้องมีสมุดกับปากกาไว้จดทุกอย่าง ชอบพกสมุดโน้ตไว้จด จดค่าใช้จ่าย ที่พัก อะไรแปลกๆ อะไรน่าสนใจก็จดๆๆ ยิ่งจะเอามาเขียนรีวิวก็จด แปลกนะที่จดในมือถือน้อยมาก ยังรักการใช้ปากกากับสมุดโน้ตอยู่ หายไม่ได้เลย งอแงอีก ทั้งที่จดในมือถือก็ได้
ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาเป็นคนชอบดูแผนที่ , Google Map ศึกษาเส้นทาง วางแผนการเดินทางเองมากขึ้น เดินไปตรงนี้กี่นาที ขับมอเตอร์ไซค์อีกกี่นาทีถึง รถไฟไปถึงเวลานี้แล้วต้องทำยังไงต่อ อะไรอีกมากมายที่ต้องวางแผนและจัดการกับตัวเอง โดยเฉพาะไปเช่าจักรยานกับมอเตอร์ไซค์ ต้องกะระยะความเร็วที่ตัวเองปั่นหรือขับด้วย ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เหลือเวลาเท่าไหร่ถึงจะไปที่หมายทัน เรื่องพวกนี้ทำให้ตัวเองได้นะ แต่กับคนอื่นคงวางแผนให้ไม่ได้เลย ข้อนี้ได้ทำความรู้จักเรื่องถนนหนทางเพิ่มขึ้น เวลาหลงก็ อ๋อ...ถนนใหม่ ความรู้ใหม่ก็ว่ากันไป ไม่ต้องมานั่งโทษใคร เพราะเราทำตัวเอง
6.ค้นหาตัวเอง
เปลี่ยนตัวเองให้ขยับร่างกายออกไปข้างนอกบ้าง
ค้นหาว่าตัวเองที่จริงเวลาออกไปเที่ยวต้องการทำอะไรบ้าง บางทีเวลาไปเที่ยวทะเลเราแค่อยากนั่งเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำตามเสียงหัวใจเรียกร้อง อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ มากกว่าไปดื่มเหล้าเอาบรรยากาศกับเพื่อนๆ ดื่มเยอะจนปวดหัวแล้วลืมไปเลยว่าต้องซึมซับกับทะเลให้มากกว่านี้ แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พักสมอง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย จะได้ทบทวนตัวเอง ว่าจริงๆ แล้ว ในชีวิตนี้เราต้องการอะไรบ้าง ไม่มีข้อจำกัดตายตัวสำหรับตัวเองว่า ไปทะลแล้วต้องเล่นน้ำโครมๆ
7.กินง่ายขึ้น
เปลี่ยนวิธีการและสถานที่เวลากิน
เลือกกินไม่ได้ บางสถานที่สถานการณ์บังคับ ไม่มีร้านสะดวกซื้อ มีให้กินแค่ไหนก็กินแค่นั้น ยิ่งเวลาไปอยู่โฮมสเตย์ก็ต้องกินข้าวบ้านเขา เราชอบไปอยู่โฮมสเตย์ที่ได้กินอาหารท้องถิ่นจริงๆ กินแบบที่เจ้าบ้านกิน มากกว่าที่เขาตั้งใจทำให้คนต่างถิ่นหรือคนกรุงกินมากกว่า ได้รู้จักอาหารแปลกๆ เยอะขึ้น แต่อร่อยมาก และพวกสตรีทฟู้ด อาหารข้างทางกลายเป็นของโปรดไปเลย ชอบเม้าท์มอยถามสภาพอากาศ ชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นกับคนพื้นที่ควบคู่กันไปด้วย เราว่าเราได้อะไรเยอะจากพวกเขานี่แหละ เวลาไปเที่ยว เราเลยชอบคุยกับคนท้องถิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวด้วยกัน
8.นอนง่ายขึ้น
เปลี่ยนที่นอนไปใกล้คนแปลกหน้าบ้าง
โชคดีหน่อยที่เป็นคนหัวไม่ต้องถึงหมอนก็หลับได้ นอนในที่แคบๆ บ่อยๆ เช่น บนรถไฟหรือบนเก้าอี้ที่สถานีรถไฟก็นอนได้ นอนจนชิน ฉันแค่ชาร์จแบต หลับตาสักพัก ไม่ต้องมีที่นอนดีๆ ก็ได้ ฉันนอนได้ เดี๋ยวฉันก็ไปต่อแล้ว ง่วงก็นอน ไม่คิดเยอะว่าที่นอนจะต้องสบายแค่ไหนคนอื่นนอนได้ฉันก็ต้องนอนได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยด้วย
นอนในห้องนอนสบายๆ ที่บ้านก็บ่อยแล้ว อยากรู้ว่าคนอื่นเขานอนหรือใช้ชีวิตกันยังไงบ้างนะ เมื่อเกิดคำถามกับตัวเอง ก็แค่ออกไปหาคำตอบ
9.มีระเบียบ
เปลี่ยนจากคนขี้เกียจให้ขยันเก็บ
ถ้าห้องส่วนตัวปกติก็ทำรกได้ แต่ถ้าเราออกไปอยู่กับคนไม่รู้จักล่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องนอนโฮสเทล อยู่ร่วมกับคนอื่น เรายุ่งเหยิง ทำรกได้แค่เตียงของตัวเองนะ แต่พื้นที่ส่วนรวม การรักษามารยาทเป็นสิ่งสำคัญมากในการนอนโฮสเทลกับคนแปลกหน้า บริเวณที่ใช้ร่วมกันโดยรอบ เช่น ห้องน้ำ ราวตากผ้า ปลั๊กไฟ ต้องแบ่งพื้นที่กันใช้ พื้นที่ตรงไหนควรช่วยกันดูแล ก็ช่วยๆ กันดู
10.ห้องเป็นของเรา
เปลี่ยนจากการต้องระวังคนในห้องด้วยการมีห้องส่วนตัวบ้าง
ไปพักบางที่ก็ไม่ได้นอนกับคนอื่นตลอด ไม่ได้เลือกโฮสเทลตลอด และเมื่อได้ห้องพักเป็นของเราเมื่อไหร่แล้ว เราจะซกมกขั้นสุดเท่าไหร่ก็ได้ เช่น การกระจายของบนเดียงใหญ่ๆเพื่อกันผี ฮ่าๆๆ อันนี้เป็นเคล็ดลับกันผีส่วนตัว เคยเขียนเล่าไปในเพจด้วย ไปหาอ่านวิธีกันผีแบบแปลกๆ ของเราในเพจดู ได้ห้องของตัวเองจะนุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวหรือเดินแก้ผ้าโทงๆ ก็ได้ โดยเฉพาะห้องน้ำไม่ค่อยล็อกด้วย เพราะกลัวเปิดไม่ได้ กลัวว่ากุญแจจะเสียแล้วขังตัวเองอีก ฮ่าๆๆ ไม่เคยมีประสบการณ์นั้นหรอก แต่กันไว้
[CR] 20 ข้อดี เมื่อเราเที่ยวคนเดียว แล้วเปลี่ยนตัวเอง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น